ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 63 ถูกจับไปกลางดึก
บทที่ 63 ถูกจับไปกลางดึก
องค์หญิงผิงหยางพ่นลมอย่างเย็นชาและพูดว่า “ฮึ่ม เฉินฟู่เซินทำไม่ได้ เจ้าจงเปลี่ยนให้คนอื่นเข้ามา”
หญิงชราส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจ
ผิงหยางพึมพำ “หญิงชราเจ้าเล่ห์ เจ้าไม่รู้หรือว่าเฉินฟู่เซินมาจากเมืองอวิ๋นเจี้ยน”
เฉินฟู่เซินไม่เข้าใจว่านางหมายถึงอะไร เขาสงสัยว่าเหตุใดองค์หญิงจึงพูดถึงบ้านเกิดของเขา เกิดอะไรขึ้น?
อย่างไรก็ตามหญิงชราไม่กล้าเอ่ยถามเพิ่มเติม นางจึงส่งเฉินฟู่เซินออกไปและปิดประตู
เฉินฟู่เซินรู้ว่าองค์หญิงเป็นคนที่รับมือยากมาโดยตลอด เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากและกลับไปที่ลานชั้นนอก
หลังจากนั้นไม่นานหญิงชราก็พาองครักษ์อีกคนชื่อหวงเข้าไปในห้องนอนขององค์หญิงและอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่องครักษ์หวงถูกเรียกตัวไปเพียงลำพังและเขาก็กังวลมาก โดยเฉพาะหลังจากที่องค์หญิงอารมณ์เสีย
องค์หญิงผิงหยางโบกมือให้องครักษ์และสั่งให้เขาขยับเข้ามาอีกสองก้าว
องครักษ์หวงเก้อเขิน บนพื้นเต็มไปด้วยชิ้นส่วนเครื่องลายครามและกระดาษที่แตกหัก ไม่มีที่สำหรับเขาจริง ๆ
องค์หญิงผิงหยางถามหญิงชราว่า “เขามีวรยุทธ์ที่ดีที่สุดในตำหนักของเรานอกเหนือจากเฉินฟู่เซินใช่หรือไม่”
หญิงชราตอบว่าใช่
เมื่อองครักษ์หวงได้ยินชื่อของเฉินฟู่เซิน เขารู้สึกกังวลเล็กน้อย
ตั้งแต่องครักษ์เฉินมาที่นี่ ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่ประจักษ์ไปทั่ววัง เมื่อองค์หญิงผิงหยางถามเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มก็แสดงวิชาตัวเบาให้นางดู
องค์หญิงผิงหยางพอใจมาก จากนั้นนางกระซิบอะไรบางอย่างกับองครักษ์หวง
เมื่อได้ยินเช่นนี้องครักษ์หวงก็คุกเข่าลงและพูดว่า “องค์หญิง พระราชวังได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา ท่านทำแบบนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ผิงหยางตีเบาะของนางด้วยความไม่พอใจ “เจ้าได้ยินสิ่งที่ข้าพูดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องดี และนี่คือความลับ หากเจ้าไม่ทำตามคำสั่งของข้า ข้าก็คงไม่อาจเก็บเจ้าไว้ได้”
องครักษ์หวงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากบ่นในใจ เขารู้ว่าหากเขาพูดอะไรมากกว่านี้ หัวของเขาจะหลุดออกจากบ่าเพราะองค์หญิงเอาแต่ใจผู้นี้เป็นแน่ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตาม
ผิงหยางพอใจและพูดว่า “คืนนี้เจ้าจงไป หากเจ้าไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ต้องมาที่นี่อีก”
องครักษ์หวงคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าและถอยกลับด้วยความกลัว ชายหนุ่มแสนดีคนหนึ่งเข้ามาถามไถ่เขา แต่เขาไม่กล้าพูดอะไร ทำได้เพียงส่ายศีรษะด้วยใบหน้าขมขื่น
ส่วนเฉินฟู่เซินไม่เคยมีมิตรภาพใด ๆ กับพวกเขาเลย เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าเหตุใดองครักษ์หวงถึงเศร้าสร้อย
…
ตกดึก ณ ห้องของหญิงสาว
เหยียนอี้นอนอยู่บนเตียง และนอนไม่หลับเพราะอากาศร้อนและยุงจำนวนมาก
นางเป็นคนที่ดึงดูดยุงมากที่สุดมาโดยตลอด บัดนี้มีตุ่มที่น่องของนาง นางเอื้อมมือออกไปและเกามัน แต่ยิ่งเกาก็ยิ่งคัน ทำให้นอนไม่หลับ
นางได้แต่พลิกตัวไปมา จนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืนนางก็ง่วงนอน ทันใดนั้นเหยียนอี้ได้ยินเสียง ‘กระดิ่ง’ ที่หน้าต่าง
เสียงนั้นเบามากจนแทบไม่ได้ยิน หากไม่ใช่ตอนกลางคืนที่เงียบสงัด นางคงไม่ได้ยินอย่างแน่นอน
แม้เหยียนอี้จะกังวลเกี่ยวกับเสียงนั้น แต่นางก็เหนื่อยมากหลังจากถูกยุงรุมกัดไปครึ่งคืน นางไม่ได้ใส่ใจและผล็อยหลับไป
แต่เมื่อนางตื่นขึ้นมาจึงพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียงอีกต่อไป!
ระหว่างที่หลับไป เหยียนอี้รู้สึกราวกับว่านางลอยอยู่ในอากาศ มือและเท้าของนางเจ็บปวดมาก นางต้องการร้องออกมา แต่นางถูกอุดปากด้วยสิ่งที่อ่อนนุ่มเหมือนผ้า ทำให้ตะโกนไม่ออก
นางดิ้นรนสองครั้งและพบว่ายิ่งนางดิ้นรนมากเท่าไร มือและเท้าของนางก็เจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งนางลืมตาขึ้นและพบว่านางถูกร่างสูงอุ้มพาดไหล่อยู่!
นางตกใจและกระวนกระวาย มือและเท้าของนางไม่เพียงแต่ถูกมัดด้วยเชือก ปากของนางยังถูกยัดด้วยสิ่งของ นางดิ้นพล่านและตะโกนว่า “อ้วยอ้วย!”
โชคดีที่นางไม่ได้ถูกปิดตา
เหยียนอี้มองไปรอบ ๆ และพบว่าโจรกำลังกระโดดขึ้นลงบนกำแพงพระราชวัง เขาอุ้มนางข้ามและเดินบนกำแพง ราวกับว่ากำลังเดินอยู่บนพื้น นางเห็นทหารมากมายเดินอยู่นอกวัง
กำแพงด้านนอกของพระราชวังหลวงนั้นสูงนัก ผู้ใดจะเข้าออกก็ต้องสามารถเดินผ่านประตูพระราชวังเท่านั้น
อีกทั้งตามประตูพระราชวังได้รับการคุ้มกันโดยผู้คุมหลายสิบคนและไม่สามารถผ่านได้อย่างง่ายดาย
เหยียนอี้ดิ้นไปมาอยู่บนไหล่โจรอย่างสิ้นหวังและร้องไห้สะอึกสะอื้น นางเพียงต้องการดึงดูดความสนใจจากทหารที่เฝ้าประตูวังเพื่อช่วยตัวเอง
โดยไม่คาดคิด โจรหยิบควันออกมาแล้ววางไว้ใต้จมูกของเหยียนอี้
ก่อนหน้านี้เป็นเขาเองที่อยู่นอกหน้าต่างและพ่นควันเข้าไปในห้องเหยียนอี้ ทำให้นางหลับไป
อย่างไรก็ตามห้องมีขนาดใหญ่ทำให้ควันกระจายตัว ดังนั้นเหยียนอี้จึงสูดดมเพียงเล็กน้อยและในไม่ช้าก็ตื่นขึ้นมาบนไหล่ของโจร
ในขณะนี้เขาใช้ควันจัดการกับเหยียนอี้อีกครั้ง แม้นางจะรู้ว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แต่นางก็ไม่อาจกลั้นหายใจได้นาน เพียงครู่เดียวนางก็หลับไปทันที
องครักษ์พบเกวียนที่เตรียมไว้ริมถนน จากนั้นโยนเหยียนอี้ที่หมดสติลงในถัง ปิดฝา ส่วนตนเองก็เปลี่ยนไปใส่เสื้อผ้าของขันทีแล้วบังคับเกวียนพุ่งเข้าหาประตูวัง
เมื่อโจรไปถึงประตู ผู้คุ้มกันก็หยุดเขาและขอตรวจสอบป้ายแขวนเอวของเขา
โจรหยิบป้ายแขวนเอวออกมา ดัดเสียงและเรียนรู้ที่จะพูดเหมือนหัวหน้างานภายใน “มันเป็นเกวียนบรรทุกน้ำจากตำหนักฮองเฮา”
ทหารถามว่า “น้ำมักจะถูกใช้ในยามสี่[1] เสมอ ช่วงหลังยามสอง[2] ตำหนักจาวหยางจะเอาน้ำไปทำสิ่งใด”
โจรตอบว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่ 15 ฝ่าบาทจะทรงใช้เวลาทั้งคืนในตำหนักฮองเฮา ฮองเฮาต้องการชำระพระวรกายด้วยน้ำจากภูเขาอวี้ฉวน แต่ภูเขาอวี้ฉวนนั้นอยู่ไกลออกไปและใช้เวลาสามชั่วยามเดินทางไปกลับ ดังนั้นข้าจึงออกเดินทางแต่เนิ่น ๆ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอกทหารเฝ้าประตูวัง ทหารนายหนึ่งกล่าวว่า “ในอดีตมีฮองเฮาทรงต้องการชมทิวทัศน์ของภูเขาอวี้ฉวน พระองค์มักออกเดินทางยามสี่เสมอ ไม่มีเหตุผลที่จะออกจากวังตอนเกือบเที่ยงคืนเช่นนี้”
โจรไม่สามารถหลอกทหารเหล่านี้ได้ด้วยคำพูดที่องค์หญิงสอน ทหารนายหนึ่งปีนขึ้นไปบนเกวียนเข็นน้ำและกำลังจะเปิดฝา เขาวิตกกังวลมากและแสร้งทำเป็นโกรธ
“เหตุใดเจ้าถึงมีคำถามมากมายนัก? ป้ายแขวนเอวของฮองเฮาอยู่ที่นี่ มันเป็นคำสั่งจากเจ้านาย พวกเจ้าจะตรวจสอบกันไปเพื่อสิ่งใด!”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ทหารก็มองหน้ากันด้วยความประหลาดใจและไม่กล้าทำให้ฮองเฮาขุ่นเคืองจริง ๆ เขาจำต้องพูดว่า “ขออภัยที่ทำให้ท่านขันทีต้องโกรธเคือง มันเป็นหน้าที่ของข้าที่จะทำเช่นนี้ ข้าไม่กล้ารีบร้อน เพียงแค่ให้ข้าค้นเกวียน หากพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ข้าถึงสามารถปล่อยให้ท่านผ่านไปได้”
เวลานี้เองที่เกวียนบรรทุกสิ่งสกปรกจากห้องทำความสะอาดถูกเข็นออกมาจากวัง มันมักถูกเข็นมาตอนยามสองเสมอเพื่อไม่ให้กลิ่นรบกวนผู้อื่น
ทหารยามไม่แปลกใจ พวกเขาตรวจสอบป้ายแขวนเอวและไม่ได้ตรวจสอบเกวียนที่มีกลิ่นเหม็นเลย พวกเขาหวังเพียงว่ามันจะผ่านไปโดยเร็ว
เมื่อชายเข็นเกวียนบรรทุกน้ำเห็นว่าเกวียนจากห้องทำความสะอาดผ่านไปแล้ว เขาก็ตั้งใจจะเนียนตามไป
แต่ทหารไม่ยอมปิดตาข้างหนึ่ง พวกเขายกเท้าขึ้นมาเหยียบหน้าเกวียนและบังคับตรวจสอบ
เมื่อพวกเขาเปิดฝาก็พบว่าภายในถังใหญ่ว่างเปล่า!
ปรากฏว่านี่เป็นแผนการอันชาญฉลาดขององค์หญิงผิงหยาง แท้จริงแล้วโจรเป็นขันทีตัวจริง และเกวียนน้ำก็เป็นเกวียนน้ำจริง ๆ เช่นกัน
ในขณะที่องครักษ์หวงปลอมตัวเป็นคนเข็นเกวียนจากห้องทำความสะอาด เขาซ่อนเหยียนอี้ไว้ในเกวียนและพานางออกจากวังได้สำเร็จ!
ทหารสงสัยเพียงแค่เกวียนบรรทุกน้ำ พวกเขาจะสนใจเกวียนบรรทุกสิ่งสกปรกได้อย่างไร?
เหยียนอี้ง่วงนอนมากหลังจากโดนรมควันจนกลิ่นเหม็นของสิ่งสกปรกไม่สามารถปลุกนางให้ตื่น
ทันทีที่องครักษ์หวงออกมาจากประตูวังเขาก็ทิ้งเกวียนสกปรกไว้ข้าง ๆ ก่อนจะอุ้มเหยียนอี้ขึ้นมาและวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาวิ่งไปจนถึงชานเมืองหลวงก่อนรุ่งสาง เขาพบวัดที่ถูกทิ้งร้างและโยนเหยียนอี้เข้าไปในวัด
ตามคำสั่งขององค์หญิงผิงหยาง ใบหน้าของเหยียนอี้จะต้องถูกกรีดแล้วขายให้กับผู้คน
องครักษ์หวงวางเหยียนอี้ไว้ข้าง ๆ ก่อนจะหาที่นั่งและก่อไฟ เขาตั้งใจจะไปค้นหาคนซื้อหลังรุ่งสาง
เขาเห็นว่าเหยียนอี้ยังสาวยังสวย แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงผิงหยางถึงเกลียดชังผู้หญิงคนนี้นัก เขายกมีดขึ้นหลายครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดใจทำไม่ลง
เขาคิดว่าหากความงามของเหยียนอี้ถูกทำลาย นางจะไม่สามารถขายได้ในราคาที่ดีอย่างแน่นอน เป็นการดีกว่าหากจะขายนางให้คนค้าทาสในสภาพที่ดี มันคงทำเงินได้อีกสองสามเหรียญแก่เขาซึ่งจะถือเป็นเงินพิเศษจำนวนเล็กน้อย
หากใบหน้าของหญิงสาวถูกทำลายและนางตกอยู่ในมือพวกพ่อค้าแม่ขาย นางจะอยู่รอดได้อย่างไร?
เหยียนอี้จะไม่มีวันได้กลับไปที่วังอีกในชีวิตนี้ และองค์หญิงจะไม่มีวันได้พบนางอีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องใช้มีดเล่มนี้
ขอบคุณสวรรค์ เพราะความโลภและความเมตตาปรานี ท้ายที่สุดเหยียนอี้ก็ไม่เสียโฉม
…
เมื่อรุ่งสางของวันรุ่งขึ้นมาถึง องครักษ์หวงพาคนคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องการซื้อขายผู้หญิงมา เขาเรียกนางว่า ‘นางล่าย’
เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้ถูกมัดไว้กับพื้นและยังไม่ได้สติ นางล่ายก็กลัวที่จะรับนางเล็กน้อย นางล่ายพูดว่า “เจ้าจับนางมารึ? ไม่ ๆ ๆ หญิงชราเช่นข้ามีส่วนร่วมในธุรกิจค้ามนุษย์ และแม้ข้าจะไม่ค่อยได้กำไร แต่ข้าก็ไม่ได้อยากช่วยเจ้าก่อความผิดเช่นนี้”
องครักษ์หวงสร้างเรื่องขึ้นมาและพูดว่า “นี่คือหญิงงามในจวนของเจ้านายของเรา เจ้านายของเราต้องการนาง แต่ฮูหยินใหญ่ของเราอิจฉาและทนไม่ได้ ดังนั้นเราจึงต้องการขายนาง
ผู้หญิงคนนี้สามารถไต่เต้าไปที่สูงกว่านี้ได้ นางจะเต็มใจขายตัวเองได้อย่างไร? นั่นเป็นเหตุผลที่เราผูกนางไว้และขายนางด้วยการบังคับ”
นางล่ายมองหน้าเหยียนอี้อย่างพินิจพิเคราะห์ นางดูดีมากและต้องทำเงินได้มากแน่ นางมั่นใจ
องครักษ์หวงรีบตีเหล็กในขณะที่ยังร้อน “ครอบครัวของเจ้านายของข้าเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง เป็นการยากที่จะเผยแพร่สิ่งที่น่าอับอายเช่นนี้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาสั่งให้ข้าพานางมาที่นี่”
นางล่ายถามอีกครั้งว่า “แล้วสถานะทาสของผู้หญิงคนนี้ล่ะ”
องครักษ์หวงคาดไว้แล้วว่านางจะถาม เขาจึงรีบให้เหตุผลที่คิดขึ้นล่วงหน้าว่า “ป้าล่าย นางภูมิใจมากที่ได้เป็นที่โปรดปรานของเจ้านายและขอให้นายท่านฉีกสถานะทาสของนาง แต่ท้ายที่สุดนางก็ไปไม่ถึงจุดนั้น นางไม่มีหนังสือยืนยันตัวตนด้วยซ้ำ”
นางล่ายยังคงไตร่ตรองอยู่ องครักษ์หวงจึงกล่าวต่อว่า “นายหญิงบอกว่านางแค่ต้องการขายสุนัขจิ้งจอกโดยไม่เอาทุนคืน มันเพียงพอที่จะขายได้ในราคายี่สิบตำลึง”
นางล่ายชูห้านิ้วและพูดว่า “นางไร้ค่า ฉะนั้นข้าให้เจ้าได้มากที่สุดห้าตำลึง”
เดิมทีองครักษ์ของหวงต้องการหารายได้พิเศษ แต่เมื่อเขาเห็นว่านางล่ายไม่สามารถถูกหลอกได้ง่าย เขาก็แค่ต้องการจบเรื่องโดยเร็ว เขากล่าวว่า “ห้าตำลึงก็ห้าตำลึง ป้าล่าย เจ้าสามารถสร้างรายได้ยี่สิบตำลึงจากความงามของผู้หญิงคนนี้เลยเชียว”
[1] ยามสี่ (四更) คือช่วงเวลาตีหนึ่งถึงตีสาม
[2] ยามสอง (二更,两更) คือช่วงเวลาสามทุ่มถึงห้าทุ่ม