ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 61 แผดเผาด้วยความหึงหวง
บทที่ 61 แผดเผาด้วยความหึงหวง
ในที่สุดผู้คนในห้องเครื่องหลวงก็ได้รับการปลดปล่อย หลังจากทำความเคารพ ทุกคนก็แยกย้ายกันไป
เหยียนอี้เดินตามอยู่ข้างหลัง เนื่องจากนางยังป่วยอยู่ เมื่อต้องยืนอยู่กลางแดดเป็นระยะเวลาหนึ่ง นางจึงรู้สึกเวียนหัวจนต้องนั่งลงบนหินก้อนหนึ่งเพื่อพักผ่อน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เสียงข้างหลังดังแว่วมา เป็นหลี่หรงอวี่
เหยียนอี้รีบลุกขึ้นทำความเคารพ แต่เนื่องด้วยนางยังไม่หายดี นางเซและล้มกระแทกพื้นอย่างแรงจนผิวหนังบนมือของนางถลอก
หลี่หรงอวี่ช่วยพยุงนางลุกขึ้น เหยียนอี้ทรงตัวไม่อยู่จึงจับแขนของหลี่หรงอวี่
“ข้าได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าเจ้าป่วย เจ้ายังไม่หายดีงั้นหรือ? เจ้าดูซีดเซียวมาก” หลี่หรงอวี่เอ่ยด้วยความเป็นห่วง
องค์รัชทายาทกล่าวอย่างกะทันหัน เหยียนอี้ต้องตอบด้วยความเคารพ “หม่อมฉันป่วยเมื่อสองสามวันก่อน ตอนนี้ดีขึ้นแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง”
“ว่ากันว่าเจ้าถูกรังแกโดยใครบางคนในห้องเครื่องหลวง เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หลี่หรงอวี่ซักถาม
เหยียนอี้รู้สึกประหลาดใจกับความรอบรู้ขององค์รัชทายาท ไม่มีอะไรในวังที่เขาไม่รู้ นางจำต้องตอบว่า “หม่อมฉันเป็นผู้มาใหม่ และยากที่จะหลีกเลี่ยงความไม่เหมาะสมบางอย่างเพคะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าและพูดว่า “ไม่มีแบบอย่างสำหรับผู้หญิงที่จะทำอาหารในวัง เจ้ายังเด็ก เป็นไปได้ว่าพวกเขาดูหมิ่นเจ้า แต่ทักษะการทำอาหารของเจ้าดีมาก ครั้งสุดท้ายแม้แต่ฮองเฮาก็ยกย่องเจ้า ตราบใดที่เจ้ายังคงทำงานหนักต่อไปพวกเขาจะมั่นใจในตัวเจ้าสักวันหนึ่ง”
เหยียนอี้กล่าวว่า “เมื่อพูดถึงของขวัญของฮองเฮาเฉียน หม่อมฉันยังไม่ได้ขอบพระทัยองค์รัชทายาทเลยเพคะ”
“ขอบคุณข้า?”
เหยียนอี้อธิบายอย่างซาบซึ้งว่า “หม่อมฉันได้ยินมาว่าองค์รัชทายาททรงชื่นชมอาหารต่อหน้าฮองเฮา ทำให้พระองค์ทรงให้รางวัลแก่คนครัวหลายร้อยคนในห้องเครื่องหลวง ทุกคนรู้สึกขอบพระทัยองค์รัชทายาทและฮองเฮามากเพคะ”
หลี่หรงอวี่คลี่ยิ้มบาง ๆ
ขณะนี้มีสายลมพัดผ่านในลาน แนวไผ่สีเขียวที่ปลูกบนผนังแกว่งไปมาลู่ลมและส่งเสียงกรอบแกรบ มีแสงแดดบางส่วนในสถานที่ที่หลี่หรงอวี่ยืนอยู่ ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงกระทบบนไหล่องค์รัชทายาท ด้วยเสียงหัวเราะของเขา ผู้คนที่พบเห็นอาจตาพร่ามัวเพราะความสดใสของเขาได้
ทันใดนั้น เหยียนอี้ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในใจของนาง องค์รัชทายาทหน้าตาดีจริง ๆ
หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำทักทายกันเสร็จแล้ว ทั้งคู่ก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดสิ่งใดต่อ
เหยียนอี้รีบตั้งสติขึ้นมาโค้งคำนับและต้องการจากไป
“ช้าก่อน” ทันใดนั้น หลี่หรงอวี่รุดเข้าหานาง เขาเอื้อมมือออกไปหยิบใบไผ่แห้งที่ติดอยู่บนผมของนางออก
แก้มของหญิงสาวขึ้นสีชมพูเล็กน้อย
เหยียนอี้รีบก้าวถอยหลังอย่างรีบร้อนและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่หรงอวี่ถือใบไผ่ไว้ในมือแล้วมองไปที่หลังของนาง ช่างน่าสนใจเสียจริง
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองเขาอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างหลัง ทุกย่างก้าวของทั้งสองในตอนนี้ ถูกจ้องมองด้วยดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยไฟหึงที่กำลังมอดไหม้
เมื่อคิดว่านางจะหายป่วยในไม่ช้า เหยียนอี้ก็ไปหาขันทีหยวนและบอกว่านางสามารถกลับไปทำงานที่ห้องเครื่องหลวงได้แล้ว
แต่หยวนซินส่งเหยียนอี้ไปที่ห้องจุดไฟ โดยใช้ข้อที่ว่าเหยียนอี้ยังไม่หายจากไข้หวัดและไม่อาจสัมผัสอาหารของฮ่องเต้ได้
ในฤดูร้อนอากาศจะร้อนมาก แต่เตาต้องเผาฟืนตลอด เหยียนอี้ได้รับมอบหมายงานนี้ ทำให้นางต้องเหงื่อออกมากทุกวัน
แน่นอนว่านางไม่พอใจเพราะไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นแม่ครัว ให้นางมาทำงานแม่บ้านเช่นนี้ พวกเขาทำกับนางเกินไปจริง ๆ
แม้หยวนซินจะไม่พอใจเหยียนอี้มาเป็นเวลานาน แต่การประณามอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ขัดต่อกฎและไม่สามารถทำได้
ทว่ามีคนบอกให้เขาให้บทเรียนกับเหยียนอี้ ไม่สำคัญว่าเขาจะปฏิบัติอย่างไรตราบใดที่เขาไม่ทำให้นางตาย
ห้องเครื่องหลวงเป็นสถานที่ที่หัวหน้าห้องเครื่องอย่างไห่เทียนอี้เป็นใหญ่ที่สุด เหยียนอี้ไม่มีทางฟ้องได้ แม้นางจะฟ้องร้องต่อฝ่ายพ่อครัวหลวง แต่ก็ไม่มีใครกล้าช่วยเหลือนาง ดังนั้นนางจึงต้องยอมรับมัน
ตั้งแต่เหยียนอี้เข้ามาในวัง นางไม่เพียงแค่ระมัดระวัง แต่ยังไม่ค่อยออกไปไหน นางอาศัยอยู่ในห้องเครื่องและห้องพักทุกวัน นางจะสามารถทำให้ผู้มีอิทธิพลคนใดขุ่นเคืองได้บ้าง?
ใครจะคาดคิดว่านางทำให้องค์หญิงผิงหยางผู้ไม่มีใครกล้ายั่วยุในวังเกิดความไม่พอใจ มันเกิดขึ้นในวันนั้นที่นางเห็นองค์รัชทายาทพูดคุยกับข้ารับใช้หญิงระดับล่าง
เมื่อนางกลับตำหนักมา นางก็อิจฉามากจนโยนเครื่องลายครามทิ้งเกลื่อนกลาดทั่วห้อง นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟทั้งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นนางจึงเรียกหยวนซินไปที่ห้องของนาง
…
เหยียนอี้เกือบจะหายจากไข้หวัดแล้ว แต่บางครั้งคอของนางก็คัน จนนางต้องกระแอมไอออกมา
นางต้องเผาไฟเป็นเวลาหลายวัน นางจำต้องสูดดมเขม่าและน้ำมันซึ่งทำให้คอของนางแย่ลงเรื่อย ๆ และนางก็ไอตลอดวัน แม้นางจะฟื้นตัวจากหวัดแล้วแต่คอของนางยังคงเจ็บอยู่
แม้หยวนซินและคนของเขาต้องการดัดนิสัยเหยียนอี้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเกินไปนัก
เหยียนอี้ออกจากเตาไฟและใช้น้ำผึ้งเพื่อบำรุงคอของนาง จนในที่สุดนางก็หายป่วย
ขณะที่เหยียนอี้กำลังบดพริกไทย หลางกวนเอ๋อร์มาหานางด้วยใบหน้าที่ขมขื่น มือปิดท้องตัวเองและพูดว่า “เหยียนอี้ ตำหนักตะวันออกต้องการให้ส่งขนมกับผลไม้ และขันทีหยวนต้องการให้ข้าไปส่ง แต่เมื่อเช้าข้ากินน้ำแข็งเข้าไป ยามนี้ท้องไส้ปั่นป่วนมาก เจ้าช่วยไปแทนข้าที ข้าจะรีบไปปลดทุกข์”
เหยียนอี้ถามว่า “ตำหนักตะวันออกมีห้องเครื่องเป็นของตัวเอง ไม่เคยต้องยุ่งเกี่ยวกับห้องเครื่องหลวง วันนี้มีอะไรผิดปกติงั้นรึ”
หลางกวนเอ๋อร์กล่าวว่า “เป็นเพราะอากาศที่ร้อนจัด องค์รัชทายาทต้องการน้ำแข็ง ไม่มีห้องใต้ดินแช่น้ำแข็งในห้องเครื่องตะวันออก ดังนั้นพวกเขาจึงมาขอที่นี่”
การเก็บน้ำแข็งในฤดูร้อนไม่ใช่เรื่องง่าย ห้องใต้ดินแช่น้ำแข็งจะต้องขุดลึกมากและต้องสร้างกำแพงโคลนหนา การสร้างมีหลายขั้นตอน ไม่ว่าจะตระกูลที่ร่ำรวยหรือชนชั้นสูงก็ไม่อาจสร้างมันขึ้นมาได้ แม้แต่ในพระราชวังหลวงก็ไม่ได้มีทุกที่ มีเพียงห้องเครื่องหลวง ตำหนักจาวหยางที่องค์หญิงอาศัยอยู่ และตำหนักฉืออันที่ฮองเฮาอาศัยอยู่เท่านั้นที่มี
องค์รัชทายาทเป็นคนประหยัดเสมอมาและไม่ต้องการเสียเงินสร้างห้องใต้ดินแช่น้ำแข็ง ดังนั้นในฤดูร้อนน้ำแข็งจึงถูกถ่ายโอนจากห้องเครื่องหลวงเสมอ
เหยียนอี้พยักหน้าและพูดว่า “อ๋อ เข้าใจแล้ว เจ้าไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจัดการให้เจ้าเอง”
หากนางรู้ว่าความยากลำบากที่นางได้รับเมื่อไม่กี่วันก่อนล้วนเกิดจากการพูดสองสามคำกับองค์รัชทายาท นางคงจะไม่รับงานนี้แม้ว่านางจะถูกฆ่าตายก็ตาม
อย่างไรก็ตามชะตากรรมของชีวิตนั้นวุ่นวายมากเสียจนเหยียนอี้ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้
นางหยิบถาดไม้ตรงไปที่ตำหนักขององค์รัชทายาทในตำหนักตะวันออก
…
หลี่หรงอวี่เพิ่งตื่นจากการงีบตอนบ่าย เขาสวมเพียงชุดบาง ๆ เนื่องจากสภาพอากาศร้อน เขาจึงแก้กระดุมสองเม็ดบน นั่งไขว่ห้างบนที่นั่งโดยไม่สวมรองเท้าหรือถุงเท้า
สาวใช้ตัวน้อยกำลังโค้งคำนับและหวีผมของเขา
ลั่วอิ๋งสาวใช้คนสนิทขององค์รัชทายาทนำเหยียนอี้เข้ามาโค้งคำนับตามมารยาทที่เชิงบันได และวางชามน้ำแข็งที่ใส่ผลไม้ไว้บนโต๊ะเล็ก ๆ ตรงหน้าหลี่หรงอวี่
เมื่อเห็นเหยียนอี้ องค์รัชทายาทก็แย้มยิ้มและพูดว่า “เหตุใดเจ้าถึงดูผอมเช่นนี้? เจ้ายังป่วยอยู่หรือไม่?”
เหยียนอี้ตอบด้วยความเคารพว่า “ขอบพระทัยที่ทรงเป็นห่วง หม่อมฉันดีขึ้นแล้วเพคะ”
เส้นผมของหลี่หรงอวี่นั้นยาวและแข็งแรง สาวใช้ตัวน้อยดึงผมของเขาขึ้นมาเกล้าเป็นมัดแล้วสวมกวานหยก[1] แต่มือของนางหนักเกินไปจนดึงให้ศีรษะขององค์รัชทายาทเอียงไปตามแรงมือ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่มิได้ตำหนินาง
แสงแดดเล็กน้อยจากหน้าต่างส่องกระทบบนเสื้อคลุมของเขา มีผมร่วงสองเส้นติดอยู่ที่มุมหนึ่งของเสื้อคลุม สาวใช้ตัวน้อยกลัวที่จะถูกองค์ชายค้นพบ ดังนั้นนางจึงรีบปัดมันอย่างเงียบ ๆ และวางไว้ในแขนเสื้อของนาง
หลี่หรงอวี่แตะกวานอย่างพอใจและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ทำให้เจ้าเห็นรูปลักษณ์ที่ดูไม่งามของข้าเสียได้”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ตอนนี้อากาศร้อนมาก สมควรแล้วที่องค์รัชทายาททรงแต่งกายแบบสบาย ๆ ในห้องนอน จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากท่านสวมหมวกและเสื้อผ้าเหมือนอยู่ในราชสำนักทั้งวัน ท่านคงรู้สึกราวกับสวมเสื้อหนามเชียวเพคะ”
หลี่หรงอวี่ยิ้มและเอ่ยว่า “เหล่าองค์ชายมักจะถูกสอนว่าสุภาพบุรุษควรระมัดระวังภาพลักษณ์ ในความคิดของเจ้ามันไม่จำเป็นหรือ”
เหยียนอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า
“ตำราหลี่จี้[2] เขียนไว้ว่า ‘สุภาพบุรุษต้องระวังแม้ว่าจะอยู่คนเดียว’ ซึ่งสอดคล้องกับ ‘คนร้ายไม่เก่งในการใช้ชีวิตอย่างเกียจคร้าน’ ห้าองค์ประกอบตามแนวคิดขงจื่อคือความเมตตากรุณา ความชอบธรรม ความสุภาพ ภูมิปัญญา และความจริงใจอยู่ตรงกลาง ส่วนรูปลักษณ์อยู่ภายนอก มันหมายถึงการปลูกฝังทางศีลธรรมของบุคคล การแต่งกายสำคัญตรงไหนกันเพคะ”
คำพูดของนางถูกพูดโดยอาจารย์ที่สอนตอนนางเรียนอยู่โลกก่อน เดิมที เธอวิพากษ์วิจารณ์ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ยืนยันว่านักเรียนควรสวมชุดนักเรียนจึงทำให้นักเรียนพากันส่งเสียงเชียร์กันอย่างหนัก
เหยียนอี้ชอบมากจึงท่องจำมันไว้
หลี่หรงอวี่มองเหยียนอี้อย่างตกตะลึงที่นางสามารถพูดความจริงที่ยิ่งใหญ่ได้ สิ่งที่นางพูดนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสิ่งที่นักปราชญ์มักจะพูดให้เขาฟัง เขาอดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยความชื่นชม
“เจ้าเคยไป ‘สำนักศึกษา’ งั้นหรือ” หลี่หรงอวี่ถามนางด้วยความสนใจอย่างมาก
เหยียนอี้อยู่ที่นี่มานานจนเกือบลืมสิ่งที่นางทำในชีวิตสุดท้ายของนาง นางตอบว่า “ใช่เพคะ”
“อืม น่าสนใจดี” หลี่หรงอวี่ส่ายหัวไล่ความคิดและคว้าองุ่นในถาดขึ้นมาหนึ่งกำมือแล้วพูดว่า “เย็นพอดีเลย เอ้า นี่สำหรับเจ้า”
เหยียนอี้รับมันด้วยมือทั้งสองข้างและถือไว้
ทันใดนั้นเอง องค์หญิงผิงหยางก็เข้ามา
นางโอ้อวดว่านางสนิทสนมกับองค์รัชทายาท เมื่อนางมาที่ตำหนักตะวันออกนางจะไม่ขอให้ใครต้องประกาศด้วยเพราะนางสามารถเข้าออกได้ตลอดเวลา
หลี่หรงอวี่ไม่เคยโต้แย้งเรื่องนี้ เขาไม่แปลกใจที่เห็นองค์หญิงมาและกล่าวขึ้นมาว่า “ผิงหยาง เจ้านี่เอง”
องค์หญิงผิงหยางบังเอิญเห็นฉากที่หลี่หรงอวี่ยื่นบางสิ่งให้กับเจ้าหน้าที่หญิงตรงหน้านาง เมื่อนางเข้ามาใกล้และเห็นเหยียนอี้ ใบหน้าของนางพลันบึ้งตึง
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าเหตุใดองค์หญิงถึงโกรธ นางจึงรีบทำความเคารพ
ก่อนหน้านี้องุ่นในมือของเหยียนอี้ถูกแช่แข็ง แต่ตอนนี้ด้วยอากาศที่ร้อนจึงเกิดไอน้ำเกาะบนผิวองุ่นแล้วไหลลงไปตามนิ้วมือของนาง ก่อนจะหยดลงพื้น เหยียนอี้รีบใช้อาศัยจังหวะที่นางคุกเข่าทำความเคารพเช็ดพื้นด้วยแขนเสื้อของนาง
“เจ้าไม่ได้มาจากห้องเครื่องหลวงหรอกหรือ? เจ้าจะมาที่ตำหนักตะวันออกได้อย่างไร? เจ้ากำลังคุยสิ่งใดกับพี่รองอยู่” องค์หญิงผิงหยางถามแล้วยิ้มเยาะพลางเหยียบเสื้อผ้าของเหยียนอี้ จากนั้นเดินไปหาหลี่หรงอวี่และนั่งลงข้าง ๆ
โดยไม่มองไปที่เหยียนอี้ หลี่หรงอวี่ผลักชามน้ำแข็งบนโต๊ะให้องค์หญิงผิงหยางและพูดว่า “ข้าคาดว่าเจ้าอาจจะมาในตอนบ่าย ข้าจึงสั่งผลไม้ใส่น้ำแข็งให้เจ้าหนึ่งชาม”
ผิงหยางมีความสุขขึ้นมาเล็กน้อย นางหยิบช้อนเล็ก ๆ มาลิ้มรสมัน นางพอใจมากและถามว่า “มีอะไรอยู่ในชามน้ำแข็งนี้? มันหวานพิกล”
หลี่หรงอวี่ตอบไม่ได้จึงหันไปหาเหยียนอี้
เหยียนอี้รีบตอบว่า “องค์หญิงเพคะ มันคือนมข้น”
“นมข้น?”
“มันทำจากนมและน้ำตาลทรายขาวเพคะ” เหยียนอี้อธิบาย
องค์หญิงผิงหยางเปลี่ยนสีหน้าทันทีและพูดว่า “ข้าได้ยินมาว่านมเป็นสิ่งที่คนชายขอบและเผ่าเชียงกิน ช่างหยาบคายยิ่งนัก เจ้ากล้าให้มันกับข้าได้อย่างไร”
เหยียนอี้รีบคุกเข่าลง
หลี่หรงอวี่รีบพูดว่า “ไม่เป็นไรตราบเท่าที่อาหารอร่อย แล้วข้าจะไม่แบ่งปันได้อย่างไร เมื่อข้าอยู่ในพระราชวังลั่วหยาง เหยียนอี้ยังเคยทำซุปด้วยนมและเสด็จพ่อก็โปรดมาก”
[1] กวาน (冠) คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เปรียบได้กับรัดเกล้าสวมครอบมวยผม เพื่อเป็นเครื่องเครื่องประดับยศและเกียรติ
[2] ตำราหลี่จี้ (礼记) คือคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องพิธีกรรม อธิบายรูปแบบทางสังคม การบริหาร และพระราชพิธีของราชวงศ์โจว