ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 66 สำนักเทียนจี
บทที่ 66 สำนักเทียนจี
หลี่หรงอวี่พูดกับองครักษ์จินอู๋ว่า “ไม่เป็นไร หลังจากที่เจ้าไปหาท่านต้วนแล้ว จงรอข้าที่นอกเมือง ช่างหลิงเฟิงและคนอื่น ๆ คงรอข้านานแล้ว ระหว่างทางคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับข้าหรอก”
จากนั้นองค์รัชทายาทพูดกับหลี่หรงเฉิงและเหยียนจื่อ “เสด็จพ่อส่งข้าไปที่ตำหนักของฮ่องเต้นอกเขตเมืองหลวงเพื่อทำธุระบางอย่าง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถตามหาเหยียนอี้กับพวกเจ้าได้ หากมีความคืบหน้าจงส่งคนไปแจ้งข้าด้วย”
หลังจากนั้นหลี่หรงเฉิงและเหยียนจื่อก็ขึ้นหลังม้าแยกกันออกตามหาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
หลี่หรงอวี่มีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ แต่เมื่อเขาได้ยินข่าวการหายตัวไปของเหยียนอี้ เขาก็หงุดหงิดขึ้นมา
ช่วงฤดูร้อน ดวงอาทิตย์ร้อนแรงมากในตอนบ่าย อีกทั้งเส้นทางยังเป็นหลุมเป็นบ่อ สิ่งนี้ทำให้หลี่หรงอวี่อารมณ์เสียและแส้ในมือของเขาก็ฟาดเร็วขึ้น
การที่องค์รัชทายาทออกไปจากเมืองหลวงเป็นเรื่องใหญ่ อย่างไรแล้วมันก็เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ ด้วยเพราะเรื่องที่เขากำลังสืบสวนอย่างลับ ๆ อาจเกี่ยวข้องกับกรณีสมคบคิดของอ๋องหย่งเมื่อหลายปีก่อน
…
เท้าของม้านั้นเร็วมาก ในเวลาอันสั้นหลี่หรงอวี่ก็มาถึงที่หมาย
มีผู้ติดตามที่เชื่อถือได้หลายคนรอองค์รัชทายาทอยู่นอกตำหนัก
หลี่หรงอวี่ลงจากหลังม้าและปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว “เขาอยู่ที่ใด”
“ฝ่าบาท ทางนี้พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหลี่หรงอวี่เข้าไปในห้อง มีชายคนหนึ่งที่ถูกมัดด้วยโซ่เหล็ก ดวงตาทั้งสองข้างถูกควักออกและใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็น
“ฝ่าบาท! นั่นฝ่าบาทหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายคนนั้นพยายามลุกขึ้น แต่ก็ล้มลงกับพื้นอีกครั้ง
เมื่อเห็นรอยแผลเป็นที่น่ากลัวบนใบหน้าของชายหนุ่ม หลี่หรงอวี่ทนไม่ได้ที่จะมองอย่างใกล้ชิด เขาถามคนรอบข้างว่า “นี่คือซุนอี้เหรินที่เจ้าพบงั้นหรือ”
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ตอนที่เราพบเขา เขาก็ตาบอดแล้วและดูเหมือนคนเสียสติ เราให้หมอรักษาเขาอยู่นานก่อนที่เขาจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้” ช่างหลิงเฟิงคนสนิทของหลี่หรงอวี่ตอบ
“เสียสติ?” หลี่หรงอวี่ขมวดคิ้ว
“อาการเกือบจะหายขาดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เสียสติเป็นครั้งคราว กระหม่อมกลัวว่าเขาจะทำร้ายฝ่าบาท กระหม่อมจึงล่ามโซ่เขาไว้” ช่างหลิงเฟิงต่อ “หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาเขาก็เอาแต่ร้องโวยวายขอพบพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่โบกมือสั่งให้คนอื่นถอยไป
เขาเดินเข้าไปใกล้ชายหนุ่มตาบอดและเอ่ยถามว่า “เจ้าตาบอดได้อย่างไร”
ซุนอี้เหรินตอบว่า “กระหม่อมและพี่น้องหกคนได้รับคำสั่งให้ทำภารกิจ พวกเราพบเป้าหมายที่นั่น แต่ศัตรูนั้นโหดร้ายเหลือเกิน ใบหน้าและดวงตาของกระหม่อมได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่กระหม่อมหนีรอดมาได้ แต่คนที่เหลือล้วนตายด้วยคมดาบของชายคนนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เท่าที่ข้ารู้ ตั้งแต่ยี่สิบปีที่แล้ว สำนักเทียนจีได้ส่งคนตามหาใครคนหนึ่ง เวลาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว เหตุใดถึงยังไม่พบอีก” หลี่หรงอวี่ถาม
“แม่และลูกชายมีคนคอยช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ ทุกครั้งที่เรากำลังจะลงมือสำเร็จก็จะมีคนกลุ่มใหญ่ช่วยพวกเขา” ซุนอี้เหรินตอบ
“อืม… เจ้าคิดว่าเป็นคนของอ๋องหย่งที่ช่วยพวกเขาหรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
“กระหม่อมทำหน้าที่ตามคำสั่งเท่านั้น และไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับส่วนที่เหลือพ่ะย่ะค่ะ” ซุนอี้เหรินกล่าว
หลี่หรงอวี่เยาะเย้ย “เจ้าไม่รู้? หากเจ้าไม่รู้สิ่งใดจริง ๆ ก็คงไม่กลายเป็นคนเสียสติเช่นนี้กระมัง!”
ซุนอี้เหรินรีบก้มหัวลงกราบแทบพื้นและพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “ฝ่าบาท! กระ… กระหม่อม…”
หลี่หรงอวี่ดึงเขาขึ้นมาและกล่าวว่า “เรื่องที่เสด็จพ่อตามล่าอ๋องหย่งและพรรคพวกที่เหลือนั้นไม่ใช่ความลับอะไร แต่เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าเจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับแม่และลูก! สำนักเทียนจีกำลังไล่ฆ่าแม่ลูกงั้นรึ?”
ซุนอี้เหรินหวังเพียงว่าองค์ชายจะสามารถปกป้องชีวิตของเขาได้ เดิมทีเขาก็ไม่รู้อะไรเลยจริง ๆ “พวกเขาเป็นแม่และลูกชายคู่หนึ่ง แต่ข้าเข้ามาในสำนักเทียนจีช่วงหลัง กระหม่อมจึงไม่ได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการตามล่าในปีแรก ๆ คำสั่งที่กระหม่อมได้รับคือการฆ่านักดาบผู้มีฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เขาต้องเป็นเด็กน้อยที่เติบโตและเรียนรู้การต่อสู้จากอ๋องหย่งเป็นแน่” หลี่หรงอวี่วิเคราะห์แล้วกล่าวว่า “แม่และลูกชายคู่นั้นเป็นใคร? เหตุใดเสด็จพ่อกับอ๋องหย่งถึงสนใจมากเพียงนี้”
“กระหม่อมจะรู้ความลับเช่นนั้นได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ซุนอี้เหรินตอบ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็น่าจะรู้ชื่อและรูปลักษณ์ของคนที่เจ้าต้องฆ่าใช่หรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
ซุนอี้เหรินยิ้มอย่างขมขื่น “กระหม่อมได้เห็นเขาจริง ๆ เกรงว่ากระหม่อมจะเป็นมือสังหารเพียงคนเดียวในสำนักเทียนจีที่ได้เห็นเขาแล้วยังมีชีวิตอยู่ น่าเสียดายที่กระหม่อมตาบอดและไม่สามารถระบุอะไรให้องค์ชายได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“จงพูดสิ่งที่เจ้ารู้มา” หลี่หรงอวี่สั่ง
ซุนอี้เหรินคิดอยู่พักใหญ่ด้วยไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า
“การจัดการของสำนักเทียนจีนั้น มือสังหารจะไม่มีสิทธิ์รับรู้ตัวตนของเป้าหมายที่เราต้องฆ่า ผู้เชี่ยวชาญในสำนักค้นพบร่องรอยของบุคคลนั้นและเพียงสั่งให้เราไปที่ฮุยโจวเพื่อฆ่าคนที่ถือดาบหยกในมือ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ฮุยโจวมีประชากรหลายหมื่นคน เจ้าสามารถค้นหาด้วยข้อมูลเพียงแค่นี้ได้ด้วยหรือ”
ซุนอี้เหรินกล่าวว่า “แม้จะมีคนจำนวนมากที่ใช้ดาบหยก แต่กลับมีคนจำนวนน้อยนิดที่มีทักษะการต่อสู้สูงและรับมือด้วยยาก หากไล่ตรวจสอบไปทีละคนก็จะหาพบพ่ะย่ะค่ะ”
“สำนักเทียนจีไล่ล่าชายคนนี้มานานหลายปีแล้ว ทุกครั้งที่ส่งมือสังหารไป พวกเขาไม่เคยได้กลับมาอีก บางครั้งผู้ที่หลบหนีและกลับมาก็ถูกควักลูกตาออกเหมือนกระหม่อมเพื่อไม่ให้มีใครรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” ซุนอี้เหรินพูดเสริม
หลี่หรงอวี่ขมวดคิ้ว “ช่างเป็นคนที่จิตใจชั่วร้ายจริง ๆ!”
ซุนอี้เหรินนึกถึงความเจ็บปวดจากการเสียโฉมและดวงตาเขาในวันนั้น เขายังคงหวาดกลัวไม่หาย ไม่อาจหยุดร่างกายที่สั่นเทาได้
“แม้เจ้าจะตาบอด แต่เจ้ายังมีปากอยู่ จงบอกข้าทีเถิดว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร” หลี่หรงอวี่เค้นถาม
ซุนอี้เหรินตอบว่า “ในอดีตกระหม่อมเคยหนีรอดจากเขาไปได้และบอกผู้บังคับบัญชาอย่างละเอียดถึงรูปร่างหน้าตาของเขา ซึ่งคล้ายกับคำบอกเล่าที่พี่น้องในสำนักเคยกล่าวไว้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบต้น ๆ สูงโปร่ง หน้าตาดีแต่ดูเย็นชา และดาบของเขาไม่เคยห่างกาย”
“ไม่มีไฝหรือปานที่สะดุดตาบนหน้าเขาเลยหรือ” หลี่หรงอวี่ถาม
“ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ผู้ชายคนนี้เก่งเรื่องการอำพรางตัว มันยากที่จะอธิบายเป็นพูด หากดวงตาของกระหม่อมยังอยู่คงสามารถตรวจสอบทีละคนและหาตัวเขามาให้ฝ่าบาทได้!” ซุนอี้เหรินกล่าว
หลี่หรงอวี่เยาะเย้ย “มีผู้คนมากมายในโลกนี้ เจ้าจะหาเจอรึ? อีกอย่างสำนักเทียนจีจับเขาไม่ได้มาหลายปีแล้ว และข้าก็ไม่คิดจะมีส่วนร่วมตามหาคนต่อหน้าเสด็จพ่อของข้าหรอกนะ”
ซุนอี้เหรินพูดอย่างขมขื่นว่า “ไม่ใช่ว่าสำนักเทียนจีไร้ความสามารถ แต่พลังที่อยู่เบื้องหลังบุคคลนี้มีไหวพริบเกินไปพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่หรงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เท่าที่ข้าได้คุยกับเจ้ามา ข้าเห็นว่าเจ้าไม่ได้รู้อะไรมากไปกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ เลย แล้วเหตุใดเจ้าถึงถูกไล่ล่าโดยคนของเจ้าถึงขนาดต้องขอความคุ้มครองจากข้าเช่นนี้”
ซุนอี้เหรินไม่กล้าพูดปด เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา “หลังจากที่กระหม่อมรอดตาย หัวหน้าสำนักเคยพากระหม่อมเข้าไปในวังและอธิบายการปรากฏตัวของบุคคลนั้นต่อฮ่องเต้อย่างละเอียด ฮ่องเต้สนทนากับท่านผู้นำอย่างตื่นเต้น เขาพูดออกมาว่าบุคคลนั้นเป็นสายเลือดของตระกูลหลี่”
“หลี่?” หลี่หรงอวี่ลุกพรวดจากเก้าอี้ “เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าได้ยินถูกต้อง”
ซุนอี้เหรินกล่าวด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “กระหม่อมเองก็อยากได้ยินมันผิดเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะได้ไม่โดนไล่ล่าในภายหลังเช่นนี้! เดิมทีฮ่องเต้กล่าวโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่หัวหน้าสำนักฟังแล้วสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ซึ่งทำให้ฮ่องเต้ต้องการสังหาร!”
จากนั้นหลี่หรงอวี่ก็เข้าใจและพูดว่า “เมื่อปีกว่าที่แล้ว หัวหน้าสำนักเทียนจีเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน และจู่ ๆ เจ้าก็หายตัวไป เพราะเสด็จพ่อข้าเผลอหลุดปากต่อหน้าเจ้าจึงต้องการปิดปากเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ซุนอี้เหรินร้องไห้คร่ำครวญ “หลังจากที่เรากลับไป ฮ่องเต้ก็ให้สุราพิษแก่ท่านผู้นำ หัวหน้าสำนักเองก็ไม่ได้ระวังตัว คิดเพียงว่าเป็นความกรุณาของฮ่องเต้ เขาจึงดื่มมันทั้งหมดในอึกเดียวและอาเจียนเป็นเลือดทันที สวรรค์… ความจริงครานั้นกระหม่อมก็กำลังจะดื่มมันอยู่แล้ว แต่กลับเห็นท่านผู้นำกระอักเลือดเสียก่อน มิเช่นนั้นกระหม่อมก็คงดื่มมันเข้าไปรวดเดียวเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
“ต่อมาเจ้าใช้โอกาสนี้หลบหนีและวิ่งเข้าไปในป่าเขา แสร้งทำเป็นเสียสติและใช้ชีวิตเช่นคนโง่ใช่หรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
ซุนอี้เหรินแตะข้อเท้าของหลี่หรงอวี่และพูดต่อ “ฝ่าบาท! ฝ่าบาทได้ใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อตามหากระหม่อมจนเจอแล้ว ได้โปรดช่วยชีวิตกระหม่อมด้วย! หากฮ่องเต้รู้ว่ากระหม่อมยังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่ยอมปล่อยกระหม่อมไปเป็นแน่…”
หลี่หรงอวี่สะบัดเท้าออกทันใด “เพื่อปกป้องชีวิตตัวเอง เจ้าจึงบอกความลับนี้กับข้า แต่เจ้ายังคิดจะลากข้าลงไปในน้ำด้วยอย่างนั้นหรือ”
“กระหม่อมไม่กล้าพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาทกำลังสืบสวนการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของหัวหน้าสำนัก ฝ่าบาทแค่ต้องการรู้ความจริงไม่ใช่หรือ ตอนนี้ความจริงก็เปิดเผยแล้ว ได้โปรดช่วยชีวิตผู้น้อยคนนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ซุนอี้เหรินตะโกน
“ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ หึ” หลี่หรงอวี่คิดว่าการตายของหัวหน้าสำนักเทียนจีเกี่ยวข้องกับอ๋องหย่ง แต่เขาไม่คิดว่ามันเป็นเพียงเพราะการหลุดปากของฮ่องเต้
“เสด็จพ่อมีความลับอะไร? แม้แต่ผู้นำแห่งสำนักเทียนจีที่เขาเชื่อถือที่สุดก็ยังไม่รู้?” หลี่หรงอวี่คิดในใจว่า ‘สายเลือดของตระกูลหลี่? จริงหรือที่คนที่เขาต้องการฆ่าเป็นสายเลือดของราชวงศ์’
ในขณะที่หลี่หรงอวี่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ซุนอี้เหรินก็ยังคงขอความเมตตา “องค์ชายได้โปรดช่วยกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่เป็นแน่ เขาต้องส่งคนจากสำนักเทียนจีมาอีกแน่นอน! โปรดปกป้องกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
แต่หลี่หรงอวี่กล่าวอย่างไม่แยแสว่า “ข้ารู้เหตุและผลแล้ว เรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ปัจจุบันของราชสำนักและการแย่งชิงบัลลังก์ ส่วนใหญ่เป็นปมขัดแย้งเก่าที่เกี่ยวข้องกับเสด็จพ่อ เหตุใดข้าต้องตั้งตนเป็นศัตรูกับเสด็จพ่อเพื่อปกป้องเจ้าด้วยเล่า?”
ซุนอี้เหรินฟังคำพูดเหล่านี้เหมือนถูกอสนีบาตห้าสายพุ่งลงจากท้องฟ้าตรึงร่างเขาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น เหตุใดเขาถึงขอให้องค์รัชทายาทปกป้องตัวเอง?
เมื่อคิดดูดี ๆ แล้ว พวกเขาเป็นพ่อลูกกัน แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องปิดปากตนเป็นแน่แท้!
หลี่หรงอวี่กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าฆ่าคนนับไม่ถ้วน ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าทำเรื่องสกปรกให้เสด็จพ่อไปเท่าไหร่ และข้าไม่จำเป็นต้องดูแลชีวิตหรือความตายของเจ้า”
ซุนอี้เหรินก้มลงคำนับอ้อนวอน กระแทกศีรษะจนพื้นแทบเป็นรู “ฝ่าบาท… ชีวิตของฮ่องเต้ไม่อาจล่วงเกินได้ สิ่งที่กระหม่อมจะพูด ไม่ใช่ว่ากระหม่อมต้องการทำร้ายสวรรค์… ในอนาคตเมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์ สำนักเทียนจีจะรับใช้ฝ่าบาทด้วย ส่วนข้าน้อยผู้นี้ตาบอด ทำประโยชน์ต่อพระองค์ไม่ได้ กระหม่อมขอเพียงแค่พระองค์ทรงเมตตาและปล่อยให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่ก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
หลี่หรงอวี่พ่นลมและพูดว่า “สำนักเทียนจีฆ่าคนนับไม่ถ้วนเพื่อราชวงศ์ เต็มไปด้วยความโหดร้ายและทรยศหักหลัง ล้วนเป็นการกระทำที่น่าอัปยศอดสู มันไม่ควรมีอยู่ในโลกมานานเพียงนี้ หากข้าขึ้นครองราชย์ข้าจะยุบสำนักเทียนจีเสีย ถึงตอนนั้นเจ้าจะสามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้”
เมื่อซุนอี้เหรินได้ยินเช่นนี้เขาก็รู้ว่าหลี่หรงอวี่จะไม่ฆ่าเขา ไม่เพียงเท่านั้น เขายังได้รับการคุ้มครองจากองค์รัชทายาทนับจากนี้ไป เขารู้สึกซาบซึ้งใจจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงเริ่มโขกหัวกับพื้นอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่าตอนนี้หน้าผากของตัวเองแดงและบวมมากแล้ว
“เจ้าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องที่เราพูดคุยกันในวันนี้ได้ จงเก็บงำเรื่องราวทุกอย่างที่เกี่ยวกับสายเลือดของตระกูลหลี่ไว้ให้ดี” หลี่หรงอวี่เตือน
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้