ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 65 นางหายไปที่ใด
บทที่ 65 นางหายไปที่ใด
เหยียนอี้หันไปพูดกับหญิงสาวว่า “ชุนอิง ไม่มีใครเกิดมาเป็นทาส เราทุกคนเป็นคนเหมือนกัน”
ชุนอิงได้ยินดังนั้นก็หัวเราะคิกคัก “เจ้ากำลังพูดถึงอะไร? พ่อแม่ของข้าเป็นทาสในจวนของเสนาบดี พี่ชายและน้องสาวของข้ารวมถึงตัวข้าถูกกำหนดสถานะแล้วตั้งแต่เกิด เราเป็นทาสมาตลอดชีวิต ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือสถานที่ที่เราไปเป็นทาสเท่านั้น”
หลังจากฟังสิ่งนี้ เหยียนอี้ก็ได้ว่าโลกภายนอกช่างไม่เหมือนในพระราชวัง ในวังมีสาวรับใช้ ในขณะที่ข้างนอกพวกนางล้วนเป็นทาส!
นางอดไม่ได้ที่จะจับมือชุนอิงและพูดอย่างจริงจังว่า “ชุนอิง จะมีโลกในอนาคตที่ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีเจ้านายหรือฮ่องเต้ ไม่มีทาสหรือสาวใช้ ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน”
ชุนอิงยิ้ม “ไม่มีโลกเช่นนั้นหรอก! ข้าไม่เชื่อ”
เหยียนอี้กล่าวย้ำ “มีสิ มีแน่นอน”
ชุนอิงส่ายหัว “เหยียนอี้ แม้โลกที่เจ้ากล่าวถึงจะมีอยู่จริง แต่ชั่วชีวิตของเราคงไม่มีโอกาสได้เห็นมันหรอก และถึงจะไม่มีทาส แต่อย่างไรก็ต้องมีการแบ่งชนชั้นอยู่ดี”
เหยียนอี้อ่านหนังสือของบรรดาปราชญ์มานานกว่าสิบปี คราวนี้นางได้ฟังปรัชญาจากชุนอิง ไม่คาดคิดมาก่อนว่าความคิดของหญิงสาวจากจวนเสนาบดีจะลึกซึ้งถึงเพียงนี้
…
เหยียนอี้ถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอวันขาย ส่วนทางด้านเฉินฟู่เซินที่อยู่ในวังยามนี้ดวงตากำลังแดงก่ำ
เริ่มแรก หลางกวนเอ๋อร์ไม่เห็นเหยียนอี้ทำงานในห้องเครื่องหลวง เขาไปดูที่ห้องของเหยียนอี้แต่กลับพบว่าห้องว่างเปล่า ผ้าห่มยังอยู่บนพื้น รองเท้าของนางยังคงอยู่ข้างเตียง แต่ไม่มีใครอยู่ที่นั่น
หลางกวนเอ๋อร์กระตือรือร้นที่จะตามหาหญิงสาว แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ พอเขาไปบอกคนอื่น ๆ ในห้องเครื่องหลวง พวกเขาก็พูดเพียงว่าเหยียนอี้ขี้เกียจ แต่ยิ่งหลางกวนเอ๋อร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หลางกวนเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกจึงไปพบเฉินฟู่เซินและบอกเขาเกี่ยวกับการหายตัวไปของเหยียนอี้
เฉินฟู่เซินพูดเพียงว่าเหยียนอี้ไม่ได้พบเหยียนจื่อเป็นเวลานาน บางทีนางอาจไปหาน้องสาวของนางที่สำนักเยว่ฝู่ก็เป็นได้ แต่จนกระทั่งเที่ยงวันก็ยังไม่มีวี่แววของเหยียนอี้
ชายหนุ่มจึงไปสอบถามเหยียนจื่อว่านางเห็นเหยียนอี้หรือไม่ เมื่อเหยียนจื่อได้ยินว่าพี่สาวหายตัวไป นางก็รีบออกตามหาทันที
ตอนนี้นางได้รับความนิยมอย่างมากในสำนักเยว่ฝู่เพราะการร้องเพลงและเต้นรำที่โดดเด่นของนาง นางและเฉินฟู่เซินช่วยกันตามหาเหยียนอี้ทุกหนแห่ง
แต่พระราชวังหลวงมีขนาดใหญ่มาก ไม่ต้องพูดถึงว่าหากเหยียนอี้ไม่ได้อยู่ในวัง หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาคงหานางไม่เจอแน่
เฉินฟู่เซินพบรอยแยกในหน้าต่างห้องของเหยียนอี้ เขาได้กลิ่นควัน พลันรู้ว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่
เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของหลี่หงเสวี่ย จุดประสงค์คือเพื่อจับเหยียนอี้เป็นตัวประกันและบังคับให้เขาทำสิ่งต่าง ๆ เหมือนที่เขาทำเมื่อครั้งที่แล้ว โทสะพลันเกิดขึ้นในใจของเขา
แม้หลี่หงเสวี่ยจะมีสายลับมากมายในวัง แต่ในวังก็ได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่ง่ายเลยที่จะพาคนออกไปเช่นนี้ ผู้ชายคนนี้ยินดีที่จะเสี่ยงเพื่อจับตัวเหยียนอี้และบังคับให้เขาเชื่อฟัง เขาวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
เฉินฟู่เซินไม่สามารถออกจากวังได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงมุ่งหน้าไปที่กำแพงพระราชวังและจับสายลับคนหนึ่งของหลี่หงเสวี่ยได้ เขาพูดอย่างโกรธเคือง “กลับไปบอกเจ้านายของเจ้าเสีย ห้ามแตะต้องนางอีก อย่าบังคับให้ข้าต้องเปิดโปงเขา!”
“องครักษ์เฉิน เจ้ากำลังพูดถึงอะไร” สายลับเป็นองครักษ์ที่เฝ้าประตูเฉาหยางตอบกลับด้วยความงุนงง ทว่ายามนี้เฉินฟู่เซินกำลังโกรธจัด
“อย่ามาทำไขสือ! กลับไปบอกหลี่หงเสวี่ยให้ปล่อยนางไปซะ!” เฉินฟู่เซินกดเขากับกำแพงและบีบคออีกฝ่ายไว้
สายลับผู้นั้นถูกรัดคอแน่นจนไม่สามารถหายใจได้ ใบหน้าของเขาซีดเผือด เขาทำได้แค่ดิ้นรนอย่างสุดกำลัง
เฉินฟู่เซินเห็นว่าหากเขารัดแน่นขึ้นอีก ชายคนนี้คงได้ขาดอากาศตายแน่ ดังนั้นเขาจึงปล่อยมือและโยนชายหนุ่มลงกับพื้น
ชายคนนั้นหนีจากความตายได้อย่างหวุดหวิด นอนกองอยู่ที่เท้าของเฉินฟู่เซิน และอ้าปากค้างเพื่อหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนกล่าวว่า “คุณชายเฉิน! สุดท้ายท่านก็เป็นเพียงสายลับที่องค์ชายน้อยวางไว้ในวัง เจ้าเป็นคนเช่นเดียวกับข้า อย่าหยิ่งยโสเกินไปนัก!”
เฉินฟู่เซินพ่นลมอย่างเย็นชา “ไปบอกเจ้านายของเจ้าให้มาฆ่าข้าสิ! ให้เข้าวังมาลงมือเอง เป็นอย่างไร?!”
ชายคนนั้นพยายามลุกขึ้นและพูดว่า “คุณชายเฉิน แม้ว่าองค์ชายน้อยจะให้ความสำคัญกับท่าน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะทำการใดก็ได้ อย่าหลงตัวเองไปหน่อยเลย!”
ทันใดนั้นเฉินฟู่เซินก็ดึงดาบของเขาออกจากเอวและตัดหูของชายคนนั้นออกด้วยความรวดเร็ว ชายผู้โชคร้ายไม่มีเวลาแม้แต่จะเปล่งเสียงกรีดร้อง เฉินฟู่เซินปิดปากของเขาและขู่ว่า “ที่นี่คือประตูของวังหลวง หากเจ้าตะโกนเสียงดังเกินไปและทำให้ผู้คนแห่กันมา เรื่องคงจะไม่จบแค่หูข้างเดียว”
ชายคนนั้นจะไม่กรีดร้องได้อย่างไรเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ ทั่วร่างเขาสั่นเทิ้มไปด้วยความเจ็บปวด เขาจะอดทนได้อย่างไรกัน
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “หยิบหูของเจ้าและกลับไปบอกหลี่หงเสวี่ยว่าหากเหยียนอี้ไม่กลับมาก่อนมืด ข้าจะไปรับหูขวาของเขาในวันพรุ่งนี้!”
องครักษ์ไม่เคยได้ยินชื่อเหยียนอี้มาก่อน แต่เขาได้เห็นความโหดเหี้ยมของเฉินฟู่เซินแล้ว เขาไม่กล้ารอช้า จะยังมีกะจิตกะใจตามหาหูของตัวเองได้อย่างไร เขารีบปิดบาดแผลไว้และวิ่งออกจากประตูวังทันที
เฉินฟู่เซินเตะหูของชายคนนั้นและฝังลงพื้น จากนั้นเช็ดคราบเลือด ก่อนจะหยิบดาบของเขาออกไป
แต่คราวนี้เหยียนอี้ไม่ได้ถูกจับโดยคนของหลี่หงเสวี่ย สายลับเล่าทุกอย่างให้หลี่หงเสวี่ยฟังหลังจากที่เขาออกจากวัง จากนั้นนอกจากถูกตบไปสองครั้งก็ไม่มีการตอบสนองใดอีก
เหยียนจื่อหาพี่สาวของนางไม่เจอ นางวิตกกังวลจนร้องไห้หลายครา นางวิ่งไปรอบ ๆ แต่นางไม่กล้ารบกวนคนมากเกินไป ทว่าสุดท้ายนางไม่พบอะไรเลย
ในเวลานี้องค์ชายแปดเพิ่งออกมาหลังจากเยี่ยมเยียนแม่ของเขา ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงร้องไห้ดังแว่วมาจึงถามว่า “ใครร้องไห้อยู่ตรงนั้น”
เหยียนจื่อปาดน้ำตาโดยพลันและถวายคำนับแก่หลี่หรงเฉิง
“อ๋อ เป็นเจ้าหรอกหรือ เหตุใดเจ้าถึงร้องไห้หนักเช่นนี้” ในวันที่ถูกลอบสังหารวันนั้น หลี่หรงเฉิงได้พบและพูดคุยกับเหยียนจื่อ ต่อมาเขากลับไปที่วังและยังคงจดจำได้
ต่อมาเหยียนจื่อเข้าสำนักเยว่ฝู่ หลี่หรงเฉิงชื่นชอบผู้ทที่ร้องรำเป็นเลิศ เขาได้พบนางหลายครั้งในสำนัก ทว่าเหยียนจื่อไม่ได้เข้าไปในวังเป็นเวลานานและไม่มีโอกาสแสดงต่อหน้าเจ้านาย
“เหยียนจื่อ อาจารย์และนักดนตรีเหล่านั้นรังแกเจ้าหรือเปล่า” หลี่หรงเฉิงถามว่า “พวกเขาไม่รู้หรือว่าเจ้าเป็นเพื่อนของข้า? พวกเขากล้ารังแกเจ้าได้อย่างไร”
เหยียนจื่อส่ายหัว “เพราะองค์ชายแปดตรัสกับหม่อมฉันสองสามคำในสำนักเยว่ฝู่ครั้งก่อน ทุกคนคิดว่าหม่อมฉันมีมิตรภาพอันดีกับท่าน ใครจะกล้ารังแกหม่อมฉันเล่าเพคะ”
“แล้วเจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด? เราเป็นเพื่อนกัน เจ้าพูดมาได้เลย!” หลี่หรงเฉิงกล่าวว่า “ตอนนั้นเราอยู่นอกเมืองอวิ๋นเจี้ยน เราผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาแล้ว!”
เหยียนจื่อรู้สึกสะเทือนใจที่ได้ยินว่าเขาพร้อมช่วยเหลือ เมื่อคิดว่าเขาเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ เขาจะช่วยนางตามหาพี่สาวของนางอย่างแน่นอน นางจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “พี่สาวของหม่อมฉันหายไป หม่อมฉันหานางที่ไหนก็ไม่พบเลยเพคะ”
“พี่สาวของเจ้า? พี่สาวของเจ้าไม่ได้อยู่ในห้องเครื่องหรอกหรือ” หลี่หรงเฉิงถาม
“นางหายไปแล้ว เราพบยาสลบในห้องของนางด้วยเพคะ” เหยียนจื่อกล่าวอย่างร้อนรน
“ยาสลบ? ใครมันบังอาจเช่นนี้? กล้าที่จะใช้มันในวังเชียวรึ?” หลี่หรงเฉิงก็ตกใจเช่นกัน “ไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกขันทีที่รับผิดชอบ จะได้มีผู้คนช่วยตามหานางเพิ่ม”
“อนิจจา…” เหยียนจื่อคว้าเขาไว้ “ชีวิตของพี่สาวหม่อมฉันในห้องเครื่องหลวงนั้นลำบากเหลือเกิน หากฝ่าบาททำให้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเขาต้องโกรธเป็นแน่เพคะ”
“ข้าจะหาพี่สาวของเจ้าได้อย่างไรหากไม่หาคนมาช่วยเพิ่ม” หลี่หรงเฉิงถามด้วยความกังวล
“แล้วถ้าหากคนผู้นั้นไม่ได้อยู่ในวังแล้วเล่าเพคะ” เหยียนจื่อสะอึกสะอื้น
หลี่หรงเฉิงกลัวน้ำตาของผู้หญิงมากที่สุด เขาไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างไร ทำได้เพียงพูดว่า “ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล”
“พี่สาวของหม่อมฉันหายไป หม่อมฉันจะไม่กังวลใจได้อย่างไรเพคะ” น้ำตาของเด็กสาวร่วงหล่นไม่ขาดสาย
หลี่หรงเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดกับเหยียนจื่อว่า “ข้าจะส่งคนในวังของข้าออกตามหาอย่างเงียบ ๆ แล้วข้าจะไปที่ประตูวังเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนเจ้าไปที่ห้องเครื่องหลวงและรอฟังข่าวเสีย”
“หลางกวนเอ๋อร์อยู่ในห้องเครื่องหลวงแล้ว หม่อมฉันจะไปกับฝ่าบาทเพคะ” เหยียนจื่อเช็ดน้ำตาของนางและเดินตามหลี่หรงเฉิงอย่างใกล้ชิด
หลี่หรงเฉิงและเหยียนจื่อไปที่กำแพงวังก่อน จากนั้นไปที่ประตูตะวันตกและถามทหารเฝ้าที่ประตู อย่างไรก็ตามเขาอยู่ในกะ ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่เมื่อคืนได้กลับบ้านเพื่อพักผ่อนแล้ว มีเพียงคนเดียวที่อาศัยอยู่ในอาคารประตูเป็นเวลานานและเฝ้าดูเมื่อคืนนี้ เขารายงานว่าไม่มีคนต้องสงสัย
หลี่หรงเฉิงถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เขาไม่รู้อะไรแม้แต่น้อย เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องดูหนังสือที่บันทึกผู้คนเข้าออกวัง
เหยียนจื่อมองใบหน้าของหลี่หรงเฉิงอย่างระมัดระวัง นางไม่รู้จะทำเช่นไร ได้แต่กระวนกระวายใจ “หากพวกเขาไม่ผ่านประตูทั้งสองแห่งเล่าเพคะ”
หลี่หรงเฉิงตอบว่า “สาวน้อย กำแพงวังสูงมากและมีผู้คนลาดตระเวน ใครจะข้ามมันได้”
“แล้วประตูอีกแห่งล่ะเพคะ” เหยียนจื่อถาม
หลี่หรงเฉิงอธิบายอย่างอดทน “ในบรรดาแปดประตูใหญ่และสิบหกประตูมุมกำแพงของพระราชวัง มีเพียงประตูตะวันตกและตะวันออกเท่านั้นที่อนุญาตให้ผู้คนเข้าและออกในเวลากลางคืน นอกจากนี้มีเพียงหกฝ่าย ฮองเฮา และผู้ที่มีป้ายผ่านประตูเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าออกได้และจะถูกบันทึกการเข้าออกประตู”
น่าเสียดายที่หลี่หรงเฉิงตรวจสอบบันทึกอย่างละเอียดแต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ
ประตูซีจื๋อเหมินเป็นประตูสำหรับขันทีและสาวรับใช้ มีเพียงบันทึกประจำทุกคืน ในขณะที่ประตูตงหัวเป็นประตูสำหรับเสนาบดีฝ่ายต่าง ๆ เข้าออก และไม่มีใครผ่านเมื่อคืนนี้
หลี่หรงเฉิงยืนอยู่ข้างประตูตงหัวและยืนยันกับนายทหารครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “เมื่อคืนไม่มีใครออกไปจากที่นี่จริง ๆ หรือ”
“ไม่มีเลยพ่ะย่ะค่ะ” ทหารตอบเช่นเดิมทุกครั้ง
จากนั้นองค์ชายหลี่หรงอวี่ผ่านมา พร้อมกับองครักษ์ที่นำม้าสองตัวมาด้วยข้างหลัง
เมื่อเขาเห็นหลี่หรงเฉิง เขาถามว่า “น้องแปด เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
หลี่หรงเฉิงตอบว่า “เหยียนจื่อบอกว่าพี่สาวของนางหายไป”
“เหยียนอี้? เกิดอะไรขึ้น” หลี่หรงอวี่ขมวดคิ้ว
“หม่อมฉันไม่รู้ หม่อมฉันไม่ได้เห็นพี่สาวมาเป็นเวลานาน วันนี้เฉินฟู่เซินมาถามหม่อมฉันและหม่อมฉันก็รู้เพียงว่านางหายตัวไปเมื่อคืนนี้…” เมื่อถูกถามเรื่องนี้อีกครั้ง น้ำตาก็พลันพรั่งพรู
หลี่หรงเฉิงรีบเกลี้ยกล่อมนางไม่ให้ร้องไห้ แต่เขาเงอะงะมากเสียจนไม่รู้ว่าจะเอาผ้าเช็ดหน้าให้หญิงสาวได้อย่างไร
หลี่หรงอวี่ถามเกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดและคิดว่า “การรักษาความปลอดภัยในวังนั้นแน่นหนามาก และเหยียนอี้ก็เป็นคนระมัดระวังตัวมาโดยตลอด นางไม่น่าจะถูกลักพาตัวออกจากวังได้ น้องแปด จงไปที่ตำหนักตะวันออกและหาคนที่ไว้ใจได้ให้เขาช่วยตามหานางในวังเสีย”
หลี่หรงเฉิงพยักหน้ารับคำและปลอบโยนเหยียนจื่อ “ดูสิ องค์รัชทายาทเองก็ช่วยหาอีกแรง พี่สาวของเจ้าจะต้องปลอดภัย”
หลี่หรงอวี่ยังบอกองครักษ์จินอู๋ด้วยว่า “จงไปที่ค่ายเสินเวยเพื่อตามหานายกองต้วน และขอให้เขาส่งชายที่มีความสามารถมา สวมชุดพลเรือนและออกไปตามหานอกวัง”
องครักษ์จินอู๋คนนี้ควรจะออกไปจากวังพร้อมกับองค์รัชทายาท แต่เมื่อเขาได้รับงานอื่นและต้องแยกกับผู้เป็นนาย เขาจึงรีบถามว่า “พระองค์จะออกไปจากวังคนเดียวได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”