ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 68 ฝนที่เทลงมา
บทที่ 68 ฝนที่เทลงมา
เหยียนอี้พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจนางตื่นตระหนก นางกลัวว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเฉินฟู่เซินจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้นหากองค์ชายสืบสาวเรื่องราวและพบข้อมูลของเฉินฟู่เซิน?
แต่อีกความคิดหนึ่ง นางยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเฉินฟู่เซิน นางไม่สามารถแน่ใจได้ว่าสิ่งที่เฉินฟู่เซินทำนั้นถูกหรือผิด หากสิ่งที่เขาทำนั้นคุกคามราชวงศ์และอาณาจักรอวี๋จริง เหยียนอี้จะยังช่วยเขาปกปิดมันไว้หรือไม่?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้นางอดหวาดกลัวไม่ได้
นางพูดกับหลี่หรงอวี่ว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นเพียงข้ารับใช้หญิงตัวเล็ก ๆ แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฝ่าบาทและฮ่องเต้ที่หญิงสาวคนหนึ่งจะถูกลักพาตัวไปจากวัง แต่จากเหตุการณ์นี้เราจะเห็นได้ว่าการป้องกันในวังหละหลวมเพคะ”
หลี่หรงอวี่พูดด้วยใบหน้าจริงจังว่า “เจ้าถูกนำตัวออกจากวัง มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ได้อย่างไร!”
เหยียนอี้ตกตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เมื่อหลี่หรงอวี่สงบใจลง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าหมายความว่ามีคนทรยศในเมืองหลวงอันงดงามของเรา พวกเขากล้าถึงขนาดลักพาตัวข้ารับใช้หญิง หากเราไม่ตรวจสอบเรื่องนี้อาจทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้ อีกทั้งมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของเสด็จพ่อและข้า จะถือเป็นเรื่องเล็กน้อยได้อย่างไร”
เหยียนอี้ผงกหัวขึ้นลงเข้าใจ องค์รัชทายาทกล่าวต่อว่า “ดังนั้นหลังจากกลับไปที่วัง เจ้าไม่จำเป็นต้องจัดการกับเรื่องนี้ ข้าจะตรวจสอบเอง”
เหยียนอี้พยักหน้าอีกครั้ง
ทั้งสองนั่งเฉย ๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน แต่ช่างหลิงเฟิงก็ยังไม่มา เหยียนอี้เริ่มเป็นห่วง “องครักษ์ของท่านคงไม่หลงทางใช่หรือไม่เพคะ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ช่างหลิงเฟิงคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้มาก แต่อย่างไรเสียถนนที่นี่มีความซับซ้อนและเขาไม่สามารถหาเราคนเดียวได้ บางทีเขาอาจกลับไปที่วังหลวงและขอความช่วยเหลือ”
“แต่ข้าไม่ต้องการให้คนจำนวนมากรู้ว่าข้ามาที่นี่ในวันนี้ หากเด็กคนนั้นคิดน้อยและส่งคนจำนวนมากมาตามหาเรา ข้าจะลงโทษเขาสำหรับความผิดพลาดที่โง่เขลาเลยคอยดู”
ได้ยินดังนั้นเหยียนอี้ก็คลี่ยิ้ม “หม่อมฉันเกรงว่าลูกน้องขององค์ชายจะกลัวว่าท่านจะลงโทษเขา คงไม่กล้าขอความช่วยเหลือหรอกเพคะ เวลานี้เขาอาจแค่เดินไปมาเหมือนแมลงวันหัวขาดและหาเราไม่เจอก็ได้”
เหยียนอี้ลุกขึ้นยืนและพูดต่อว่า “ฝ่าบาท ขึ้นม้าและหาทางออกกันเถิดเพคะ หากไม่มีใครมาจะทำอย่างไร เราจะนั่งที่นี่ตลอดไปไม่ได้”
ดวงตาของหลี่หรงอวี่แสดงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ที่เจ้าต้องการขี่ม้ากับข้าเพราะอยากฉวยโอกาสจากข้าหรือ”
เหยียนอี้กล่าวว่า “หม่อมฉันได้รับการช่วยเหลือจากฝ่าบาท ตอนนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัย หม่อมฉันเผลอเสียมารยาทไป แต่ตอนนี้ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว เหยียนอี้มิบังอาจทำเช่นนั้นอีก เพียงแค่ให้ฝ่าบาทขึ้นม้าแล้วเหยียนอี้จะจูงม้าให้ฝ่าบาทก็เท่านั้นเองเพคะ”
หลี่หรงอวี่ต้องการหยอกเย้านางอีก แต่แล้วก็ทำเพียงขึ้นไปบนหลังม้า แล้วยื่นมือให้เหยียนอี้แล้วพูดว่า “ขึ้นมา”
เหยียนอี้หัวเราะคิกคัก แต่ไม่ปฏิเสธและขึ้นม้าอย่างเชื่อฟัง คราวนี้หลี่หรงอวี่อยู่ข้างหลัง เหยียนอี้นั่งอยู่ข้างหน้า เขาจับบังเหียนไว้ในมือโดยที่มีเหยียนอี้อยู่ในอ้อมแขนของเขา
เหยียนอี้รู้สึกว่าการกระทำนี้ดูสนิทสนมและไม่เหมาะสมเกินไป นางรีบเอ่ยว่า “บางทีหม่อมฉันควรจะนั่งด้านหลัง”
จากนั้นนางก็นึกได้ว่านางเพิ่งโอบเอวองค์รัชทายาทเมื่อครู่ จึงอดหน้าแดงด้วยความอับอายไม่ได้
หลี่หรงอวี่ไม่ได้ตอบนาง แส้ในมือของเขาสะบัดไปมาและม้าก็ยังคงเดินหน้าต่อไป
…
ด้วยความไม่รู้ทางพวกเขาจึงค่อย ๆ ไป ครู่หนึ่งก็เห็นวัดหอกเหล็ก
หลี่หรงอวี่เคยมาที่นี่หลายครั้ง แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีวัดหอกเหล็กขนาดเล็กอยู่ด้วย
วัดหอกเหล็กเป็นวัดที่อุทิศให้กับหวังเยี่ยนจาง แม่ทัพที่มีชื่อเสียงของยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักรในอดีต หวังเยี่ยนจางใช้หอกเหล็กออกรบ ในท้ายที่สุดเขาถูกศัตรูจับตัวไป เขายอมตายเสียดีกว่ายอมจำนน ผู้คนรู้สึกถึงความภักดีของเขาจึงสร้างวัดบูชา
ด้วยเหตุนี้ในเวลานั้นจึงมีวัดหอกเหล็กในเกือบทุกเมืองมากกว่าศาลเจ้าและศาลหลักเมืองที่เห็นได้ทั่วไป
ในเวลานี้ฟ้าเริ่มมืด หลี่หรงอวี่กลัวว่าหากพวกเขายังเดินหน้าต่อ พวกเขาต้องใช้เวลาหนึ่งคืนในถิ่นทุรกันดารอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะดีกว่าที่จะหยุดที่วัดหอกเหล็กและผูกม้าเอาไว้ข้างนอก
ม้าตัวนี้เป็นเครื่องบรรณาการจากอาณาจักรต้าหว่าน[1] ในฝั่งตะวันตก ซึ่งน่าจะมีเพียงตัวเดียวในเมืองหลวง หากช่างหลิงเฟิงผ่านทางนี้และเห็นม้าตัวนี้ เขาย่อมจำได้
ทันทีที่พวกเขามาถึงประตูวัดหอกเหล็ก พวกเขาเห็นขอทานกำลังย่างห่านป่า เสื้อผ้าของเขามีรอยปะชุนทั่วร่างกาย
หลี่หรงอวี่และเหยียนอี้ค้นหาทางมานานและยังไม่ได้กินอะไรมาตลอดทาง พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นของห่านย่าง
เมื่อขอทานเห็นใครบางคนมา เขาก็ก้าวออกมาและตะโกนด้วยเสียงที่ดุเดือดว่า “ให้ตายสิ ไอ้สารเลวตัวไหนวิ่งอยู่ข้างนอกนั่น”
ปรากฏว่าวัดหอกเหล็กถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานานและถูกขอทานยึดเป็นที่พักพิงเรียบร้อยแล้ว
หลี่หรงอวี่ช่วยเหยียนอี้ลงจากหลังม้า จากนั้นประสานมือแล้วพูดว่า “ข้ากับสหายของข้าหลงทาง และตอนนี้มันก็มืดแล้ว พวกเราผ่านมาที่นี่พอดีจึงอยากขอพักสักคืน”
ขอทานเหลือบมองไปที่หลี่หรงอวี่ เมื่อเห็นว่าเขาสวมเสื้อผ้าเนื้อดี เขาถ่มน้ำลายและพูดว่า “เจ้าเป็นบุตรชายของตระกูลที่ร่ำรวยและมีเกียรติ คิดจะต่อสู้กับขอทานเฒ่าเช่นข้าเพื่อหาที่หลับนอนงั้นหรือ”
เหยียนอี้คิดว่าเนื่องจากขอทานเฒ่าอาศัยอยู่ในวัดหอกเหล็ก เขาต้องคุ้นเคยกับถนนโดยรอบ ดังนั้นนางจึงยิ้มและพูดว่า “ท่านลุง ท่านรู้หรือไม่ว่าจะไปที่ถนนหลักได้อย่างไร”
เมื่อขอทานเฒ่าเห็นความงามของเหยียนอี้ เขาอาจปฏิบัติต่อหลี่หรงอวี่อย่างดุร้าย แต่สำหรับหญิงสาว… รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้าที่เหี่ยวย่น เขาลูบมือพลางเดินไปข้างหน้าหมายจะจับมือเหยียนอี้ เขากล่าวว่า “ข้าเป็นคนเฝ้าประตูวัดแห่งนี้ หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สวยงามเช่นเจ้าสามารถเข้าไปได้ แต่ผู้ชายผิวขาวคนนั้นเข้าไปไม่ได้”
ยังไม่ทันที่มือของชายเฒ่าจะได้แตะเหยียนอี้ หลี่หรงอวี่ก็รีบยื่นมือเข้าจับมือขอทานเฒ่าไว้แทน
ขอทานร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด หลี่หรงอวี่ออกแรงบีบก่อนจะสะบัดมือทิ้ง
ขอทานไม่คิดว่าเขาจะต้องมาเจอกับผู้เป็นวรยุทธ์ และเขาไม่สามารถต่อสู้ได้ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงก่นด่า
เหยียนอี้มองไปที่ใบหน้าสกปรกของเขาและรู้สึกขยะแขยง นางกระซิบกับหลี่หรงอวี่ว่า “ลืมไปเถิด เราควรจะไปที่อื่นดีกว่าเพคะ”
หลี่หรงอวี่ไม่อยากสร้างปัญหา ดังนั้นเขาจึงขึ้นม้า และทั้งคู่ก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ขอทานเพิ่งเจ็บตัวมา เขาจะกล้าตามไปได้อย่างไร? เขาก่นด่าสาปแช่งสองชายหญิงอีกครั้งและหันกลับไปที่ประตูวัด
…
ท้องฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าร้องดังมาจากเมฆครึ้มที่อยู่ไกลออกไป ฝนอาจตกเร็ว ๆ นี้
“ฝ่าบาท หากไม่มีใครพบเรา ท่านยอมนอนในถิ่นทุรกันดารได้หรือไม่เพคะ” เหยียนอี้มองไปที่ท้องฟ้าและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเดินทางมานานแล้ว แต่ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม หลี่หรงอวี่ก็เริ่มวิตกกังวลมากขึ้น
“มีถนนหลายสายถูกสร้างขึ้นที่หวงจวงนอกเขตเมืองหลวง และข้าไม่เคยมาเส้นทางนี้ ส่วนช่างหลิงเฟิงทำงานอยู่ที่นี่ ต่อให้ปิดตาเขาก็จำทางได้ แต่เหตุใดเขาถึงยังไม่พบพวกเรา เขาน่าจะรู้ว่าข้าหลงทาง แต่เขากลับหาเราไม่เจอได้อย่างไร”
หลี่หรงอวี่รู้สึกแปลก ๆ เมื่อท้องฟ้ามืดลง ความไม่สบายใจก่อตัวเพิ่มขึ้น เขาพูดกับเหยียนอี้ว่า “ลองไปทางด้านขวาเรื่อย ๆ ก่อนแล้วกัน หากยังหาทางออกไม่ได้ เราจะกลับไปที่ถนนสายเดิม แล้วเปลี่ยนไปทางด้านซ้าย”
เหยียนอี้ตอบว่า “ตกลง เราเร่งเดินทางกันเถิดเพคะ ดูเหมือนพายุฝนกำลังจะมาเร็ว ๆ นี้แล้ว”
“ไป!!” หลี่หรงอวี่ตะโกนสั่ง
ม้าฟังคำสั่งเลือกไปทางด้านขวาและวิ่งไปข้างหน้า
ไม่รู้ว่ามันอยู่ไกลเพียงใด แต่รอบตัวทั้งคู่ล้วนเป็นต้นไม้สีเขียวและทิวทัศน์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
เหยียนอี้บ่นอุบว่า “ฮ่องเต้รวยล้นฟ้ามากจริง ๆ พระองค์ทรงสร้างเส้นทางไว้มากมายถึงเพียงนี้”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หวงจวงนอกเขตเมืองหลวงเป็นแหล่งผลิตอาหารเลี้ยงปากท้องคนในวังมากกว่าหนึ่งหมื่นชีวิต มันจึงเป็นพื้นที่กว้างใหญ่ แต่วันนี้เราเดินทางมานานแล้ว หากเป็นพื้นที่ทำกินธรรมดา ข้าว่าเราคงวนได้หลายรอบแล้วกระมัง”
เหยียนอี้ได้ทีจึงแหย่อีกฝ่าย “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฝ่าบาทเสด็จมา เหตุใดท่านถึงไม่รู้ทางด้วยซ้ำ”
หลี่หรงอวี่ตกตะลึงและตอบว่า “ข้ามักจะใช้ถนนสายหลักเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงว่ามีคนนำทางมาโดยตลอด”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “สมกับที่เป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เพคะ”
เมื่อได้ยินว่านางกำลังหยอกล้อตัวเอง หลี่หรงอวี่ก็เคาะหน้าผากของนางและพูดว่า “หากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าคงถึงวังนานแล้ว”
ทันทีที่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลี่หรงอวี่ก็จำได้ว่าตนออกจากวังโดยไม่ได้บอกฮ่องเต้ จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้กลับไปที่วัง ความอาจแตกก็เป็นได้ เขาควรคิดหาเหตุผลไว้แก้ตัวล่วงหน้า
เขามองไปที่เหยียนอี้และคิดว่า ‘หากผู้คนรู้ว่าเราไม่ได้กลับไปที่วังเพราะช่วยข้ารับใช้หญิง ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในตำหนักจาวหยางบ้าง’
ทางด้านเหยียนอี้ก็กำลังคิดว่าการถูกลักพาตัวของนางได้รบกวนองค์รัชทายาทและเป็นเหตุทำให้เขาอาจต้องมานอนในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ นี่ช่างหยาบคายเหลือเกิน หลังจากกลับไปที่วัง นางสงสัยว่านางจะถูกลงโทษหรือไม่?
ในเวลานี้ ลมพัดแรงขึ้นอย่างฉับพลันส่งผลให้หญ้าสะบัดไปตามแรงลมจนเกิดเสียงกรอบแกรบบนพื้นดิน กิ่งไม้ทั้งสองด้านของถนนกำลังโบกไปมาอย่างรุนแรง ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก
ม้าโดนสายฝน แต่มันแสดงออกว่ามีความสุข
อากาศร้อนระอุในฤดูกาลนี้ ม้าที่มีคนสองคนนั่งมาตลอดทั้งวันทำให้มันเหนื่อยและเหงื่อออกท่วมตัว แต่ตอนนี้มันได้รับน้ำฝนเย็นชุ่มฉ่ำจึงเปล่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น
เหยียนอี้ยกมือขึ้นมาตรงหน้าผากเพื่อบังเม็ดฝน ทันใดนั้นผ้าผืนใหญ่ก็คลุมศีรษะของนาง มันเป็นหมวกของหลี่หรงอวี่
อย่างไรก็ตามหมวกเหวยเม่า[2] ถูกใช้เพื่อป้องกันใบหน้าของหลี่หรงอวี่จากดวงอาทิตย์ ไม่สามารถป้องกันฝนได้มากนัก แต่ก็ยังพอปกป้องศีรษะและใบหน้าของเหยียนอี้จากการเปียกโชกได้
เหยียนอี้รู้สึกซาบซึ้งใจ ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปากขอบคุณ ทว่าสายลมกลับพัดเข้าปากนาง ทำให้นางสำลักและไอไม่หยุด
หลี่หรงอวี่ถูกประคบประหงมมาตั้งแต่เล็ก นี่เป็นครั้งแรกในรอบกว่ายี่สิบปีที่หลี่หรงอวี่อยู่ท่ามกลางสายฝน ทว่าเขาไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าฝนได้ชะล้างความเหนื่อยล้าและความร้อนของวันออกไป เขามีความสุขมาก เมื่อเขาเห็นเหยียนอี้สำลัก เขาก็หลุดหัวเราะออกมา
เหยียนอี้ไม่ชอบโดนฝน นางเอนตัวพิงคอม้าและไออยู่อย่างนั้น
เห็นได้ชัดว่าม้าไม่ชอบให้นางพิงอยู่เช่นนี้ มันส่ายคอและเกือบจะส่ายทั้งคู่ตกลงพื้น หลี่หรงอวี่จึงรีบดึงเหยียนอี้ขึ้นนั่งตัวตรง
“หือ? นั่นคือสิ่งใดกันเพคะ” ดวงตาของเหยียนอี้เฉียบแหลมมาก นางเห็นว่าหญ้าริมทางมีของเหลวบางอย่างไหลลงมาตามสายฝนไปยังถนน
หลี่หรงอวี่ควบม้าไปข้างหน้าและมองลงมาเพื่อดูให้ชัดเจน ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปในทันที
มันคือเลือด!
พวกเขาลงจากหลังม้าอย่างรวดเร็วและแหวกหญ้าดู ข้างในมีศพอยุ่สองศพ
เหยียนอี้จำได้ทันทีว่าหนึ่งในนั้นคือผู้ใต้บังคับบัญชาที่อยู่กับหลี่หรงอวี่เมื่อตอนกลางวัน
“ช่างหลิงเฟิง! หวังหลิงจื้อ!” หลี่หรงอวี่จำใบหน้าของคนทั้งสองได้ พวกเขาเป็นทหารที่เขาไว้วางใจในหวงจวง!
ดูเหมือนว่าช่างหลิงเฟิงจะไม่พบองค์ชายหลังจากที่เขากำจัดนางล่ายและคนอื่น ๆ ดังนั้นเขาจึงกลับไปที่นอกเมือง พาหวังหลินจื้อมากับเขาเพื่อตามหาองค์รัชทายาท อย่างไรก็ตามคิดไม่ถึงว่าจะได้รับอันตรายจากคนชั่วช้า เป็นศพอยู่ในพงหญ้าริมถนนเช่นนี้!
[1] ต้าหว่าน คือชื่อประเทศโบราณในเอเชียกลาง
[2] หมวกเหวยเม่า ทำจากผ้ามัสลินสีดำ ขอบห้อยม่านตาข่ายจนถึงคอ