ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 62 องค์หญิงผู้โหดร้าย
บทที่ 62 องค์หญิงผู้โหดร้าย
องค์หญิงผิงหยางผลักชามไปข้างหน้าและกล่าวว่า “ท่านพ่อชอบเห็นสิ่งใหม่ ๆ เสมอ ทุกสิ่งของเหล่าคนชายขอบถูกนำไปที่วัง กลุ่มชนเผ่าเชียงที่อยูทางตะวันตกและกลุ่มชนเผ่าเซียนเปยที่อยู่ทางตอนเหนือก็มีประเพณีที่ไม่ดีเช่นกัน อย่างเช่น ลูกชายแต่งงานกับภรรยาของพ่อ ช่างน่ารังเกียจเสียจริง”
หลี่หรงอวี่ขำขันที่เห็นนางกินนมข้นไปเพียงช้อนเดียว กลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้ ทว่าเขาไม่ต้องการโต้เถียง เขาจึงวางชามที่นางกินไว้ในถาดและพูดกับเหยียนอี้ว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
เหยียนอี้ลุกขึ้นและพยายามหยิบถาด แต่มีองุ่นจำนวนหนึ่งที่องค์รัชทายาทเพิ่งมอบให้นาง นางไม่สามารถถือถาดด้วยสองมือได้ นางชะงักและต้องใส่องุ่นเหล่านั้นเข้าไปในปากของนางจนแก้มป่อง จากนั้นนางก็ใช้สองมือถือถาดขึ้นมาและเตรียมออกไป
หลี่หรงอวี่ไม่ได้คาดหวังว่านางจะทำเช่นนี้ องค์รัชทายาทอดยิ้มกับการกระทำของนางไม่ได้
องค์หญิงผิงหยางบิดผ้าเช็ดหน้าของนางพลางพูดว่า “พี่รองชอบนางมากงั้นรึ”
หลี่หรงอวี่ยิ้มและพูดว่า “นาง? ข้าเพียงคิดว่านางตลกดี”
องค์หญิงผิงหยางได้ยินดังนั้นก็สบถทันทีและหันหลังกลับอย่างโกรธจัด
หลี่หรงอวี่ต้องเกลี้ยกล่อมนาง “อย่าน้อยใจเลย เจ้าเองก็น่าสนใจเหมือนกัน”
“ข้าด้วยหรือ? ฮึ่ม!” องค์หญิงผิงหยางยิ่งโกรธกับคำพูดนี้มากขึ้นไปอีก
“ช่วงนี้เจ้ามักโมโหข้าทุกครั้งที่เห็นหน้า เช่นนั้นเจ้าอย่าเพิ่งมาหาข้าสักพักดีกว่า” หลี่หรงอวี่จงใจยั่วยุนางด้วยคำพูด
ในอดีตผิงหยางมักกลัวว่าพี่ชายของนางจะโกรธนาง แต่ตอนนี้นางเอาความคิดของตนเป็นใหญ่ ยิ่งหลี่หรงอวี่พูดแบบนี้มากเท่าไร ผิงหยางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น
“ท่าน… พี่รองชอบผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นจริงหรือ” ผิงหยางรั้งไว้เป็นเวลานานและในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม
หลี่หรงอวี่รู้สึกหมดหนทาง ความคิดน้องสาวของเขาเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เขาดีดหน้าผากนางและกล่าวโน้มน้าว “เจ้าช่วยคิดเรื่องอื่นหน่อยได้หรือไม่ เจ้าสมองน้อย”
“ถ้าเช่นนั้น… ท่านไม่ชอบนางหรือ” ผิงหยางถามอีกครั้ง
หลี่หรงอวี่ตกตะลึงและยิ้มออกมาอย่างมีไหวพริบ “เสด็จพ่อของข้ามักจะสอนให้ข้ารักทุกคนบนโลกนี้”
“ท่าน… ฮึ่ม!” ยิ่งผิงหยางคิดถึงเรื่องนี้ นางก็ยิ่งมีน้ำโหมากขึ้น แต่นางรู้ว่าพี่ชายของนางไม่ชอบให้นางใช้อารมณ์โดยไม่มีเหตุผล ยิ่งไปกว่านั้นนางไม่สามารถบอกความจริงเกี่ยวกับไฟรักแรงหึงของนางได้ นางเพียงแค่หยิบถ้วยชาและกระดกชาลงในท้องของนาง
“เฮ้ นี่คือถ้วยของข้า” หลี่หรงอวี่กล่าว
ผิงหยางหยิบถ้วยและยื่นให้สาวใช้ที่อยู่ข้างหลังเขา และพูดว่า “ข้าไม่เพียงแต่ต้องการดื่มน้ำชาของท่านเท่านั้น แต่ยังต้องการนำมันกลับไปด้วย!”
หลี่หรงอวี่ทำอะไรไม่ถูกและรู้สึกตลกขบขัน ดังนั้นเขาจึงต้องพูดว่า “เช่นนั้นก็จงนำทุกอย่างออกจากตำหนักของข้าเสีย”
ผิงหยางลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ท่านคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อใช้ประโยชน์จากท่านงั้นรึ? ข้าต้องการถ้วยนี้กับผลไม้ และจะเอากาน้ำชาไปด้วย!”
หลังจากนั้นผิงหยางก็ลุกขึ้นและจากไปด้วยอารมณ์บูดบึ้ง
หลี่หรงอวี่ลุกขึ้นยืนมองนางออกไป เมื่อผิงหยางพ้นจากสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ จางหาย เมื่อนึกย้อนดูเขาจำได้ว่าเหยียนอี้เพิ่งจากไปพร้อมกับปากของนางที่อัดแน่นด้วยองุ่น ดูราวกับกระรอกตัวน้อย เมื่อคิดดังนั้นองค์รัชทายาทก็แอบยิ้มอีกครั้ง
…
เหยียนอี้เดินออกจากประตูตำหนักตะวันออกพร้อมถาด ขณะนี้เฉินฟู่เซินยืนอยู่ที่ประตู
เมื่อเฉินฟู่เซินเห็นนางออกมาเขาก็ติดตามนางไป
เหยียนอี้กล่าวว่า “เจ้ามากับองค์หญิงผิงหยาง เจ้าจะส่งข้าได้อย่างไร? เหตุใดเจ้าไม่กลับไปคุ้มครององค์หญิงล่ะ”
เฉินฟู่เซินตอบอย่างร่าเริงว่า “มันไม่สำคัญหรอก องค์หญิงไม่สนว่าข้าจะไปที่ใด”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าทำงานนี้ง่ายมากหรือ?”
เฉินฟู่เซินตอบว่า “ข้าแค่ปล่อยให้นางทำบางสิ่งที่ฮองเฮาไม่ยอมให้นางทำ นางเชื่อใจข้ามากก็จริง แต่นางไม่สนใจข้า”
เหยียนอี้ถามต่อว่า “เจ้าปล่อยให้องค์หญิงทำผิดหรือ?”
เฉินฟู่เซินดีดหน้าผากของนางเบา ๆ “องค์หญิงมักจะทำสิ่งเลวร้ายเป็นปกติอยู่แล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องปล่อยด้วยซ้ำ”
เหยียนอี้รีบเตือน “ชู่! เจ้าจะพูดกับเจ้านายเช่นนี้ไม่ได้!”
เส้นทางจากตำหนักตะวันออกไปยังห้องเครื่องหลวงต้องผ่านสวนของฮ่องเต้ เฉินฟู่เซินคุ้นเคยกับเส้นทางในวังมากกว่าเหยียนอี้ เขานำนางไปทางที่มีต้นไม้เรียงรายและไม่มีแสงแดดส่อง
เหยียนอี้คิดว่าเฉินฟู่เซินตั้งใจพานางมาเส้นทางร่มรื่นนี้
นางรู้สึกซาบซึ้งและเปิดปากเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตำหนักตะวันออก “เจ้าไม่รู้ว่าองค์หญิงผิงหยางเป็นคนแปลก ๆ หรือ เมื่อครู่ข้าเกือบโดนนางดุเพราะสาเหตุใดก็มิอาจรู้ได้”
เฉินฟู่เซินพูดว่า “องค์หญิงแห่งอาณาจักร นางเป็นลูกสาวที่น่าภาคภูมิใจของสวรรค์ นางเคยชินกับความหยิ่งผยองมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว”
เหยียนอี้กล่าวว่า “มันไม่เป็นความจริง! ข้าไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทที่มีบุคลิกดีเช่นนี้จะชอบน้องสาวที่ทะนงตนเช่นนี้ได้อย่างไร”
เห็นได้ชัดว่านางแค่ขอให้เฉินฟู่เซินหยุดพูดเรื่องไร้สาระ แต่นางอดไม่ได้ที่จะกระซิบ
เฉินฟู่เซินเผยรอยยิ้มถากถางที่มุมปากของเขา “องค์รัชทายาทชอบองค์หญิงผิงหยางหรือ”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าคิดว่าองค์รัชทายาทต้องตามใจองค์หญิงผิงหยางมากอย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นองค์หญิงจะเข้าออกตำหนักตะวันออกทุกวี่ทุกวันได้อย่างไร”
“ตามใจหรือ? เหอะ” เฉินฟู่เซินเยาะเย้ย
เหยียนอี้กล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงเป็นผู้ปราดเปรื่อง เก่งในการวางแผนกลยุทธ์ แต่เขารักน้องสาวของเขามาก… ข้าพูดผิดไปหรือ”
“เจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี?” ทันใดนั้น เฉินฟู่เซินก็ถาม
เหยียนอี้มองไปที่สีหน้าประชดประชันของเฉินฟู่เซิน ราวกับว่าเขามีอะไรซ่อนอยู่ข้างในนางจึงถามว่า “อะไรเล่า? เจ้าต้องเคยเห็นสิ่งต่าง ๆ มากกว่าข้าสิ เพราะว่าเจ้าทำงานเคียงข้างองค์หญิงผิงหยาง บอกข้าเร็วเข้าเพื่อที่ข้าจะไม่เข้าใจสถานการณ์และทำผิดพลาด”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “เจ้ารู้ใช่หรือไม่ว่าองค์รัชทายาทและองค์หญิงผิงหยางไม่ใช่พี่น้องแม่คนเดียวกัน”
เหยียนอี้ตอบว่า “ข้ารู้เรื่องนี้แล้ว”
“ฮองเฮาเฉียนมีธิดาองค์เดียวคือองค์หญิงผิงหยาง ตระกูลเฉียนไม่มีโอรสสืบสกุล นางจึงอาสาเลี้ยงดูองค์รัชทายาทเอง ทว่าไทเฮากลับออกปากว่าจะเลี้ยงหลานชายด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงถูกเลี้ยงดูมาในตำหนักฉืออันตั้งแต่เด็ก และไม่สนิทกับฮองเฮาเฉียนเท่าใดนัก”
เฉินฟู่เซินกล่าวต่อว่า “เพื่อที่จะได้ใกล้ชิดองค์รัชทายาทมากขึ้น ฮองเฮาเฉียนมักจะส่งองค์หญิงผิงหยางไปที่ตำหนักฉืออันเพื่อไปเล่าเรียนร่วมกับองค์รัชทายาท พระองค์แก่กว่าองค์หญิงหกปี เด็กชายที่มีอายุมากกว่าไม่ชอบเล่นกับเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่า ดังนั้นแม้องค์หญิงผิงหยางจะไล่ตามองค์รัชทายาททุกวัน แต่พระองค์ก็ไม่ได้เห็นน้องสาวคนนี้อยู่ในสายตา”
เหยียนอี้รู้สึกแปลกมาก เพียงไม่กี่ครั้งที่นางเห็นด้วยตาตัวเอง องค์รัชทายาทและองค์หญิงผิงหยางดูสนิทชิดเชื้อกันมาก ผู้คนต่างกล่าวกันว่าครอบครัวเชื้อพระวงศ์ไร้ความปรานี แต่พี่น้องสองคนนี้มีความสามัคคีกันมากกว่าพี่น้องคนอื่น
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “เมื่อพวกเขายังเด็ก ทั้งสองไม่ค่อยสนิทกัน แต่เมื่อพวกเขาเติบโต ทั้งคู่ก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ของฮองเฮาและองค์รัชทายาท เจ้าลองคิดดูสิว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
เหยียนอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งและจำสิ่งที่โจวเจียบอกกับนางก่อนหน้านี้เกี่ยวกับพระสนมจางที่หมกมุ่นเรื่องฮองเฮาและองค์ชายสี่ผู้ไม่ได้กำชัยชนะกลับมา แต่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองทัพ ทันใดนั้นก็เข้าใจ
“เพราะเมื่อองค์รัชทายาทยังเด็ก เขาทำสิ่งต่าง ๆ ตามใจตัวเอง ทว่าเมื่อเขาโตขึ้นจึงพบว่าผู้คนในวังล้วนหวังแย่งชิงบัลลังก์ของเขา เฉินฟู่เซินข้าพูดถูกหรือไม่” เหยียนอี้ถาม
เฉินฟู่เซินพยักหน้า “ฮองเฮาเฉียนไม่มีลูกชาย ในขณะที่สนมจางเป็นที่โปรดปราน อีกทั้งองค์ชายสี่ยังเป็นที่รักของฮ่องเต้ ดังนั้นมีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถมีตำแหน่งที่มั่นคงได้ องค์หญิงผู้น่าสงสารเคารพแม่ของนางอย่างจริงใจและรักพี่น้องของนาง นางจึงได้กลายเป็นตัวเชื่อมมิตรภาพระหว่างสองคนนี้”
เหยียนอี้ส่ายหัวและพูดว่า “มันใจร้ายเกินไปที่เจ้าจะคิดเช่นนั้น องค์หญิงเป็นน้องสาวโดยตรงขององค์รัชทายาท พระองค์จะไม่รักนางจริง ๆ ได้อย่างไร”
เฉินฟู่เซินไม่ได้โต้แย้งเช่นกัน แต่ถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ “น่าเสียดายที่พี่น้องสองคนนี้ถึงคราวต้องโชคร้าย”
“โชคร้าย?” เหยียนอี้ไม่เข้าใจอีกแล้ว เหตุใดเขาถึงบอกว่ามีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีระหว่างพี่ชายและน้องสาว?
“มีบางสิ่งที่ไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจน และเจ้าจะรู้ได้เมื่อเกิดปัญหาในอนาคต” เฉินฟู่เซินกล่าว
คนสองคนคุยกันตลอดทางจนกระทั่งพวกเขามาถึงประตูห้องเครื่องหลวง เฉินฟู่เซินก็หยุดและดันเหยียนอี้ให้รีบเข้าไป
เหยียนอี้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและมองย้อนกลับมาถามว่า “เฉินฟู่เซิน เจ้ารู้หลายสิ่งหลายอย่าง และเจ้ายังได้คิดเกี่ยวกับพวกมันทั้งหมดแล้ว เจ้ามีแผนอะไรอยู่กันแน่”
เฉินฟู่เซินขมวดคิ้วและพูดว่า “ในสายตาของเจ้า ข้ามีแต่ความคิดชั่วร้ายหรือ”
เหยียนอี้ยิ้ม “เจ้ามีความลับมากมาย ส่วนข้าไม่เคยปิดบังเจ้าเลย ยังอยากให้ข้าตอบอยู่อีกหรือ?”
เฉินฟู่เซินโบกมือและพูดกล่าวเสียงเบาว่า “เจ้าเข้าไปเถิด…”
เหยียนอี้พยักหน้าและเข้าไปในประตูด้านข้างของห้องเครื่องหลวง
…
เฉินฟู่เซินกลับไปที่ตำหนักจาวหยาง องค์หญิงผิงหยางเสด็จกลับมาแล้ว ทันทีที่นางเข้าไปในห้องนอนนางก็เริ่มทำลายข้าวของอีกครั้ง
จานฝนหมึกและกระดาษบนโต๊ะเป็นของขวัญที่ดีที่สุดจากซูโจว[1] พวกมันถูกทิ้งเมื่อครั้งก่อน และคราวนี้พวกมันถูกโยนลงบนพื้นอีกครั้ง แม้แต่หมึกก็หกลงบนพรมและเปื้อนพื้นเป็นวงกว้าง
ไม่ต้องพูดถึงการเขียนตัวอักษรที่ดูก็รู้ว่าองค์หญิงผิงหยางเพิ่งฝึกฝนในตอนเช้า เดิมทีผิงหยางคิดว่านางเขียนคำเหล่านี้ได้ดีมาก คนในตำหนักแขวนไว้บนโต๊ะและเตรียมตากให้แห้ง หลังจากนั้นพวกเขาจะเรียกช่างฝีมือที่มีชื่อเสียงมาเพื่อใส่กรอบ
ทว่าเวลานี้ พวกมันทั้งหมดกองอยู่กับพื้นและนางก็เหยียบพวกมันครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด
หญิงชราที่รับใช้ข้างกายองค์หญิงผิงหยาง ไม่เห็นนางอาละวาดเช่นนี้มานานแล้ว นางปิดประตูอย่างใจเย็นและออกมาสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานและไม่พูดอะไรสักคำ
องค์หญิงแห่งผิงหยางมักจะแสร้งทำเป็นมีเสน่ห์และอ่อนโยน นางมีท่าทางขององค์หญิงแห่งอาณาจักร แต่ตัวตนของนางจริง ๆ ไม่เป็นเช่นนั้น นางมักจะยิ้มต่อหน้าผู้คน แต่หลังจากกลับมาถึงห้อง นางจะเริ่มทุบทำลายสิ่งต่าง ๆ ทันทีที่ประตูปิดลง
นอกเหนือจากคนไม่กี่คนในตำหนักที่อยู่ใกล้นาง ฮองเฮาและฮ่องเต้ไม่รู้ด้วยซ้ำเกี่ยวกับนิสัยที่ไม่ดีของธิดา ทุกคนในตำหนักที่กล้าพูดอะไรก็จะถูกลงโทษทันที
ปีที่แล้วมีคนรับใช้ในตำหนักคนหนึ่งถูกฆ่าตายทั้งเป็น
ทันทีที่เฉินฟู่เซินเข้ามาในลาน เขาเห็นกลุ่มขันทีหนุ่มจ้องมองกัน เขาเดาได้เจ็ดถึงแปดส่วนว่าพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไร
เดิมทีเฉินฟู่เซินเป็นองครักษ์ ดังนั้นเขาจึงต้องอยู่ในลานด้านนอก เขาไม่สามารถเข้าไปในลานด้านในหากไม่ถูกเรียกตัว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายใน มันก็ไม่ใช่ธุระของเขา เขาจึงกล่าวทักทายขันทีเหล่านั้นและทำเพียงยืนคุ้มกัน
หลังจากนั้นไม่นานเมื่อองค์หญิงผิงหยางระบายอารมณ์เพียงพอแล้วจึงสั่งหมัวหมั่วให้ไปนำคนที่มีวรยุทธ์มา หมัวหมั่วรับคำสั่งและเดินไปเรียกเฉินฟู่เซิน
เฉินฟู่เซินต้องตามเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ภาพแรกที่ชายาหนุ่มเห็นคือห้องนอนอยู่ในสภาพยุ่งเหยิง ข้าวของกระจัดกระจาย ผิงหยางนั่งอยู่บนเตียงและถามหญิงชราว่า “ผู้มีวรยุทธ์ที่ดีที่สุดในลานตำหนักของเราคือองครักษ์เฉินงั้นหรือ? องครักษ์คนอื่นไม่ได้เรื่องกันแล้วรึ”
เหงื่อเย็นของหญิงชราหยดลงมาตามไรผม นางพูดด้วยความเคารพ “โดยปกติแล้วองครักษ์ทั้งหมดล้วนมีฝีมือ องครักษ์จินอู๋ผู้นี้ถูกแต่งตั้งโดยองค์ฮ่องเต้เป็นการส่วนตัวเพราะเขาช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้ และยังมีความสามารถโดดเด่นในหมู่องครักษ์ด้วยเพคะ”
[1] ซูโจว คือเมืองสำคัญทางตะวันออกเฉียงใต้ของมณฑลเจียงซูซึ่งอยู่ภาคตะวันออกของจีน