ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 72 การชนกัน
บทที่ 72 การชนกัน
“องครักษ์เฉิน! เจ้าเข้าข้างนางรึ” องค์หญิงผิงหยางยิ่งโกรธแค้นมากขึ้น นางต้องการที่จะตบตีเฉินฟู่เซิน
แต่องครักษ์หนุ่มไม่ปล่อยให้นางตี เขาคว้ามือที่บอบบางขององค์หญิงและบังคับฝ่ามือของนางลง
“เจ้าชักจะเหิมเกริมมากไปแล้ว ถึงขนาดกล้าทำกับข้าเช่นนี้!” ความโกรธของผิงหยางรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ “อย่าคิดทำตัวต่อต้านข้าเพียงเพราะอยู่ต่อหน้าผู้หญิงของเจ้า!”
เสียงเอะอะดังขึ้นจนคนในตำหนักได้ยิน หลี่หรงเฉิงออกมาเห็นผิงหยางและเหยียนอี้ เขาจึงรีบพูดว่า “เกิดอะไรขึ้นพี่สาวเจ็ด? จะไปยุ่งกับคนในวังด้วยเหตุใด?”
เมื่อผิงหยางเห็นหลี่หรงเฉิง นางก็โกรธจัดและสาปแช่งทันที “เจ้ามาขยันมาที่ตำหนักตะวันออกทุกวัน! รู้ตัวเสียบ้างว่าเจ้าคือสิ่งที่ต่ำต้อยจากหนานโจว คอยแต่ยึดติดกับองค์รัชทายาทและจัดงานเลี้ยงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว!”
เมื่อหลี่หรงเฉิงได้ยินดังนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นมืดมนในทันใด
องค์หญิงแห่งผิงหยางผู้นี้อายุมากกว่าหลี่หรงเฉิงเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่นางเป็นลูกสาวของฮองเฮา ส่วนเขาเกิดจากนางสนมที่ไม่เป็นที่ต้องการ แพทย์และหญิงสาวจากพระราชวังหลวงรีบไปที่ตำหนักฮองเฮาเฉียน แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังอยู่กับฮองเฮา
จาวผินหลินผู้เป็นแม่ของหลี่หรงเฉิง เวลานั้นนางเป็นเพียงนางสนมระดับต่ำเท่านั้น นางทนทุกข์ทรมานจากอาการปวดท้องทั้งวันทั้งคืน แต่ไม่มีผู้ใดสนใจนางยกเว้นสาวใช้ที่ใกล้ชิด นางไม่สามารถแม้แต่จะเชิญคนทำคลอดมาช่วยเหลือ
หากไม่ใช่เพราะฮองเฮาเพิ่งให้กำเนิดองค์หญิง และนางสนมจาวได้ให้กำเนิดองค์ชาย คนทั้งวังรวมถึงฮ่องเต้คงไม่สนใจว่าแม่ของหลี่หรงเฉิงจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
องค์หญิงผิงหยางเติบโตขึ้นมาอย่างสูงส่ง นางถูกเลี้ยงดูมาโดยผู้คนหลายพันคน ทำให้นางดูแคลนองค์ชายที่เกิดจากสนมมาโดยตลอด
แต่ต่อหน้าองค์รัชทายาท นางมักจะแสร้งทำเป็นสนิทสนมกับองค์ชายแปด พวกเขาทั้งสองคนโตขึ้นมาก ผิงหยางเป็นพี่สาวแต่ไม่อยากถูกเรียกว่าพี่ นางจึงเรียกหลี่หรงเฉิงว่าพี่ชายแปดอย่างสนิทสนม ทำให้องค์รัชทายาทมักจะยิ้มและหัวเราะ
อย่างไรก็ตาม เมื่อองค์รัชทายาทไม่อยู่ องค์หญิงผิงหยางไม่เคยเดินเฉียดกับองค์ชายแปดเลยแม้แต่น้อย
เวลานี้องค์หญิงผิงหยางอารมณ์เสียอย่างมาก นางคร้านที่จะแสร้งทำเป็นสุภาพ จึงเทโทสะทั้งหมดของนางลงที่หลี่หรงเฉิงแล้วดุด่าเขา ทันใดนั้น นางก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลี่หรงอวี่ซึ่งอยู่ด้านในอาจจะได้ยิน นางจึงหุบปากทันทีและเตะเหยียนอี้ซึ่งกำลังคุกเข่า ก่อนจะเดินเข้าไปในตำหนัก
หลี่หรงเฉิงขี้เกียจเกินกว่าจะโต้เถียงกับผิงหยาง เขาจึงมองเหยียนอี้และขยิบตาบอกให้นางไป
เฉินฟู่เซินดึงเหยียนอี้ขึ้นมาและกำลังจะถามไถ่ แต่เขาเห็นองค์หญิงผิงหยางออกมาอีกครั้งและตะโกนว่า
“เฉินฟู่เซิน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ เจ้ามาจากที่เดียวกับแม่ครัวในห้องเครื่องหลวง พวกเจ้ามีความสัมพันธ์กันในอดีต เมื่อเห็นว่านางถูกรังแก เจ้าจึงกล้าขัดแย้งแม้แต่กับองค์หญิงอย่างข้าใช่หรือไม่? เจ้าคงรักใคร่นางมากสินะ”
หลังจากที่นางพูดแบบนี้ หลี่หรงอวี่จึงเดินออกมาและมองไปที่เหยียนอี้ เขาเห็นเฉินฟู่เซินพยุงหญิงสาวขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เหยียนอี้ไม่กล้าอยู่ต่อ นางรีบปล่อยมือของเฉินฟู่เซิน โค้งคำนับองค์ชายและรีบจากไป
เฉินฟู่เซินไล่ตามเหยียนอี้โดยไม่สนใจสิ่งที่องค์หญิงผิงหยางพูด
เมื่อผิงหยางเห็นทั้งสองจากไป นางก็รีบพูดกับหลี่หรงอวี่ว่า “พี่รอง ท่านเห็นหรือไม่ว่าองครักษ์ในวังของข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับหญิงสาวสกุลเหยียน”
หลี่หรงอวี่ไม่พูดอะไร เพียงมองหน้าหลี่หรงเฉิงอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ เดินกลับไปที่ตำหนัก
ทางด้านหลี่หรงเฉิงสั่งให้คนไปจัดการกับรถม้าที่ใช้ส่งองค์รัชทายาทและเหยียนอี้เพื่อนั่งกลับมา รวมถึงเอาเสื้อผ้าที่พวกเขาถอดแล้วไปเผาด้วย
ผิงหยางมาที่นี่โดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่หลี่หรงอวี่ออกจากวังและได้รับบาดเจ็บ นางแค่ทำตัวเหมือนคนขี้ขลาดและต้องการให้พี่ชายคุยกับนางเพื่อคลายความเบื่อหน่าย
หลี่หรงอวี่บาดเจ็บสาหัส เขาเจ็บปวดมาก ผิงหยางเห็นใบหน้าที่ซีดเผือดของเขาจึงถามว่า “พี่รอง เหตุใดท่านจึงหน้าซีดเหลือเกิน”
หลี่หรงอวี่รีบปิดบัง “เมื่อคืนนี้ข้าอ่านตำราสงคราม จึงตื่นสายและรู้สึกไม่ค่อยสดชื่น”
ผิงหยางยังคงคิดถึงตอนที่เหยียนอี้รีบออกจากตำหนักตะวันออก นางแอบด่าองครักษ์หวงว่าไม่ได้เรื่องอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของนางนั้นไม่เปลี่ยนแปลง นางหยั่งเชิงถามว่า “พี่รอง ท่านอ่านตำราสงครามเมื่อคืนนี้ มีใครอยู่กับท่านบ้างหรือไม่”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่ชอบถูกรบกวนตอนที่ข้าอ่านตำรา”
ผิงหยางถามว่า “จริงหรือ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้า
ผิงหยางกระซิบว่า “ดูเหมือนว่าหลังจากอ่านทั้งคืน พี่รองจะหิวอย่างมาก ท่านจึงขอให้ข้ารับใช้หญิงของห้องเครื่องหลวงมาส่งอาหารในตอนเช้า”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ครั้งสุดท้ายที่เจ้าเคยกล่าวว่าพ่อครัวของตำหนักตะวันออกนั้นฝีมือไม่ดี ข้าได้ลองกินมันไม่กี่วันและคิดว่ามันไม่ดีอย่างที่เจ้าพูดจริง ๆ วันนี้ข้าจึงสั่งอาหารจากห้องเครื่องหลวง”
ผิงหยางคว้าถั่วลิสงหนึ่งกำมือ แกะเปลือกทีละชิ้นและพูดขณะกิน “พี่รอง ท่านไม่รู้หรอกว่าเมื่อวานนี้ข้าได้ยินเรื่องแปลก มันน่าสนใจมาก”
“เรื่องแปลกอะไรรึ” หลี่หรงอวี่ถาม
ผิงหยางกล่าวว่า “เมื่อสองวันก่อน ทหารที่เฝ้าประตูเฉาหยางวิ่งออกจากประตูวังและไม่เคยกลับมาอีกเลย มีคนไปที่บ้านของเขาเพื่อค้นหา แต่กลับพบว่าที่อยู่ที่เขากรอกในประวัติเป็นเท็จ”
“เพื่อนร่วมงานของเขาบอกว่าตอนที่เขาวิ่งออกไป เขาปิดหูด้วยมือข้างหนึ่ง และใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่งปกคลุมไปด้วยเลือด ต่อมาชาวสวนขุดเจอใบหูข้างหนึ่งในดินใกล้ประตูเฉาหยาง มันแปลกมาก”
หลี่หรงอวี่รู้สึกแปลก ๆ และถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน เจ้าพอจะรู้หรือไม่”
“ข้าไม่รู้เรื่องหรอก บางทีมันอาจจะเป็นการต่อสู้กันระหว่างทหาร”
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง หลี่หรงอวี่ก็พูดว่า “ข้าเองก็มีเรื่องแปลก ๆ เจ้าอยากฟังหรือไม่”
ผิงหยางชื่นชอบการฟังเรื่องเหล่านี้มากที่สุด นางปรบมือและพูดว่า “ตกลง ๆ พี่รอง โปรดเล่าให้ข้าฟังที”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “วันก่อนมีโจรคนหนึ่งอยู่ในห้องของสาวใช้ในวัง โจรไม่ได้เอาทองและเงิน เขาไม่ได้ฆ่าหรือจุดไฟเผาคน แต่เขาลักพาตัวหญิงคนนั้นแทน ข้าไม่รู้ว่าเขาหลบการตรวจสอบของทหารที่ประตูวังไปได้อย่างไร เขาพาหญิงสาวออกจากวังและขายให้กับคนอื่น เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่”
เดิมทีผิงหยางฟังคำพูดของหลี่หรงอวี่พลางยิ้มแย้ม แต่หลังจากฟังแล้วนางก็หุบยิ้มทันที
เมื่อเห็นหลี่หรงอวี่ถามพร้อมกับดวงตาที่สดใส นางก็รีบหลบสายตาและพูดว่า “โอ้? อะไรนะ มีโจรในวังหรือ? มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ ข้าจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เลย”
หลี่หรงอวี่แสดงสีหน้าเรียบเฉย ไม่สามารถบอกได้ว่าเขามีความสุขหรือโกรธอยู่ เพียงแต่พูดว่า “มันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ แปลกมาก ไม่ใช่แค่เรื่องที่ข้ารับใช้หญิงถูกลักพาตัวไป ทว่าแม้แต่สาวใช้ระดับสามเดินเข้ามาในวัง เรื่องนี้ก็ควรทูลให้ฮองเฮาให้ทราบ”
ผิงหยางรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ นางแค่นหัวเราะและพูดว่า “บางทีมันอาจจะเป็นข่าวลือ นางเป็นแค่ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งในห้องเครื่องหลวง ท่านไม่ต้องทูลก็ได้”
หลี่หรงอวี่พูดอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ารับใช้หญิงคนนั้นมาจากห้องเครื่องหลวง”
ผิงหยางหลุดพูดคำนั้นและตกใจอย่างมาก ถั่วลิสงที่ควรจะเข้าไปในปากของนางกลับกลิ้งลงไปที่พื้น นางลูบผมของนางและพยายามสงบสติอารมณ์ “ข้าแค่คิดว่ามันเป็นไปได้”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ห้องเครื่องหลวงสูญเสียข้ารับใช้หญิงไป แต่ไม่มีผู้สนใจเรื่องนี้ ต้องมีคำสั่งให้ปิดเรื่อง ผิงหยาง เจ้าพอจะรู้หรือไม่ว่ามีผู้มีอำนาจกี่คนที่สามารถทำเช่นนั้นได้”
ผิงหยางเคยชินกับความไร้ระเบียบมาโดยตลอด นางไม่เคยถูกบังคับถามเช่นนี้? นางมองไปรอบ ๆ และพูดเปลี่ยนเรื่องว่า “พี่รอง ถั่วลิสงในตำหนักของท่านอร่อยมาก ข้าขอให้ใครสักคนเอามาคืนทีหลังได้หรือไม่”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ถั่วลิสงถูกส่งมาจากห้องเครื่องหลวง”
ผิงหยางลุกขึ้นยืน เช็ดมือและพูดว่า “พี่รองอาจจะเหนื่อยจากการอ่านเมื่อคืน เช่นนั้นข้าจะกลับไปก่อน ท่านจะได้พักผ่อน”
ใบหน้าของหลี่หรงอวี่มืดมน เขาตบโต๊ะอย่างหนักทำให้ผิงหยางสะดุ้ง
ผิงหยางพูดอย่างกังวล “พี่รองรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว เหตุใดยังมาถามข้าอีก? ในเมื่อท่านสามารถช่วยหญิงเลวคนนั้นได้ ข้าก็สามารถลักพาตัวนางได้อีกครั้ง! หากพี่รองพยายามทำกับข้าเช่นนี้ ข้าจะ… ข้าจะทำให้ท่านไม่ได้เจอนางอีก!”
หลี่หรงอวี่พูดอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร!”
หลังจากที่ชายหนุ่มพูดแบบนี้ เขาก็กระแอมไอจนแผลสะเทือน และเขาอดไม่ได้ที่จะกำหมัดข่มความเจ็บ
ผิงหยางมองการกระทำของพี่ชายแล้วโกรธจัด เพราะมันสื่อให้เห็นชัดว่าเขาให้ความสำคัญกับเหยียนอี้มากเพียงใด นางโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ และพูดว่า “นางต้องการยั่วยวนท่าน และนางมายั่วยุข้า!”
“เจ้า… นางยั่วยวนข้าเมื่อใด” หลี่หรงอวี่ถามว่า “ผิงหยาง เมื่อไรที่เจ้ากลายเป็นคนโหดร้ายเช่นนี้”
ผิงหยางร้องไห้ “ข้าน่ะหรือโหดร้าย? ข้าไม่ได้ทำร้ายนางเลย! ตอนนี้นางยังมีชีวิตอยู่ ข้าก็แค่อยากไล่นางไปให้พ้นจากตำหนักตะวันออกไม่ได้หรือ!?”
“พี่รอง ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท ผู้หญิงที่ท่านคู่ควร… ควรเป็นจวงชูเสียนที่เกิดในครอบครัวมีชื่อเสียง จะเป็นหญิงต่ำต้อยจากชนบทได้อย่างไร?”
“เหยียนอี้นั้น นางแค่ต้องการยกตำแหน่งตัวเองให้สูงขึ้น ในฐานะข้ารับใช้หญิง นางกล้าที่จะยั่วยวนองค์รัชทายาท นางสมควรถูกลงโทษ!”
ยิ่งนางพูดมากเพียงใด หลี่หรงอวี่ก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น เขายกมือขึ้นต้องการตบหน้านาง แต่ท้ายที่สุดก็ยั้งมือไว้
ผิงหยางรู้สึกเสียใจมากเมื่อเห็นว่าพี่ชายคิดจะตบ นางเชิดหน้าขึ้นและพูดว่า ” ท่านจะทุบตีข้า! เพื่อผู้หญิงเลวคนนั้น ท่านถึงกับทำร้ายน้องสาวของตัวเอง!”
หลี่หรงอวี่วางมือลง ผิงหยางปล่อยโฮออกมาอย่างหนัก “ข้าจะบอกให้ท่านแม่ขับไล่เหยียนอี้ออกจากวังเพื่อที่ท่านจะได้ไม่เจอนางอีกตลอดชีวิต!”
ผิงหยางกำลังจะออกไป หลี่หรงอวี่รีบคว้ามือนางไว้และพูดว่า “อย่าทำเรื่องร้ายอีกเลย!”
เขารู้ว่าน้องสาวของเขาเป็นคนโมโหร้ายและแข็งกระด้างมาโดยตลอด หากเขายังคงโต้เถียงกับนางต่อไปคงไม่เป็นผลดีสำหรับเหยียนอี้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนน้ำเสียงและพูดอย่างนุ่มนวลว่า
“ผิงหยาง เหยียนอี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้าเลย เจ้าเป็นคนมีเหตุผลมาโดยตลอด ฉะนั้นอย่าทำเรื่องเลวร้ายอีก เข้าใจหรือไม่”
แต่ผิงหยางไม่ยอมสงบสติอารมณ์ นางกลับจ้องมองหลี่หรงอวี่ด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “ท่านขอร้องข้าหรือ? ท่านโหดร้ายกับข้ามากในตอนนี้ พอข้าต้องการขับไล่นางออกจากวังเท่านั้น ท่านกลับยอมอ่อนข้อ? ฮึ่ม! พี่รอง ข้าผิดหวังในตัวท่าน!”
ครั้นพูดจบ นางก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อนางมาถึงประตูตำหนักตะวันออก นางเห็นสาวใช้ในวังเพียงสองคนและผู้คุ้มกัน แต่ไม่เห็นเฉินฟู่เซิน สิ่งนี้ยิ่งทำให้นางบันดาลโทสะมากขึ้นเรื่อย ๆ
นางเตะกระถางดอกไม้ที่ประตูและตะโกนว่า “พาข้าไปหานาง! นังสารเลวรอข้าก่อนเถอะ!”