ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 77 วิกฤตลูกท้อ
บทที่ 77 วิกฤตลูกท้อ
วันที่ 15 เดือน 8 เทศกาลไหว้พระจันทร์
เนื่องจากมีฝนตกประปรายในช่วงสองวันที่ผ่านมา ฝนที่ตกในฤดูใบไม้ร่วงบวกกับอากาศที่หนาวเย็น ส่งผลให้อุณหภูมิต่ำเป็นพิเศษ
คณะนักร้องที่เดิมเตรียมฉลองวันพระราชสมภพของไทเฮาในเทศกาลเชียนชิว ได้จัดเวทีนอกตำหนักชิงเหลียงแต่เช้าตรู่ แต่เนื่องจากอากาศหนาวเย็นเล็กน้อย ฮ่องเต้กลัวว่าไทเฮาจะโดนลมแรง จึงทรงย้ายไปยังตำหนักเฟิ่งจ่าว
แม้ว่าสถานที่ของตำหนักเฟิ่งจ่าวจะไม่ใหญ่เท่ากับเวทีนอกตำหนักชิงเหลียง แต่ก็สร้างขึ้นในที่ร่มและมีแสงสว่างเพียงพอ ไทเฮาพอพระทัยมากและได้นั่งอยู่ในลานเฟิ่งจ่าวเพื่อฟังการแสดงตั้งแต่เที่ยงวัน
ทันทีที่พวกเขาออกมาจากตำหนักฉางเซิง พวกเขาร้องเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงสามครั้ง แต่ไทเฮายังไม่เบื่อที่จะฟัง เหล่านางสนมทั้งหมดก็ร่วมฟังกับนางด้วย บรรยากาศโดยรอบจึงเต็มไปด้วยความรื่นเริง
อีกด้านหนึ่ง ฮ่องเต้ไม่ชอบฟังบทเพลงละครในมากนัก นั่งได้ครึ่งชั่วยามก็ทนนั่งต่อไปไม่ไหว เขาแสร้งทำเป็นว่ายังมีราชกิจที่ต้องได้รับการอนุมัติและหนีกลับไปที่ห้องทรงอักษร
ไทเฮาทรงทราบว่าเหล่าธิดาโอรสต่างใจร้อน และไม่ชอบอยู่ท่ามกลางฝูงชน อย่างองค์ชายแปดก็ไปเล่นแข่งม้าและเล่นโถวหู*[1] ที่ข้างตำหนัก
ทั้งในและนอกตำหนัก ขุนนางและภริยาทุกคนที่มาฉลองวันเกิดไม่กล้าฝ่าฝืนกฎ และติดตามไทเฮาไปฟังละครด้วยความสัตย์จริง
…
ในช่วงเย็นถือเป็นงานเลี้ยงครอบครัวกลางฤดูใบไม้ร่วง สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ในตำหนักฉงหยาง
เหล่าคนใช้รับขนมไหว้พระจันทร์ ก่อนจะลุกขึ้นและคำนับ จากนั้นจึงแยกย้ายกันไป เหลือเพียงแค่นางสนม องค์ชาย และองค์หญิงแห่งราชวงศ์กับองค์ชายและองค์หญิงอีกสองถึงสามคนจากนอกราชวงศ์
ภายในห้องเครื่องหลวงนั้นยุ่งมากจนเท้าของทุกคนแทบไม่ได้แตะพื้น
อาหารใหม่ที่บรรดาพ่อครัวหลวงคิดขึ้นนั้นมาพร้อมกับชื่อที่พวกเขาตั้งเอง และพวกเขาทั้งหมดก็นำมาไว้ที่โต๊ะตั้งแต่เช้าจรดเย็นโดยไม่หยุดพัก
เนื่องจากห้องเครื่องหลวงเป็นฝ่ายที่ยุ่งมากที่สุด แม้แต่ฝ่ายพระคลัง ฝ่ายทอผ้า และฝ่ายย้อมก็ย้ายไปช่วยชั่วคราว เดิมทีห้องเครื่องหลวงเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ แต่วันนี้กลับเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่ให้ยืน
แม้ว่าเหยียนอี้จะดูแลเพียงแค่น้ำแกง ไม่ได้รับความสนใจมากนัก นางก็มอบหมายขุนนางในวังอีกสิบคนช่วยนางในวันนั้น รวมทั้งคนที่เคยไปที่นั่นมาก่อน
พ่อครัวที่แตกต่างกันย่อมมีรสนิยมต่างกัน จำเป็นต้องทำให้อาหารมีรสเค็มและจืด แต่ยังคงความกลมกล่อมและอุดมสมบูรณ์ในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าระหว่างทางจากห้องเครื่องหลวงไปยังตำหนักฉงหยาง น้ำแกงจะไม่เย็นลง และมีอุณหภูมิพอดีเมื่อนำไปวางโต๊ะ ทั้งหมดนี้จึงเป็นงานที่ใช้ความประณีตอย่างยิ่งยวด
โชคดีที่เช้านี้ห้องเครื่องหลวงได้ฝึกซ้อมมาหลายครั้ง และขันทีแต่ละคนได้คำนวณเส้นทางจากตะวันออกไปยังตะวันตกเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีข้อผิดพลาดในตารางงานที่วุ่นวาย
น้ำแกงถ้วยแรกที่เหยียนอี้ปรุงคือน้ำแกงพุทราดอกฝูหรงที่ประกอบด้วยธัญพืชแปดชนิด นอกจากจะดูน่ารับประทานแล้วยังมีชื่อที่มีความหมายมงคลอีกด้วย
น้ำแกงนี้เข้ากันได้ดีกับขนมลำไยอัดธัญพืชซึ่งทำโดย หม่าอวี้ฉู พ่อครัวขนมจากซูโจว
แน่นอนว่าไทเฮาชื่นชอบมันมาก พระองค์มอบ ‘รางวัล’ ให้กับคนครัวในห้องเครื่องหลวงทีละคน พวกเขารู้สึกซาบซึ้งอย่างมาก นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี งานของวันนี้จบลงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
หลังจากนั้นก็มาสู่ช่วงของการแจกอาหารอันโอชะที่ปรุงโดยพ่อครัวหลวงทั้งหมด และงานเลี้ยงก็เต็มไปด้วยความสนุกสนาน
…
ไห่เทียนยี่มุ่งมั่นในการทำลูกท้ออายุยืน*[2]ด้วยตัวเอง เพื่อมอบให้กับไทเฮาเมื่อสิ้นสุดงานเลี้ยง
บนโต๊ะตรงหน้าไทเฮามีจานลูกท้ออายุยืนจานใหญ่ที่เพิ่งทำในยามเช้า พวกมันมีลักษณะอวบอิ่มและแดงก่ำ
แต่ลูกท้อเหล่านั้นดูไม่งดงาม ผิวของมันไม่มันวาว อีกทั้งปริมาณของผงฟูที่เติมเข้าไปนั้นมีน้อย มันจึงเย็นและแข็งตัวอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไทเฮาและทุกคนย่อมไม่กินมัน
ลูกท้ออายุยืนที่น่ากินจะต้องยังคงสดใหม่ ลูกเล็ก แป้งนุ่ม ไส้ข้างในต้องมีรสชาติแปลกใหม่และน่าสนใจ
ไห่เทียนยี่เพิ่งเคยทำแป้งด้วยตัวเอง และรีบขอให้ผู้ช่วยนำแม่พิมพ์มาให้
พ่อครัวรับคำสั่งและรีบทำตาม
แม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับลูกท้ออายุยืนขนาดเล็กนี้ไม่เหมือนกับแม่พิมพ์ที่ใช้สำหรับลูกท้ออายุยืนขนาดใหญ่ ซึ่งใช้สำหรับในห้องเครื่องหลวง อันที่เล็กกว่านั้นมาจากต้นสนสีแดงที่ได้คัดสรรมาเป็นพิเศษเพื่อแสดงถึงความกตัญญู ทั้งยังแกะสลักโดยช่างฝีมือที่ดีที่สุดในเมืองหลวง ข้อความที่แกะสลักคือตัวอักษรแปดตัว มีใจความว่า “มีโชคลาภดั่งทะเลบูรพา อายุยืนยาวดั่งเขาทักษิณ” ซึ่งฟังแล้วชวนให้รู้สึกประทับใจยิ่งนัก ส่วนชุดเล็กนั้นยังคงอยู่ในห้องเก็บของ รมควันด้วยไม้จันทน์อย่างดี
ไห่เทียนยี่ตะโกนด่าว่า “เจ้าพวกลูกเต่า ไม่รู้หรือว่าต้องเตรียมของสำคัญเช่นนี้ไว้ล่วงหน้า ดูซิ ข้าต้องทำงานล่าช้าไปอีก!”
หม่าอวี้ฉูกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เดิมที ข้าเอามันออกไปตากให้แห้งแล้ว แต่ฝนดันตกเมื่อสองวันก่อน ข้าจึงต้องเก็บมันกลับเข้าไปในห้องเก็บของ”
ขณะที่เขากำลังพูดคุยอยู่ พ่อครัวกับขันทีตัวน้อยก็กลับมาด้วยใบหน้าเศร้าและตะโกนว่า “เราตายแน่!”
ไห่เทียนยี่ดุว่า “ในวันมงคล อย่าพูดจาเหลวไหล ข้ายังไม่อยากตาย!”
ขันทีตัวน้อยถือกล่องไม้จันทน์ขนาดใหญ่ไว้ในมือแล้ววางลงบนโต๊ะ
ไห่เทียนยี่เปิดมันด้วยท่าทีงงงวยแล้วก็ต้องพบกับสิ่งน่าเหลือเชื่อ เพราะมันมีราขึ้น!
“ข้าคิดว่าเป็นเพราะฝนตกเมื่อสองวันก่อน ภายในกล่องจึงมีความชื้น หัวหน้าไห่ เราจะทำอย่างไรดี” ขันทีตัวน้อยร้องไห้
ไม่ใช่แค่ขันทีตัวน้อยเท่านั้นที่อยากจะร้องไห้ แต่ไห่เทียนยี่นั้นอยากจะร้องไห้มากกว่าเขาเสียอีก
ลูกท้ออายุยืนนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุดของงานเลี้ยง เมื่อเห็นว่างานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ลูกท้ออายุยืนกลับไม่สามารถทำได้ เช่นนี้จะทำอย่างไร?
“เหตุใดท่านจึงไม่ใช้ชุดเดิมล่ะ” พ่อครัวอู๋กล่าว
เขาเคยทำลูกท้ออายุยืนขนาดใหญ่ แม้เขาจะไม่ชอบกินมันเท่าใดนัก แต่ไทเฮานั้นพอพระทัยมาก
“ชุดนั้นใหญ่เกินไป แม้ลูกท้อนึ่งจะดูเหมือนกันหมด แต่รสชาติกลับไม่เหมือน หากไทเฮาไม่พอพระทัยขึ้นมา พระองค์จะทรงคิดว่าห้องเครื่องหลวงอย่างเราไม่ใส่ใจ” ไห่เทียนยี่ปฏิเสธ
“ตอนนี้มีแต่แม่พิมพ์ชุดนี้งั้นหรือ?” พ่อครัวอู๋ถาม
ขันทีตัวน้อยก้มหัวลงแล้วพูดว่า “มีแม่พิมพ์อื่น แต่แม่พิมพ์ไม้หงมู่*[3] ชุดนี้ ฮ่องเต้สั่งทำเป็นพิเศษ หากทำลูกท้ออายุยืนด้วยแม่พิมพ์อื่น แม้หน้าตาจะดีเพียงใด แต่หากฮ่องเต้ไม่เห็นคำแกะสลัก ท้ายที่สุดพวกเราจะถูกตำหนิ”
“การพิมพ์คำมันยากมากหรือ?” เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นเมื่อเห็นทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ไห่เทียนยี่เหลือบมองที่นางและสูดลมเข้าปอด “ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่นางเหยียนไม่ควรพูดจาถากถางนะ”
เหยียนอี้มีความคิดดี ๆ และกำลังจะพูดเสนอ แต่ถูกหัวหน้าไห่ยั่วยุ นางรู้สึกแย่ในทันที ดังนั้นนางจึงหุบปาก เวลานี้นางไม่ต้องการทำตัวให้โดดเด่นเกินไป นางจึงนั่งยอง ๆ ลงข้างเตาเพื่อเติมฟืน
ไห่เทียนยี่ไม่สนใจนางและพูดถึงวิธีแก้ปัญหากับทุกคน
เขาหยิบแม่พิมพ์ไม้หงมู่ในมือขันทีตัวน้อยออกมาดูทีละอัน อันที่จริง จุดโรคราน้ำค้างไม่ร้ายแรงนัก หากล้างด้วยน้ำสะอาดและทำให้แห้งก็ยังใช้ได้ แต่จะมีกลิ่นของเชื้อราซึ่งกำจัดไม่ได้
“เหตุใดเราไม่นวดแป้งให้เป็นห้าสีของธัญพืช ใส่เครื่องเทศลงไป แล้วทำให้เป็นลูกท้ออายุยืนห้าสีล่ะ” หม่าอวี้ฉูคิดขึ้น
แต่ไห่เทียนยี่กลับปฏิเสธ “หากเป็นขนมธรรมดาก็ไม่เป็นไร แต่ลูกท้ออายุยืนต้องนึ่งอย่างรวดเร็ว เมื่อถูกความร้อนแล้วสีจะดูไม่ดีนัก นอกจากนี้ จะกินกับเครื่องเทศอย่างไร และมันจะส่งกลิ่นหอมได้อย่างไร?”
“ตราบใดที่เตรียมมาอย่างดีและส่วนผสมไม่หนักเกินไป ท่านอาจลองดูได้” พ่อครัวอู๋กล่าว
แม้วิธีนี้จะไม่ค่อยดีนัก แต่ตอนนี้อยู่ในช่วงคับขันและไม่มีทางอื่นนอกจากวิธีนี้
ในตอนนี้ ทุกคนแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตัวเอง บางคนไปทำบะหมี่ บางคนไปทำความสะอาดรา และบางคนไปลองเครื่องเทศ
คราบราล้างออกยากจนเกือบต้องขุดพื้นผิวของแม่พิมพ์ ทว่าผ่านไปนานก็ยังกำจัดแทบไม่ออก และกลิ่นอับก็ยังคงอยู่
หากนำไปให้ครอบครัวที่ยากจนรับประทาน กลิ่นเหม็นอับนี้คงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องกังวล แต่ปากของฮ่องเต้และไทเฮาในวังนั้นมีค่า จะปล่อยให้มีกลิ่นอับได้อย่างไร?
ไห่เทียนยี่หยิบแม่พิมพ์ขึ้นมามองดูพร้อมส่ายศีรษะอย่างหมดหวัง
ขณะเดียวกัน พ่อครัวอู๋ส่งคนไปนำกองไม้กฤษณาและไม้จันทน์มาไว้กองหนึ่ง แล้วพูดว่า “ใช้ไม้เหล่านี้อบแม่พิมพ์ อาจดูดกลิ่นหอมของท่อนไม้ได้”
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินสิ่งนี้ นางอดไม่ได้ที่จะกระซิบกับหลางกวนเอ๋อร์ว่า “เขาคิดว่ามันเป็นเนื้อรมควันรึไง!”
หลางกวนเอ๋อร์ถามว่า “วิธีนี้เป็นไปได้หรือไม่”
เหยียนอี้กระซิบ “ข้าไม่เคยลอง พ่อครัวอู๋เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์สามสิบปี บางทีเขาอาจจะลองแล้ว แต่เขาไม่รู้?”
พ่อครัวอู๋มองไปรอบ ๆ และเห็นว่าทุกคนกำลังยุ่งอยู่ เขาจึงสั่งหลางกวนเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปอบไฟ!”
เมื่อหลางกวนเอ๋อร์ได้รับคำสั่ง เขานำตาข่ายแร่ใยหินมารวมแม่พิมพ์หลายอันไว้ด้านบน ก่อไฟที่ลานด้านนอก และเผาไม้จันทน์ที่ด้านล่าง
ไม้เหล่านี้ล้วนมีคุณภาพสูง ช่างฝีมือใช้กันมาโดยตลอด ไม้เหล่านี้มีค่าเท่ากับเงินสองตำลึง อีกทั้งยังเป็นของราชสำนัก ใครจะกล้าใช้สมบัติเหล่านี้เป็นฟืน?
ทว่าพ่อครัวอู๋คนนี้ทะนงตนอย่างมาก เขากล้าใช้เงินหลวงโดยไม่จ่ายเงิน
หลางกวนเอ๋อร์ถึงกับตกตะลึงในขณะที่เขาก่อไฟ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังเผาเงินอยู่
พ่อครัวอู๋เองก็ไม่รู้ว่าการอบนี้จะช่วยขจัดกลิ่นเหม็นอับได้หรือไม่ เขาจึงยืนข้างหลางกวนเอ๋อร์และจ้องมองดูผลลัพธ์
เมื่อเห็นว่าไม้จันทน์กำลังลุกไหม้ในกองไฟ มันส่งกลิ่นหอมอย่างรุนแรง ซึ่งสามารถส่งกลิ่นไปได้ไกลถึงสิบลี้และคงอยู่เป็นเวลาสามวัน
จมูกของหลางกวนเอ๋อร์ระคายเคืองเนื่องจากกลิ่นหอม และถึงกับจามออกมาหลายครั้ง
พ่อครัวอู๋ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครุ่นคิดว่ากลิ่นที่แรงเช่นนี้น่าจะสามารถกลบกลิ่นเหม็นอับของราได้
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีบางอย่างผิดพลาด
หลางกวนเอ๋อร์กำลังเฝ้ากองไฟและได้ยินเสียงไม้แตก เสียงนั้นเบามาก หากไม่ใช่เพราะอยู่ใกล้ เขาคงไม่ได้ยิน ตอนแรกเขาเพียงคิดว่ามันเป็นเสียงของฟืนที่แตกอยู่ข้างใต้
ท้ายที่สุด แม่พิมพ์ถูกวางไว้สูงจนไม่สามารถสัมผัสเปลวไฟได้ อีกทั้งยังมีตาข่ายใยหินอยู่ตรงกลาง
จนกระทั่งเขารู้สึกว่าควันใกล้หมดจึงดับไฟและนำราที่แห้งออก แต่กลับพบว่ายังคงมีราอยู่ในนั้น!
เขาตื่นตระหนกจนไม่สนใจว่าจะถูกไฟลวกหรือไม่ เขารีบหยิบส่วนที่เหลือออกจนนิ้วของเขาแดงไปหมด พ่อครัวอู๋เองก็รีบคว้ามันไว้และเอาแม่พิมพ์มาใส่มือเขา แต่มันก็ยังแตกออกเป็นสองส่วน!
เห็นได้ชัดว่าไม้หงมู่อ่อนไม่สามารถทนต่ออุณหภูมิสูงได้ และจะแตกออกจากกันเมื่อถูกความร้อน
เมื่อโยนทิ้ง กลิ่นเหม็นอับก็หายไป แต่กลับกลายเป็นว่าแม่พิมพ์เสียหายทั้งหมด!
พ่อครัวอู๋คุกเข่าลงด้วยสภาพที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เขาได้ทำลายสมบัติที่ราชวงศ์มอบให้ เขาจะรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
หลางกวนเอ๋อร์ทั้งตื่นกลัวและตกใจ แม่พิมพ์ที่เหลืออยู่บนมือพลันหล่นลงกับพื้น
[1] โถวหู (投壶 ) คือการละเล่นปาลูกดอกลงภาชนะ
[2] ท้ออายุยืน (寿桃) เป็นขนมแป้งที่ทำเป็นรูปลูกท้อ ใช้สำหรับมอบเป็นของขวัญอวยพร
[3] ไม้หงมู่ (红木) คือไม้มะฮอกกานี