ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 74 วันคล้ายวันพระราชสมภพ
บทที่ 74 วันคล้ายวันพระราชสมภพ
เหยียนอี้ยังมีสูตรอาหารมากมายอยู่ในใจ ทว่านางกลับถูกกลั่นแกล้ง นางถูกสั่งให้ทำเพียงแค่น้ำแกง ดังนั้นสูตรอาหารใหม่ ๆ ทั้งหลายที่นางคิดไว้ในใจจึงไม่มีโอกาสได้นำออกมาเสนอ นางได้แต่หวังว่าจะมีโอกาสได้นำมาใช้สักครั้ง
ไห่เทียนอี้เห็นว่าเหยียนอี้ไม่ได้ออกความเห็นดั่งทุกครั้ง แต่เลือกทำงานจิปาถะแทน ตอนแรกนางดูไม่ค่อยมีความสุขอยู่แล้ว ทว่าตอนนี้นางยิ่งดูทุกข์เข้าไปใหญ่
เขายังรู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าเหยียนอี้มีความคิดที่พึลึกพิลั่นอย่างมาก อาจเป็นเพราะที่ผ่านมานางสามารถทำสิ่งที่พวกเขาไม่เคยได้ยินหรือได้เห็น นางจึงคิดว่าตนเองจะสามารถชนะสายตาของฮ่องเต้ได้
แต่การที่นางถูกสั่งให้ทำแค่น้ำแกง นางจึงทำตามสูตรดั้งเดิมของห้องเครื่องหลวง ทำให้ไม่อาจสร้างอาหารจานใหม่ ๆ ให้ได้เห็น
ยามที่ไห่เทียนอี้กำลังจะโยนปัญหายาก ๆ ให้นาง เหยียนอี้กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อคืนนี้ข้ากลับไปคิดอย่างหนัก ในที่สุดข้าก็ปรุงน้ำแกงรสชาติใหม่มาเจ็ดแปดชาม แต่มื้อเย็นข้าถวายน้ำแกงจำนวนมากไม่ได้ ใต้เท้าไห่โปรดช่วยข้าเลือกหน่อยเถิดว่าถ้วยใดเหมาะสมที่สุด”
ไห่เทียนอี้เอ่ย “ข้าไม่สนว่าเจ้ามีน้ำแกงอะไรบ้าง! เอาเถอะ พูดชื่ออาหารจานหลักมาสักสองอย่างซิ!”
เหยียนอี้ขมวดคิ้วพลางพูดขึ้น “ข้าเป็นแค่แม่ครัวทำน้ำแกงนะเจ้าคะ อีกอย่าง ฮ่องเต้ไม่ดื่มน้ำแกงมากนัก ข้าจะทราบชื่อของอาหารจานหลักได้อย่างไร? ใต้เท้าไห่ ท่านเป็นหัวหน้าพ่อครัวในห้องเครื่องหลวงของเรา เพียงแค่ไม่กี่ชื่อก็เพียงพอให้ราชวงศ์จัดเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ตั้งสิบหรือแปดครั้งแล้ว”
ไห่เทียนอี้ได้ยินนางประชดประชันพลางโบกมือไปมาจึงต้องการดุด่านาง ทว่านึกขึ้นได้ว่า ณ ตำหนักตะวันออกเมื่อสองเดือนที่แล้ว เขาเองก็เคยถูกตำหนิ จึงชักจะอารมณ์เสีย อีกทั้งยังพูดอะไรไม่ออก เขาจึงสั่งให้เหยียนอี้หยุดงานแล้วไสหัวไปซะ
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินดังนั้น นางจึงกล่าวว่า “ใต้เท้าทำงานหนักมาหลายวันแล้วคงเหนื่อยไม่แพ้กัน ท่านทำงานหนักจริง ๆ!”
พ่อครัวหยางโจวที่คิดว่าตนทั้งสูงส่งทั้งโด่งดังถึงกับลุกขึ้นยืนเพื่อลงมือทุบตีเหยียนอี้ ทว่าเขากลับถูกไห่เทียนอี้จับไว้เอาเสียก่อน “ปล่อยนางไป! ปล่อยนางไป!”
เหยียนอี้สะใจ นางจึงแลบลิ้นออกมา โค้งคำนับก่อนจะเก็บข้าวของแล้วเดินจากไป นางร้องเพลงคลอไปตลอดทางระหว่างเดินกลับห้อง…
เหยียนจื่อกำลังนั่งอยู่บนบันไดหน้าประตูเพื่อรอให้เหยียนอี้กลับมา
“เหยียนจื่อ? เหตุใดเจ้าจึงออกมาตอนกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้” เหยียนอี้กล่าวพลางรุดไปหาน้องสาวของตน
“ท่านพี่ ข้ามีข่าวดีจะบอก” เหยียนจื่อยิ้มก่อนจะหยิบผ้าออกจากแขนเสื้อ
ผ้าคลุมหน้าผืนนี้ปักด้วยด้ายสีทอง ลวดลายผสานความงามเฉกเช่นการเต้นรำ ทว่าเหยียนอี้ไม่เข้าใจ นางจึงไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร
“นี่มันหมายความว่าอย่างไรหรือ” เหยียนอี้ถาม
“ข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งจ้ะ!” เหยียนจื่อหัวเราะ
“งั้นหรือ?”
“การทดสอบครั้งใหญ่เมื่อวานนี้ ข้าได้รางวัลที่หนึ่ง สำนักเยว่ฝู่เลื่อนตำแหน่งให้ข้าเป็นผู้นำเต้นรำด้วยล่ะ เขายังบอกอีกว่าข้าเป็นคนแรกของนางรำหน้าใหม่เชียวนะ!” เหยียนจื่อพูดอย่างภาคภูมิใจ
“ผู้นำเต้นรำ?” เหยียนอี้ลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ “จริงหรือ? แล้วเจ้าจะได้ไปเต้นรำต่อหน้าฮ่องเต้หรือไม่”
เหยียนจื่อเชิดคางเล็ก ๆ ขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ไม่เพียงแค่นั้นนะ พี่สาวเมี่ยวอินเป็นผู้นำแสดงของเทศกาลไหว้พระจันทร์ แต่เมื่อวานนี้นางเจ็บข้อเท้าในระหว่างการทดสอบครั้งใหญ่ นายท่านเฉิงของสำนักเยว่ฝู่จึงขอให้ข้าทำแทน”
“เจ้าน่ะหรือ?” เหยียนอี้รู้สึกไม่สบายใจ “เวลาเหลือน้อยกว่าสามวัน เจ้าจะสามารถแทนที่นางได้หรือ?”
เหยียนจื่อเอ่ยขึ้น “เหตุใดจะไม่ได้ล่ะ? ถึงพี่สาวเมี่ยวอินจะเข้าวังมาตั้งแต่เด็ก มีทักษะการเต้นล้ำเลิศและเป็นผู้นำแสดงมาตลอด แต่เราก็ฝึกซ้อมกันในที่รโหฐาน เราทุกคนต่างเต้นกระบวนท่าเดียวกัน ตอนที่ข้าอยู่คนเดียว ข้าได้เรียนรู้กระบวนท่าเต้นของนางตั้งหลายครั้ง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หรอกท่านพี่!”
เหยียนอี้รู้สึกยินดีระคนเป็นห่วง จึงกล่าวว่า “เจ้าไม่เคยทำงานใหญ่เช่นนี้มาก่อน! อย่าตื่นตระหนกไป เจ้าจะกระโดดผิดหรือไม่ ตราบใดที่ไม่ล้มลงก็อย่ากระโดดให้ดูไม่เป็นระเบียบ อย่า…”
เหยียนจื่อขัดจังหวะนาง “ท่านพี่ที่แสนดีของข้า เหตุใดต้องกังวลมากขนาดนี้เจ้าคะ? ตอนแรกข้าก็ไม่ประหม่าหรอก แต่ตอนนี้ข้าเริ่มสับสนนิด ๆ แล้ว”
เหยียนอี้กล่าวต่อ “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนข้าเข้าไปในห้องเครื่องหลวงครั้งแรกน่ะ ข้าต้องเจอกับความสูญเสียเพราะชื่อเสียง ถึงตอนนี้เจ้าจะมีชื่อเสียงในสำนักเยว่ฝู่ แต่เจ้าก็ยังเด็กและขาดประสบการณ์ เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงการถูกหมายตาได้ ข้าเองก็ถูกนำตัวออกจากวังอย่างไร้เหตุผล ต้องสูญเสียครั้งใหญ่ เจ้าจะเจอเหมือนข้าไม่ได้!”
เหยียนจื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลหรอกท่านพี่ ข้ามีความรู้สึกว่าทุกคนในสำนักเยว่ฝู่อ่อนโยนกับข้ามาก นอกจากนี้องค์ชายแปดก็คอยปกป้องข้า ไม่มีใครกล้าทำให้ข้าต้องอับอายแน่นอน”
ดวงตาของเหยียนอี้เบิกกว้างขึ้นเมื่อนางได้ยินชื่อนี้ “องค์ชายแปด? เจ้าไปพัวพันกับองค์ชายแปดตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เหยียนจื่อหน้าแดงแล้วเริ่มพูดออกมาตรง ๆ “ท่านพี่ ข้าไม่ได้บอกหรือ? ตอนท่านหายตัวไป องค์ชายแปดทรงพยายามเต็มที่เพื่อช่วยข้าตามหาท่าน ก่อนหน้านี้ที่เมืองอวิ๋นเจี้ยน เรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน องค์ชาย… คอยดูแลข้ามาเสมอ”
เหยียนอี้ยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น “มิตรภาพของเมืองอวิ๋นเจี้ยนคือมิตรภาพแบบไหน? เหยียนจื่อ เขาเป็นถึงองค์ชาย เราเป็นสาวในวังต่ำต้อย เราไม่สามารถออกไปไหนมาไหนได้ด้วยซ้ำ ครั้งก่อนที่เจ้ารบกวนเขาเพื่อช่วยข้ามันผิดมากนะ”
เหยียนจื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์ชายแปดเป็นคนดีมาก เขาใจดีกับผู้คนมาโดยตลอด ข้าไม่ได้มีมิตรภาพกับพระองค์มากนัก องค์ชายชอบดนตรีจึงมักจะมาที่สำนักเยว่ฝู่ของเราเพื่อร่ำสุรา แต่เป็นการมาแล้วก็ไปเท่านั้น”
เหยียนอี้บอกนางว่า “องค์ชายแปดต้องอยู่ในวัง อย่าไปรบกวนเขา เข้าใจไหม?”
เหยียนจื่อพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ท่านพี่ ทุกคนในสำนักเยว่ฝู่เป็นมิตรกับองค์ชาย แม้ว่าวันนี้เขาจะพูดกับข้ามากขึ้น หรือพรุ่งนี้พูดกับคนอื่นมากขึ้นก็ไม่มีใครสนใจหรอก เหตุใดท่านต้องระวังตัวขนาดนี้ล่ะ”
เหยียนอี้ถอนหายใจ “มันก็ไม่มีอันใดหรอก”
“แน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!” เหยียนจื่อยิ้มและพูดว่า “ถึงท่านแม่ไม่ได้อยู่ใกล้ ๆ ตอนนี้ก็เถอะ แต่พี่สาวที่ไม่ได้เจอกันหลายวันนี่น่ารำคาญเหมือนท่านแม่เลย”
เหยียนอี้รีบปิดปากนาง “เช่นนั้นข้าจะไม่พูดแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าจะคิดว่าข้าเป็นหญิงแก่ไปเสีย”
เหยียนจื่อหัวเราะ พวกนางสองพี่น้องคุยกันต่ออีกสักครู่ เมื่อเห็นว่าสายแล้ว เหยียนจื่อก็รีบขอลากลับ
ด้วยความที่นางเดินเร็วเกินไปจึงชนเข้ากับแผงอกแกร่ง ปรากฏว่าชายคนนั้นคือองค์ชายแปด หลี่หรงเฉิงนั่นเอง
เหยียนจื่อนึกขึ้นได้ว่านางและพี่สาวเพิ่งจะพูดถึงเขาไปหมาด ๆ แถมนางยังให้สัญญาว่าจะลดการสานสัมพันธ์ระหว่างตนกับองค์ชาย นางจึงรีบหันหลังหนี แต่ก็อดหัวเราะคิกคักไม่ได้
หลี่หรงเฉิงไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขานึกว่ามีบางอย่างติดบนใบหน้าตน จึงลองเขี่ยหน้าตัวเองดูก่อนจะถามขึ้น “เจ้าหัวเราะอะไร”
“หม่อมฉันดีใจที่ได้เห็นฝ่าบาทเพคะ” เหยียนจื่อหัวเราะ เสียงนางกังวานราวกับเสียงของระฆังสีเงินอันสง่างามอย่างไรอย่างนั้น
“ดูจากทางที่วิ่งมา เจ้าแอบไปหาพี่สาวที่ห้องเครื่องหลวงมาใช่หรือไม่” หลี่หรงเฉิงถาม
เหยียนจื่อพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “หม่อมฉันจะไม่ทันแล้ว อีกประเดี๋ยวประตูจะถูกปิด ฝ่าบาท หม่อมฉันคงไม่อาจอยู่ต่อได้อีก ขอลาไปก่อนนะเพคะ!”
หลี่หรงเฉิงกลับหยุดนางไว้แล้วพูดว่า “อยู่กับข้าจะกลัวเรื่องประตูปิดไปไย? อีกประเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าผ่านไปเอง”
เมื่อนึกถึงคำแนะนำของพี่สาว เหยียนจื่อก็พูดว่า “เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ หากหม่อมฉันผ่านธรณีประตูออกมา อย่างไรก็ต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์จินอู๋”
หลี่หรงเฉิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเราเจอกันแล้ว อีกทั้งตอนนี้เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งเป็นนางรำ เจ้าจะออกจากสำนักเยว่ฝู่ตอนไหนก็ได้ตามต้องการ ช่วงนี้เสด็จแม่ของข้าประสงค์จะชมการเต้นรำอยู่พอดี เช่นนั้นคงเหมาะสมแล้วที่เจ้าจะไปเต้นรำให้นางดู”
“หลังจากนี้ฝ่าบาทต้องมาส่งหม่อมฉันกลับนะเพคะ หม่อมฉันไม่มีตำแหน่ง คงไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่หม่อนฉันพูด”
หลี่หรงเฉิงกล่าวว่า “ได้”
เหยียนจื่อเกาหัวของนาง “แล้วท่านรั้งหม่อนฉันไว้ด้วยเหตุใดกัน”
หลี่หรงเฉิงก้าวเข้ามาใกล้อีกก้าวหนึ่งพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ผุดพรายบนใบหน้า “เจ้าก็ลองเดาดูเถิด ว่าข้าต้องการทำอันใด”
เหยียนจื่อกลับร้องออกมาว่า “ไม่! ออกไปนะ”
หลี่หรงเฉิงถามว่า “เจ้าเป็นอะไร?”
เหยียนจื่อหัวเราะคิกคัก “ฝ่าบาท ข้าแพ้ถุงเครื่องหอมเจ้าค่ะ”
หลี่หรงเฉิงเคาะหัวนาง “ข้าใช้ถุงเครื่องหอมนี้ทุกวัน ตอนอยู่ที่สำนักเยว่ฝู่ เจ้าหยิบแล้วส่งคืนให้ข้าเองแท้ ๆ ข้าไม่เห็นว่าเจ้าจะแพ้ เจ้าโกหกข้าเห็น ๆ”
“ก็ตอนนั้นไม่แพ้ แต่วันนี้แพ้นี่เพคะ” เหยียนจื่อรีบแก้ตัว
“โกหกไม่เนียนเอาเสียเลย” หลี่หรงเฉิงพ่นลมหายใจ
เหยียนจื่อเดาะลิ้นแล้วเอ่ยต่อ “หม่อมฉันเรียนรู้มาจากท่านนั่นแหละเพคะ”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะ เขาทะเลาะกับนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะนึกภารกิจของตนได้ในที่สุด เขาจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ มันอาจทำให้เจ้าเดือดร้อนเอาได้”
“หายากนะเพคะ องค์ชายแปดมีเรื่องจริงจังปานนี้ด้วยหรือ?” เหยียนจื่อถาม
“แล้วข้าจะจริงจังอะไรทุกวันล่ะ” หลี่หรงเฉิงโต้กลับแล้วพูดต่อ “หากพรุ่งนี้เจ้าไม่มีธุระอะไรสำคัญ เจ้าไปที่ตำหนักชุ่ยอวี้เซวียนได้หรือไม่”
“ชุ่ยอวี้เซวียน?” เหยียนจื่องุนงง
“เสด็จแม่ข้าอยู่ที่นั่น” หลี่หรงเฉิงอธิบาย
“สนมจาวจะขออะไรจากหม่อมฉันหรือเพคะ” เหยียนจื่อรู้สึกแปลก ๆ นางเองก็ไม่เคยเห็นสนมคนนี้มาก่อน
หลี่หรงเฉิงถาม “ข้าได้ยินมาว่า สำนักเยว่ฝู่กำลังจัดงานเลี้ยงเทศกาลให้กับไทเฮา”
เหยียนจื่อพยักหน้า มีเพลงที่นางจะเต้นรำต่อพระพักตร์ฮ่องเต้และไทเฮาในอีกสามวันนี้พอดี
“ข้าอยากให้เจ้าไปชุ่ยอวี้เซวียนพรุ่งนี้ และเต้นรำให้เสด็จแม่ของข้าชม” หลี่หรงเฉิงดูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็พูดออกมา
เหยียนจื่อถามด้วยความแปลกใจ “ในเมื่อหม่อมฉันเป็นนางรำอยู่แล้ว ออกจะเป็นเรื่องปกติที่จะไปรำถวายที่วัง เหตุใดท่านต้องพูดเหมือนกับว่ามันเป็นความลับด้วย”
หลี่หรงเฉิงเกาหัวด้วยความขัดเขินแล้วพูดออกมา “การเต้นรําต้องซ้อมเป็นเวลานานและถวายแด่ฮ่องเต้และไทเฮา แต่ข้าต้องการให้เจ้าเต้นรําเพื่อเสด็จแม่ของข้า นางไม่ใช่คนเจ้ากี้เจ้าการ นางไม่มีวันเรียกนางรำเองหรอก”
เหยียนจื่อได้ยินดังนั้นก็คิดว่าเริ่มสมเหตุสมผล แต่หากสนมจาวต้องการดูการเต้นรํา นางก็สามารถดูมันได้อย่างเปิดเผย เหตุุใดต้องทำเป็นเรื่องลึกลับด้วยนะ
เมื่อเห็นความสงสัยในแววตาของเหยียนจื่อ หลี่หรงเฉิงจึงอธิบายต่อ “ในวังมักเต้นระบำพัดขนนกกัน แต่บางครั้งข้าก็อยากเห็นระบำใหม่ ๆ การเต้นรำแบบหมุนไปมาอย่างหนานฉวี่หาดูได้ยากมาก”
“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันได้เรียนรู้การเต้นหนานฉวี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน” เหยียนจื่อกล่าว
“เจ้าคงรู้ว่าแม่ของข้ามาจากหนานโจว” หลี่หรงเฉิงกล่าวต่อ “แม่ของข้าเกิดมามีภาระจำยอม นางเข้าวังในฐานะเรื่องเครื่องบรรณาการ ปีนี้หนานโจวประสบกับสงคราม ข้าเป็นผู้นำทัพสงครามครั้งนี้ นางจึงร้องห่มร้องไห้ตลอดทั้งวัน”