ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 73 กลับไปที่ห้องเครื่องหลวง
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 73 กลับไปที่ห้องเครื่องหลวง
บทที่ 73 กลับไปที่ห้องเครื่องหลวง
เฉินฟู่เซินพาเหยียนอี้ไปที่ห้องเครื่องหลวง และถามนางว่า “เหตุใดเจ้าจึงอยู่ในตำหนักตะวันออก? สองวันนี้เจ้าหายไปที่ใด”
เหยียนอี้ที่ยังคงเหนื่อยล้ากับเหตุการณ์เมื่อคืนจึงตอบอย่างอ่อนแรงว่า “เรื่องมันยาวมาก”
“เช่นนั้นเล่าแบบสั้น ๆ ก็ได้” เฉินฟู่เซินกล่าว
เหยียนอี้พูดถึงแต่ประเด็นที่สำคัญ นางบอกว่าถูกโจรพาตัวออกจากวังกลางดึกได้อย่างไร ถูกขายให้กับคนอื่นอย่างไร องค์รัชทายาทบังเอิญพบนางได้อย่างไร และนางกลับมาได้อย่างไร แต่ทั้งนี้ นางไม่ได้กล่าวถึงการลอบสังหารองค์รัชทายาท
เฉินฟู่เซินฟังคำพูดที่นางเล่าออกมา แต่เมื่อคิดว่านางต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดเมื่อนางเป็นผู้หญิงและถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังนอกวัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด จึงกล่าวว่า “มันเป็นความผิดของข้า เจ้าต้องลำบากเพราะข้า แต่ข้ากลับช่วยเจ้าไม่ได้เลย”
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใด?” เหยียนอี้ถาม
“ข้าคิดว่า…” เฉินฟู่เซินหยุดชั่วขณะและกลั้นใจพูดต่อว่า “ข้าคิดว่ามันเป็นคนของหลี่หงเสวี่ยที่จับเจ้าไปครั้งที่แล้ว”
“หลี่หงเสวี่ย… คือผู้ใดกัน?” เหยียนอี้ถาม
เฉินฟู่เซินไม่อยากตอบ
เหยียนอี้จึงพูดขึ้นว่า “เฉินฟู่เซิน ข้อสงสัยนี้ผุดขึ้นตั้งแต่ครั้งที่ข้าเคยช่วยเจ้าที่หมู่บ้านอู่ซาน แต่เจ้ากลับปิดบังข้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะปิดบังข้าไปตลอดชีวิต หรือเพราะในสายตาของเจ้า ข้าไม่น่าไว้วางใจสินะ”
“เหยียนอี้ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” เฉินฟู่เซินพึมพำ
เหยียนอี้กล่าวอย่างน้อยใจว่า “ตั้งแต่เราเข้าไปในวัง เจ้าและข้าห่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการทำสิ่งใดเมื่อเจ้าเข้าไปในวัง ในอดีต ข้าได้พบกับฮ่องเต้ในภัตตาคารกุ้ยซาน และต่อมาก็มีส่วนเกี่ยวข้องในวัง เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า พวกเราเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ทว่าเจ้ายังปฏิเสธที่จะบอกความจริงกับข้า จากนี้เราไม่มีสิ่งใดต้องพูดกันแล้วใช่หรือไม่”
เหยียนอี้กำลังจะเดินหนี แต่กลับถูกคว้าเอาไว้
“ตกลง เหยียนอี้ ข้าจะบอกเจ้า” เฉินฟู่เซินตัดสินใจแล้วที่จะยอมเล่า
เหยียนอี้หันมายิ้มบาง ๆ ให้เขา นางคิดว่า ‘วิธีนี้กระตุ้นคนได้ดีจริง ๆ’
“แต่ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ทุกสิ่งที่ข้าคิดจะทำ มันยากและอันตรายอย่างยิ่ง” เฉินฟู่เซินกล่าว
เหยียนอี้กล่าวว่า “เจ้าเพียงแค่ต้องบอกข้าว่าสิ่งที่เจ้าทำนั้นดีหรือไม่?”
เฉินฟู่เซินคิดหนักและตอบว่า “มันดีสำหรับบางคน แต่ก็ไม่ดีสำหรับบางคนเช่นกัน”
“เจ้าจะทำอะไร”
เฉินฟู่เซินตอบว่า “หากเจ้าต้องการบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เจ้าต้องมีอำนาจไว้ในมือ เหยียนอี้ นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าเข้าไปในวัง”
เหยียนอี้ถามว่า “แล้วหลี่หงเสวี่ยทำเรื่องดีหรือไม่ดี?”
เฉินฟู่เซินตอบอย่างตรงไปตรงมา “แม้ว่าข้าจะอยู่บนถนนสายเดียวกับเขา แต่ข้าก็มีวิธีที่แตกต่างกัน และไม่ได้ทำงานร่วมกัน ข้าได้รับความโปรดปรานมากมายจากครอบครัวของเขาเมื่อข้ายังเด็ก มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถช่วยในสิ่งที่ข้าต้องการทำ ข้าจึงไม่สามารถหนีไปจากเขาได้”
เหยียนอี้ถามว่า “เขาเป็นญาติของเจ้าใช่หรือไม่? ข้าเห็นเขาครั้งล่าสุด แม้ว่าเขาจะสวมเสื้อคลุม แต่ข้าก็ยังเห็นใบหน้าของเขา เขาดูเหมือนเจ้า”
เฉินฟู่เซินตอบว่า “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า เมื่อแม่ของข้าตั้งท้อง นางถูกทอดทิ้ง พ่อของเขาช่วยชีวิตแม่และข้าไว้”
ทันใดนั้น เหยียนอี้ก็ถามว่า “เขาเป็นใคร? เขาเป็นลูกชายของใคร? เฉินฟู่เซิน เจ้าเป็นลูกชายของใคร? เจ้าเป็นใคร?”
เฉินฟู่เซินเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อย ๆ กระชับกำปั้นของเขา เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาปูดโปนเหมือนจะระเบิด เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามจะพูดบางอย่าง แต่หลังจากนั้นเขาก็ยังคงไม่เอ่ยสิ่งใด
“เหยียนอี้ ข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ข้าจะทำแล้ว เจ้าเชื่อข้าหรือไม่” เฉินฟู่เซินกล่าว
เหยียนอี้พยักหน้า “อืม ข้าเคยเชื่อในตัวเจ้า เจ้าไม่รู้หรือ”
เฉินฟู่เซินฟังก็รู้สึกตงิด ก่อนจะพูดว่า “แล้ว… ตอนนี้ล่ะ”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มที่บิดเบี้ยว “เฉินฟู่เซิน ข้าไม่รู้ว่าสิ่งที่เจ้าพูดในวันนี้เป็นความจริงกี่ข้อและเท็จกี่ข้อ แต่เจ้าต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่เป็นอันตราย ตกลงไหม?”
“ได้ ข้าตกลง” เฉินฟู่เซินตอบโดยไม่ต้องคิด
เหยียนอี้ส่ายหัว “ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าจะสัญญาอย่างรวดเร็วและง่ายดายขนาดนี้”
“หากเช่นนั้น…” เฉินฟู่เซินก้มศีรษะทำเป็นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ตกลง”
เหยียนอี้เผลอยิ้มให้กับความน่ารักของเขา
พวกเขาพูดคุยกันระหว่างที่กำลังเดิน จากนั้นไม่นานก็มาถึงประตูห้องเครื่องหลวง
ตอนนี้เองที่หลางกวนเอ๋อร์ออกมาและเห็นเหยียนอี้ ส่งผลให้ถ้วยจานในมือเขาถึงกับหล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“เกิดอะไรขึ้น? หลางกวนเอ๋อร์ เจ้าประมาทเสียจริง!”
คนที่ตำหนิคือพ่อครัวจากซูโจว เขาได้ยินเสียงของหล่นจึงเดินตามมาบ่น แต่ทันทีที่เขาเห็นเหยียนอี้ เขาก็ตะโกนว่า “อ๊ากกก!” และวิ่งกลับพลางตะโกนว่า “ไม่! ไม่จริง! นางกลับมา!”
เหยียนอี้คิดกับตัวเองว่า ข้าหายไปแค่สองสามวัน เหตุใดพวกเขาทั้งหมดจึงทำอย่างกับว่าเห็นผี?
“บ้าไปแล้ว! นี่ต้องไม่ใช่เรื่องจริง!” ในเวลานี้ผู้คนในวังได้ยินเสียงตะโกนและออกมาดู ทว่าเมื่อพวกเขาเห็นเหยียนอี้ ก็พากันโหวกเหวกราวกับเห็นผี
มีเพียงหลางกวนเอ๋อร์เท่านั้นที่ยังคงเป็นปกติ เขาวิ่งไปจับไหล่ของเหยียนอี้ มองสำรวจนางสองครั้งและปล่อยโฮออกมา “เหยียนอี้! เจ้ายังมีชีวิตอยู่!”
เหยียนอี้รู้สึกแปลก ๆ “ปฏิกิริยาของเจ้าคืออะไร?”
หลางกวนเอ๋อร์น้ำหูน้ำตาไหล เขาเช็ดหน้าเช็ดตาพูดสิ่งใดไม่ออก
เฉินฟู่เซินกระซิบข้างหูของนางและพูดว่า “ข้าลืมบอกเจ้าว่าหลังจากที่เจ้าหายตัวไป เราแอบค้นหาเจ้าก่อนโดยไม่บอกห้องเครื่องหลวง จากนั้นเราก็ไม่สามารถซ่อนเรื่องนี้ได้อีกต่อไป และเรื่องได้จบลงโดยกลายเป็นว่าเจ้ามีอาการป่วยเฉียบพลันและเสียชีวิต”
เหยียนอี้คิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องตลก “ข้าถูกลักพาตัว เรื่องกลับกลายเป็นว่าข้าตายกะทันหันได้อย่างไร? แม้พวกเขาต้องรายงานการตายของข้า พวกเขาก็ควรจะได้เห็นศพก่อนหรือไม่”
เฉินฟู่เซินกล่าวขึ้นว่า “แน่นอนว่าเราไม่เชื่อ แต่เมื่อคนอื่นต่างเชื่อสิ่งนี้ ข้าจึงทำสิ่งใดไม่ได้”
ในเวลานี้ หลางกวนเอ๋อร์จับมือของเหยียนอี้ และพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า “พวกเขาทั้งหมดบอกว่าเจ้าตายแล้ว แต่ข้าไม่เชื่อจนกว่าจะเห็นศพ ในที่สุดข้าก็ได้พบเจ้าอีกครั้ง!”
เหยียนอี้ลูบศีรษะของหลางกวนเอ๋อร์และปลอบโยนเขา “ข้าสบายดี เลิกร้องไห้ได้แล้ว!”
หลางกวนเอ๋อร์จับมือเหยียนอี้และเดินเข้าไปในประตูห้องเครื่องหลวง เขาพูดกับผู้คนว่า “แม่ครัวเหยียนอี้ตัวเป็น ๆ กลับมาแล้ว ผู้ใดกระจายข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงเกี่ยวกับนาง จงออกมาขอโทษพี่สาวของข้า!”
แม้ผู้คนในห้องเครื่องหลวงจะไม่ค่อยมีมิตรภาพที่ดีต่อเหยียนอี้มากนัก แต่พวกเขาก็ดีใจที่เห็นว่าเหยียนอี้ยังคงสบายดีและพากันปรบมือต้อนรับ
เหยียนอี้เปลี่ยนผ้ากันเปื้อนและกลับไปทำงานตามปกติ นอกจากหลางกวนเอ๋อร์แล้ว คนอื่น ๆ ก็มาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้วย มันยากสำหรับเหยียนอี้ที่จะพูดมากเกินไป ดังนั้นนางจึงเล่าอย่างคร่าว ๆ
เมื่อพวกเขาได้ยินว่าเหยียนอี้ถูกลักพาตัวไปจากวัง คนทั้งหมดก็รู้สึกว่าการรักษาความปลอดภัยในวังไม่ดี ส่วนคนก่อเหตุ แม้แต่เหยียนอี้ก็ไม่รู้
พวกเขากำลังพูดคุยอย่างกระตือรือร้น ไห่เทียนอี้เองก็ได้ยินเรื่องนี้แล้ว
เหตุผลที่ไห่เทียนอี้ไม่ชอบเหยียนอี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาอิจฉาฝีมือของนางและอีกส่วนเพราะได้รับการยุยงจากองค์หญิงผิงหยาง ดังนั้นเขาจึงไม่ตกใจที่เหยียนอี้หายไป
เคยมีผู้เสียชีวิตโดยไม่มีเหตุผลกี่คนในวัง? ใครจะกล้าคาดเดาอารมณ์ของเจ้านาย?
ไห่เทียนอี้เดามานานแล้วว่าเรื่องของเหยียนอี้น่าจะเป็นฝีมือขององค์หญิงผิงหยาง เขาเองก็ไม่ต้องการให้นางอยู่ที่นี่ ตอนที่เห็นนางกลับมาเขาก็ตกใจเช่นกัน
เหยียนอี้กำลังสับเนื้อด้วยมีดทำครัว นางยิ้มและทักทายไห่เทียนอี้ มีดในมือของนางส่องแสงอยู่ตรงหน้าเขา
ไห่เทียนอี้รีบก้าวถอยหลังและจับคอของเขาโดยอัติโนมัติ เขาแสร้งทำเป็นสงบ “ใกล้เที่ยงแล้ว เหตุใดเจ้ายังทำเสียงดังที่นี่อีก? รีบทำงาน อย่ามัวเสียเวลา!”
เหยียนอี้มีความสุขมากที่เห็นว่าไห่เทียนอี้หวาดกลัวอย่างชัดเจน แต่ต้องบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์
อย่างไรก็ตามนางคิดว่านางไม่เคยทำให้คนมีอำนาจในวังขุ่นเคือง ส่วนใหญ่ก็มีเพียงหัวหน้าห้องเครื่องหลวง แต่เขาไม่ได้จัดการกับนาง ไม่ว่าเขาจะมีความชำนาญเพียงใด เขาก็ไม่มีความสามารถพอจะลักพาตัวข้ารับใช้หญิงออกจากวังได้ ฉะนั้นเรื่องในครั้งนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลย
แต่หากไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใคร? เหยียนอี้คิดหนัก แต่ท้ายที่สุดนางก็ไม่มีคำตอบ
หลังจากเหยียนอี้กลับมา หยวนซินก็ทำผิดพลาดและถูกส่งไปที่ห้องทำความสะอาดเพื่อทำงานหนัก
เหยียนอี้ไม่ชอบหยวนซิน เขาเป็นสุนัขรับใช้ของไห่เทียนอี้ เขามักจะทุบตีและดุด่าสาวใช้ระดับต่ำ เขาช่างน่ารำคาญที่สุด
แม้แต่ไห่เทียนอี้ก็ดูเหมือนจะถูกตำหนิเช่นกัน หากไม่มีสิ่งผิดปกติ เขาจะไม่มาที่ห้องเครื่องเพื่อจ้องจับผิดอีก เขามักจะนั่งข้างนอกในฐานะผู้ดูแลและไม่ค่อยมาหาเหยียนอี้อีก
ในอดีตพวกเขาไม่กล้าต่อต้านหัวหน้า ไม่มีใครกล้าพูดกับเหยียนอี้ แต่ตอนนี้พวกเขาเข้ากันได้ดีกับนาง
…
วันเวลาผ่านไปถึงสองเดือนด้วยความราบรื่น และเทศกาลไหว้พระจันทร์กำลังจะมาถึงในไม่ช้า
งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวังมีความสำคัญสูงสุดเสมอมา วันนั้นไม่เพียงแต่นายหญิงของตำหนักต่าง ๆ จะแข่งขันกันเอง แต่ยังรวมถึงนางสนมนอกวังที่จะเข้ามาในวังเพื่อขอบคุณสำหรับความเมตตา งานเลี้ยงจะมีตั้งแต่เที่ยงวันถึงเที่ยงคืน
ห้องเครื่องหลวงยังให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับงานเลี้ยง คนในห้องเครื่องเริ่มซื้อวัถตุดิบและเตรียมของล่วงหน้าครึ่งเดือน
ในเวลาปกติจะมีงานเลี้ยงขนาดเล็กและขนาดใหญ่มากมายในพระราชวัง งานเลี้ยงเทศกาลกลางไหว้พระจันทร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น นอกเหนือจากเทศกาลปีใหม่แล้ว เทศกาลนี้เป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่เคร่งเครียดที่สุดในรอบปี
ปีนี้แตกต่างจากอดีตเล็กน้อย เพราะมันถูกจัดขึ้นพร้อมกับเทศกาลเชียนชิว*[1] ซึ่งตรงกับวันพระราชสมภพของไทเฮา
เดิมทีวันพระราชสมภพของไทเฮาคือหนึ่งเดือนหลังจากเทศกาลไหว้พระจันทร์ อย่างไรก็ตามราชสำนักได้ทำนายว่ามีดวงจันทร์ที่อันตรายคือ เยี่ยนชงเยว่ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการเฉลิมฉลอง จึงมีการเปลี่ยนวัน
สำหรับเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ ฮ่องเต้ได้ออกคำสั่งส่วนตัวเพื่อทำเรื่องใหญ่จนเกิดเป็นความปั่นป่วนครั้งใหญ่ ห้องเครื่องหลวงเองก็ได้รับคำสั่งให้ทำอาหารใหม่ ๆ มากขึ้นและต้องตั้งชื่อที่ดี
พ่อครัวในห้องเครื่องหลวงพากันเอาใจเจ้านาย เพราะไม่ยากสำหรับพวกเขาที่จะเลือกชื่อที่ดี แต่สิ่งที่ยากคือการทำอาหารใหม่ที่ผู้คนไม่เคยได้เห็นมาก่อน
อาหารจานใหม่นี้เน้นที่คำว่า “ใหม่” แต่ไม่สามารถเป็นของแปลกได้ มันยังคงต้องอร่อย และไม่สามารถทำอาหารที่กลืนยาก อย่างเช่น พ่างต้าห่ายผัดซอสแดง*[2] และเกล็ดปลาผัดหม่าล่า
เป็นผลให้ทุกคนเกิดความวิตกกังวล พวกเขารวมตัวกันเพื่อจัดการประชุมทุกวัน ไห่เทียนอี้ถึงกับทุบหัวเพราะความเครียด เขาคิดว่าตอนนี้เส้นผมของเขาคงร่วงไปแล้วหนึ่งในสามส่วน
ในบรรดาผู้คน มีเพียงเหยียนอี้เท่านั้นที่ยังสบายใจและไม่ได้รับผลกระทบ
[1] เทศกาลเชียนชิว (千秋节) เป็นชื่อเก่าของเทศกาลเชงเม้ง
[2] พ่างต้าห่าย (胖大海) คือพืชสมุนไพรชนิดหนึ่งที่ช่วยรักษาโรคเจ็บคอ เสียงแหบแห้ง และไอ