ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 67 เจอแล้ว
บทที่ 67 เจอแล้ว
หลี่หรงอวี่หยิบมีดสั้นของเขาออกมาและพูดกับซุนอี้เหรินทีละคำ “หากเจ้ากล้าพูดแม้เพียงครึ่งคำ… มีดเล่มนี้จะปักหน้าอกของเจ้า”
ซุนอี้เหรินตอบรับซ้ำ ๆ ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นมีดใด ๆ แต่ขนทุกเส้นบนร่างกายของเขาลุกชันอย่างพร้อมเพรียง “ซุนอี้เหรินตาบอดแล้ว ตราบใดที่ฝ่าบาทปกป้องชีวิตของกระหม่อม กระหม่อมก็พร้อมจะเป็นใบ้และหูหนวกนับจากนี้ไป กระหม่อมจะเป็นคนเสียสติพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “คนตาบอดเป็นใบ้หูหนวกและบ้าคลั่งจะมีชีวิตได้อย่างไร เจ้าต้องใช้ชีวิตตามปกติ ข้าได้ยินมาว่าบ้านเกิดของเจ้าคือซินหยางใช่หรือไม่ พรุ่งนี้รถม้าจะพาเจ้ากลับไป จากนี้ไปเจ้าจงเปลี่ยนชื่อแซ่ซะ”
ซุนอี้เหรินโขกศีรษะคำนับอีกสามครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
หลังจากนั้นไม่นานช่างหลิงเฟิงก็เข้ามา หลี่หรงอวี่สั่งเขาว่า “จงหาคนสองคนที่มีฝีมือการต่อสู้พาเขากลับบ้านในวันพรุ่งนี้”
ช่างหลิงเฟิงน้อมรับคำบัญชา
หลี่หรงอวี่ลุกขึ้นยืนและเตรียมกลับไปที่วัง
เมื่อเขามาที่ประตู ทันใดนั้นเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้และพูดกับช่างหลิงเฟิงว่า “เจ้าจงอยู่ที่นี่และตามหาผู้หญิงคนหนึ่ง นางเป็นหญิงสาวที่ดูฉลาดและงดงาม”
ช่างหลิงเฟิงรู้สึกงุนงง “มีผู้หญิงแบบนี้อยู่ทั่วถนนพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่ถอนหายใจ “สำนักเทียนจีสามารถค้นหาใครสักคนด้วยเบาะแสเพียงน้อยนิดได้ แต่เจ้าทำไม่ได้งั้นหรือ”
ช่างหลิงเฟิงกำหมัดและพูดว่า “โปรดบอกข้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับนางด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “เมื่อวานนางถูกนำตัวออกไปจากวัง คาดว่าน่าจะถูกทำให้สลบไปผิด แซ่ของนางคือเหยียน และนางเป็นข้ารับใช้หญิงระดับหก หากเจ้าสอบถามผู้คนเพิ่มเติม บางทีเจ้าอาจจะพบเบาะแส”
“แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องหมกมุ่นเกินไป บางทีนางอาจอยู่มุมใดมุมหนึ่งในวัง และข้าจะลองหานางเมื่อข้ากลับไป”
ช่างหลิงเฟิงกล่าวว่า “ผู้ใต้บังคับบัญชาของกระหม่อมจะส่งฝ่าบาทกลับไปที่วังก่อนแล้วจึงออกค้นหาหญิงคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ากลับไปโดยลำพังจะดีกว่า ตอนออกมาจากวังข้ามาคนเดียว แต่ตอนนี้ หากข้าจะกลับไปพร้อมกับพวกเจ้าที่เหลือ อาจทำให้เกิดความสงสัยขึ้น”
ช่างหลิงเฟิงรีบออกไปนอกตำหนักเพื่อเรียกม้าให้หลี่หรงอวี่และบอกให้ลูกน้องหาคนไปส่งซุนอี้เหรินกลับบ้านเกิดของเขา
หลี่หรงอวี่ควบม้าออกไปอย่างเร็วโดยไม่รีรอ
ช่างหลิงเฟิงรีบขี่ม้าตามไป แต่เขาจะตามทันได้ที่ไหนกัน?
…
อีกด้านหนึ่ง ทาสหญิงมากกว่ายี่สิบคนรวมถึงเหยียนอี้และชุนอิงถูกผลักขึ้นรถม้าเพื่อไปยังตลาดการค้าทาสในเมือง
เนื่องจากต้องบรรทุกคนมากกว่ายี่สิบคน รถม้าจึงมีขนาดใหญ่มาก มันต้องใช้ม้าถึงสี่ตัวเพื่อลากพาหนะ เมื่อรถม้ามาถึงบนถนนสายหลัก ความกว้างของตัวรถครอบครองถนนเกือบทั้งสาย
เหยียนอี้คิดว่าจะหนีอย่างไร เมื่อนางมาถึงตลาดทาสและถูกขาย นางคงได้สิ้นหวังจริง ๆ ก็คราวนี้
นางมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าและเห็นถนนแคบ ๆ รถม้าทั้งหนักและเคลื่อนตัวช้า
นางนึกความคิดดี ๆ ออกและแสร้งทำเป็นปวดท้อง ร้องขอลงจากรถเพื่อปลดทุกข์
แต่นางล่ายคุ้นเคยกับกลอุบายทุกประเภท การแสดงที่แข็งทื่อไม่สามารถหลอกนางได้
แผนของเหยียนอี้ล้มเหลว นางคิดแผนอื่นและแสร้งทำเป็นโรคลมชัก นางหวังว่าเมื่อนางล่ายเห็นนางเป็นโรคที่รักษาไม่หายก็จะทิ้งนางไว้ริมถนน
โลคไม่เข้าข้างนางนัก นางล่ายเคยเห็นอุบายคล้ายกันนี้มาแล้ว นางหยิบกล่องเข็มออกมาและต้องการฉีดยาให้เหยียนอี้ นางบอกว่าอาการจะดีขึ้นหากนางฉีดมันเข้าไป เหยียนอี้กลัวจนต้องยอมหายจากอาการชักทันที
ในบรรดาหญิงสาว มีอยู่สองคนที่ไม่ยอมอยู่นิ่งและมักจะร้องไห้คร่ำครวญ นางล่ายสั่งให้คนมัดพวกนางและฟาดด้วยแส้สองเส้น ทำให้ทาสหญิงคนอื่นหวาดกลัว
แน่นอนว่าเหยียนอี้ก็ ‘ไม่อยู่นิ่ง’ และถูกมัดอย่างแน่นหนา
นางคิดว่าหากทุกคนพร้อมใจกันลุกขึ้นและทุบรถม้าด้วยกัน นางอาจพบโอกาสหลบหนี แต่นางโชคร้ายและถูกมัดไว้
ผู้หญิงเหล่านี้คุ้นเคยกับการเป็นทาส บางคนก็เป็นทาสตั้งแต่เกิดเสียด้วยซ้ำ พวกนางจึงคุ้นเคยกับการเชื่อฟังและไม่ต้องการหลบหนี พวกนางแค่หวังว่าจะถูกขายให้กับครอบครัวที่ดีเท่านั้น
เหยียนอี้ถูกขังอยู่กับเหล่าหญิงสาวเป็นเวลาหนึ่งวัน แต่ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมใครได้ แม้แต่ชุนอิงซึ่งอยู่ใกล้นางก็ยังแนะนำเหยียนอี้ไม่ให้ทำตัวบุ่มบ่าม
เดิมทีถนนสายหลักจะเรียบ แต่เพราะฝนตกเมื่อไม่กี่วันก่อนทำให้มีหลุมบ่ออยู่บ้าง รถม้าหนักจึงทำให้ล้อตกลงไปในหลุมนั้น
นางล่ายสบถ ก่อนจะสั่งให้หญิงสาวออกไป และบอกลูกน้องของนางสามถึงห้าคนพร้อมกับคนบังคับเกวียนไปช่วยกันผลักเกวียน
เมื่อเห็นว่านี่เป็นโอกาสดี เหยียนอี้จึงก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ข้าจะช่วยด้วย!”
นางล่ายทำเพียงเหลือบมองและโบกมือไล่นางออกไป “ไปให้พ้น! อยู่เฉย ๆ! อย่ามาเล่นแง่กับข้า!”
เหยียนอี้ถอยกลับไปด้านข้างอย่างเงียบ ๆ
ในขณะนี้คนสองคนกำลังควบม้ามาจากด้านหลัง เมื่อเห็นถนนข้างหน้าถูกขวางโดยรถม้าคันใหญ่ พวกเขาจึงกุมบังเหียนหยุดม้าและรอ
รถม้าหนักเกินไปและหล่มก็ลึก เหล่าม้าถูกเฆี่ยนตี แต่ยิ่งพวกมันถูกตีก็ยิ่งไม่เชื่อฟังมากขึ้นเท่านั้น พวกมันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เดิมทีรถม้าเกือบจะหลุดออกจากหล่มแล้ว แต่เพราะม้าถูกตี รถม้าจึงจมลงไปอีกครั้ง
เหยียนอี้มองไปยังผู้สัญจรสองคนบนหลังม้าและอยากจะตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ แต่นางยังคงลังเลด้วยกลัวว่าพวกเขาจะไม่สนใจและไม่ยอมช่วยนาง นางจึงไม่ได้พูดสิ่งใด
แต่นางไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นองค์รัชทายาทแห่งตำหนักตะวันออก หลี่หรงอวี่และซางหลิงเฟิงคนสนิทของเขา!
ปรากฏว่าหลี่หรงอวี่ไม่อยากให้ใครจำเขาได้ พวกเขาสวมหมวกและผ้าพันคอเพื่อปกปิดใบหน้า ดังนั้นเหยียนอี้จึงจำเขาไม่ได้
ในขณะนี้เหยียนอี้ซ่อนตัวอยู่หลังผู้คนและพยายามหาโอกาสที่จะหลบหนี องค์รัชทายาทมองผู้คนที่ผลักรถม้าเท่านั้น เขาจึงไม่สังเกตเห็นเหยียนอี้
“ช่างหลิงเฟิง คนเหล่านี้เป็นผู้ใดกัน” หลี่หรงอวี่เห็นว่าเกวียนบนถนนตกหลุม มีผู้หญิงประมาณสิบหรือยี่สิบคนยืนอยู่ริมถนนและสามถึงสี่คนถูกมัดไว้ เขาสงสัยอย่างมาก คนเหล่านั้นช่างดูเหมือนโจร แต่ปกติแล้วโจรลักพาตัวจะไม่กระทำการโจ่งแจ้งเช่นนี้
ช่างหลิงเฟิงรู้ว่าองค์ชายอาศัยอยู่ในวังมาเป็นเวลานานและไม่เคยเห็นชาวบ้านขายทาส เขาตอบว่า “ฝ่าบาท พวกนี้เป็นพ่อค้าขายทาส พวกเขาต้องการไปส่งเหล่าหญิงสาวไปให้ครอบครัวที่ร่ำรวยในฐานะคนรับใช้พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้า “ลงไปช่วยพวกเขาผลักเกวียน อย่าให้มันเสียเวลาไปมากกว่านี้”
ช่างหลิงเฟิงน้อมรับคำสั่งและลงจากม้าไปช่วยทันที
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดรถม้าก็ถูกผลักออกจากหลุม นางล่ายขอบใจช่างหลิงเฟิงและหลี่หรงอวี่ จากนั้นรีบสั่งให้เหล่าหญิงสาวขึ้นรถม้าเพื่อเดินทางต่อไป
เหยียนอี้ลังเล นางเดินอยู่ท้ายแถว เมื่อเห็นว่าตอนนี้เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะหลบหนี นางจึงไม่ลังเลอีกต่อไป นางวิ่งไปที่ม้าของช่างหลิงเฟิงและตะโกนขอความช่วยเหลือ
“เหยียนอี้!?” หลี่หรงอวี่จำเหยียนอี้ได้และถอดผ้าคลุมของตัวเองออกทันที
“องค์รัชทายาท!” เหยียนอี้ตกใจมากที่นางได้พบกับหลี่หรงอวี่ในถิ่นทุรกันดารเช่นนี้ นางดีใจมาก รีบเอ่ยร้องขอความช่วยเหลือ “ฝ่าบาทช่วยหม่อมฉันด้วย!”
ชายที่แข็งแกร่งหลายคนที่อยู่ใต้คำสั่งของนางล่ายรีบวิ่งตามไปทันที หลี่หรงอวี่ดึงดาบออกจากเอวของช่างหลิงเฟิงเพื่อตัดเชือกที่มัดเหยียนอี้ไว้ ก่อนจะยื่นมือออกไปคว้านางและตะโกนว่า “ขึ้นม้า!”
หลี่หรงอวี่ดึงเหยียนอี้ขึ้นม้าด้วยพลังที่แข็งแกร่ง จากนั้นเขาเตรียมจะควบม้าวิ่งไป แต่มีรถม้าขวางอยู่บนถนนข้างหน้า เขาจึงเลือกที่จะกลับไปทางด้านหลัง
หลี่หรงอวี่ตะโกนสั่งช่างหลิงเฟิงว่า “ขวางพวกเขาไว้!” จากนั้นบังคับม้าให้วิ่งกลับไปอีกทาง
ม้าที่หลี่หรงอวี่ขี่อยู่คือม้าชั้นดี นางล่ายและคนอื่น ๆ จะตามทันได้อย่างไร? หลังจากขี่ม้าไปสักพัก องค์รัชทายาทก็ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เหยียนอี้นั่งอยู่ด้านหลังหลี่หรงอวี่และรู้สึกได้เพียงลมที่พัดเข้าหูของนางเท่านั้น นางกลัวว่าจะหล่นจากหลังม้า จึงไม่สนใจมารยาทและกฎใด ๆ กอดเอวขององค์รัชทายาทโดยสัญชาตญาณ
พวกเขาควบม้าออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่เห็นใครตามมา พวกเขาก็ชะลอตัวลง
เหยียนอี้ได้รับความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาทและหนีออกมาจากถ้ำเสือได้ หัวใจของนางเต้นรัว นางสูดลมหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอก
หลี่หรงอวี่หันไปมองหญิงสาว ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางขาวซีดด้วยความกลัว เขาอดหัวเราะไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปแตะแขนของเหยียนอี้ที่ยังคงกอดเขาไว้แน่น
“ปลอดภัยแล้ว” เขาเตือนนาง
เหยียนอี้ตระหนักในภายหลังจึงรีบปล่อยมือทันที ก่อนจะพูดว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ช่วยหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าตกอยู่ในมือของผู้ค้าทาสได้อย่างไร” หลี่หรงอวี่ถาม
เหยียนอี้ส่ายหัว จากนั้นจึงตระหนักได้ว่าตัวเองอยู่ข้างหลัง ดังนั้นองค์รัชทายาทจะไม่เห็นนางส่ายหัว นางรีบพูดว่า “หม่อมฉันถูกโจรลักพาตัวไปและขายที่นี่เพคะ”
“ใครช่างกล้าดีเยี่ยงนี้” หลี่หรงอวี่ถามต่อ “เจ้าทำให้ใครในวังโกรธเคืองหรือไม่”
เหยียนอี้ตอบว่า “หากต้องบอกว่าหม่อมฉันทำให้ใครขุ่นเคืองก็คงมีเพียงพ่อครัวในห้องเครื่องหลวงเท่านั้นเพคะ”
หลี่หรงอวี่ครุ่นคิด “อืม แต่คนในห้องเครื่องหลวงไม่น่าทำได้มากถึงเพียงนี้”
เหยียนอี้นึกถึงเฉินฟู่เซิน ครั้งก่อนที่นางถูกลักพาตัวโดยกลุ่มคนลึกลับคราวนี้ก็เป็นฝีมือคนพวกนั้น แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่สามารถบอกให้องค์รัชทายาทรู้ได้ ดังนั้นนางจึงไม่พูดถึงมัน
“หลังจากที่ข้ากลับไปที่วัง ข้าจะรีบตรวจสอบ” หลี่หรงอวี่บังคับบังเหียนตั้งใจจะกลับไปกับเหยียนอี้ แต่ก็ต้องพบบางอย่างที่แปลกประหลาด
เขาขมวดคิ้วและควบม้าไป หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเขารู้สึกว่าเส้นทางไม่ถูกต้อง เขาหันหัวม้ากลับและขี่ไปรอบ ๆ สุดท้ายเขาก็วนเวียนอยู่ที่เดิม
“เกิดอะไรขึ้นเพคะฝ่าบาท” เหยียนอี้ถาม
“เมื่อครู่ข้าขี่ม้าไปตามทางโดยสนใจแค่การหนีให้พ้นจากคนเหล่านั้น เดิมทีมีหวงจวง[1] อยู่นอกเขตเมืองหลวงด้วย บางทีเสด็จพ่อของข้าจะมาที่นี่เพื่อเรียนรู้กับเหล่าปราชญ์เน่าเฟะของเว่ยจิน ท่านสร้างเส้นทางแปดทิศ แม้ข้าจะเคยมาที่นี่สองครั้ง แต่ข้าไม่เคยผ่านทางนี้… เกรงว่าเราจะหลงเสียแล้ว”
หลี่หรงอวี่ลงจากหลังม้าก่อนช่วยเหยียนอี้ลงมา “เราไม่ควรไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า รอที่นี่ ช่างหลิงเฟิงรู้ทาง เขาจะพาเราไปยังถนนสายหลัก”
เหยียนอี้พยักหน้าและมองไปรอบ ๆ นางเห็นเพียงว่ามีต้นไม้เขียวชอุ่มทั้งสองข้างทาง แต่นางมองไม่ออกว่ามันเป็นรูปแบบแปดทิศอย่างไร
ในอดีต ณ ภัตตาคารกุ้ยซาน ซานกู่จื่อชอบเรื่องดินแดนใต้อาณัติอย่างเว่ยจินที่สุด อีกทั้งเขายังศึกษายันต์แปดทิศ แต่เหยียนอี้ปฏิเสธที่จะเรียนรู้ทุกอย่าง ตอนนี้นางจึงไม่รู้อะไรเลยสักนิด
หลี่หรงอวี่นั่งลงบนก้อนหินแถวนั้น เมื่อเขาเห็นเหยียนอี้ยืนตัวตรง เขาก็หัวเราะและพูดว่า “นั่งลงเถิด”
เหยียนอี้ไม่กล้านั่งเคียงข้างองค์รัชทายาท
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “นี่ไม่ใช่พระราชวังและไม่มีใครเห็น เจ้าไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎ”
เหยียนอี้หาที่นั่งและนั่งอยู่ไกล ๆ
“เจ้าเห็นข้าเป็นเสือหรือมังกรร้ายรึ ถึงกลัวข้าเช่นนี้” หลี่หรงอวี่พูดพลางหัวเราะ
เหยียนอี้จึงค่อย ๆ ขยับเข้าไปนั่งใกล้ ๆ
“ตอนที่เจ้าถูกมัด เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
เหยียนอี้ส่ายหัวและพูดว่า “โชคดีที่หม่อมฉันไม่ได้เจ็บมากนักเพคะ”
เมื่อหลี่หรงอวี่ได้รู้เหยียนอี้ถูกลักพาตัวโดยไม่มีเหตุผล เขาคาดเดาเล็กน้อย แต่ยังไม่แน่ใจ เขาพูดว่า “หลังจากกลับไปที่วัง ข้าจะให้ใครบางคนตรวจสอบเบื้องหลังอย่างละเอียด เหตุการณ์นี้เต็มไปด้วยเรื่องแปลกพิกล อย่าแสร้งทำเป็นเข้มแข็งแล้วไปสำรวจบางอย่างด้วยตัวเองเชียว”
[1] หวงจวง (皇庄) พื้นที่การเกษตรที่ราชวงศ์ดูแลจัดการ