ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 57 องค์หญิงผิงหยาง
บทที่ 57 องค์หญิงผิงหยาง
ทั้งสามคนพูดคุยและหัวเราะกันอยู่พักหนึ่ง บัดนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน ฮองเฮาของตำหนักจาวหยางได้ส่งคนมาเชิญองค์หญิง แต่องค์หญิงผิงหยางต้องการรับประทานอาหารกลางวันที่ตำหนักตะวันออก จึงส่งคนคนนั้นกลับไป
“ครัวของฮองเฮาดีกว่าข้ามาก เจ้ากลับไปกินที่นั่นเถิด” หลี่หรงอวี่กล่าวกับผิงหยาง
“ข้าไม่กลับ ท่านแม่มักอารมณ์ไม่ดี ข้าจึงต้องคอยระวังตัวทุกครั้งที่ไปที่นั่น” ผิงหยางกล่าว
“พระองค์มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ?” หลี่หรงอวี่ถาม
“เสด็จแม่ของข้ามีสองสิ่งที่ต้องกังวลในชีวิตของนาง สิ่งแรกคือความสิ้นหวังซึ่งเกิดจากตัวนางเอง และสิ่งที่สองเป็นคนที่ทำให้นางอิจฉาตลอดทั้งวัน ข้าเบื่อหน่ายเสด็จแม่เหลือเกิน ข้าหวังเพียงว่าเสด็จพ่อจะอนุญาตให้ข้าแยกตำหนักไปอยู่คนเดียว!” ผิงหยางถอนหายใจ
หลี่หรงอวี่และหลี่หรงเฉิงเข้าใจทันที
ฮองเฮาเฉียนเกิดในตระกูลขุนนาง ทันทีที่นางเข้าไปในวังนางก็ได้รับตำแหน่งสนมทันที หลังจากฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นจากไป นางก็กลายเป็นฮองเฮา ทุกอย่างในชีวิตของนางดูเป็นไปอย่างราบรื่น
ทว่าสิ่งเดียวที่น่าเศร้าคือตั้งแต่นางให้กำเนิดองค์หญิงผิงหยาง นางได้รับบาดเจ็บและไม่อาจมีลูกได้อีกต่อไป ฮ่องเต้มีลูกชายมากมายจากนางสนมคนอื่น ๆ ส่วนฮองเฮาไม่มีลูกชายที่ถูกต้องตามกฎหมายให้เขาได้ จึงกลายเป็นเหมือนเปลือกที่ว่างเปล่า
ฮ่องเต้ไม่ได้โปรดฮองเฮาเฉียนมากนัก ในวังนั้น สนมจางเป็นผู้ที่งดงามและเป็นที่โปรดปรานที่สุด พวกนางต่อสู้มานานกว่าสิบปีแต่ก็ยังไม่อาจตัดสินว่าใครเป็นผู้แพ้หรือชนะ
สำหรับผู้หญิงแล้ว ระหว่างตำแหน่งกับความรักจากสามี สิ่งใดสำคัญกว่ากัน
ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้
ตั้งแต่ผิงหยางยังเล็ก นางคุ้นเคยกับความจริงที่ว่านางสนมจางแข่งขันเพื่อรับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ดังนั้นนางจึงเกลียดสนมจางไปโดยปริยาย
“ไม่กี่วันที่ผ่านมา ฮ่องเต้พักอีกสองสามคืนที่ตำหนักเสด็จแม่ข้า ทว่าคนในตำหนักฉุนฟางไม่พอใจ นางเอาแต่ทำตัวงอแงเหมือนเด็กนิสัยเสียจนเสด็จพ่อต้องไปปลอบ แม้นางจะเป็นสนมที่สง่างาม ชราแล้วแต่ทำตัวเยี่ยงนี้ เหมาะสมหรือไร!”
ระหว่างนั้นเอง คนรับใช้ที่ทำหน้าที่ส่งมอบอาหารกำลังเข้ามา หลี่หรงเฉิงรีบปิดปากของผิงหยางทันใด “ท่านพี่ พูดเบา ๆ หน่อยเถิด!”
ผิงหยางเคยชินกับการทำอะไรไม่ระวัง ด้วยตัวตนขององค์หญิงคนโต นางจะกลัวสิ่งเลวร้ายที่ออกมาจากปากของนางได้อย่างไร? ไม่ว่าผู้อื่นจะเตือนนางอย่างไรนางก็จะยังดุด่าสนมจาง
ถึงกระนั้นทุกคนในวังล้วนเกรงกลัวอำนาจของฮองเฮา จึงไม่มีใครกล้าบอกสนมจางว่าองค์หญิงพูดอะไร?
ยิ่งกว่านั้นฮ่องเต้รักและเอ็นดูลูกสาวเพียงคนเดียว ถึงสนมจางจะนำสิ่งที่องค์หญิงผิงหยางพูดไปฟ้องฮ่องเต้ก็เปล่าประโยชน์
“พี่ชายแปด เจ้าเรียนรู้ที่จะระวังตัว ขี้กลัว และทำตัวน่าเบื่อเหมือนแม่ของเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” ผิงหยางจ้องมองไปที่หลี่หรงเฉิง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่หรงเฉิงก็ไม่กล้าโมโหใส่นาง เขายิ้มและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านก็ตะโกนได้เลย”
ผิงหยางไม่รู้จะพูดอะไร นางหยิบตะเกียบจากคนรับใช้และคีบกะหล่ำปลีขึ้นมากัด
หลังจากกัดไปสองสามคำ ผิงหยางก็วางตะเกียบลงและพูดว่า “พี่รอง อาหารในตำหนักของท่านไม่อร่อยเหมือนในตำหนักจาวหยางจริง ๆ”
หลี่หรงเฉิงรีบดึงจานจากผิงหยางมาไว้ตรงหน้าเขาและพูดว่า “เช่นนั้นก็ไม่ต้องกิน ข้ากลับคิดว่ามันอร่อยดีออก”
หลี่หรงอวี่เคาะโต๊ะด้วยตะเกียบและกล่าวว่า “หากพ่อครัวในตำหนักตะวันออกดีกว่าคนครัวในตำหนักจาวหยาง ฮองเฮาจะมีความสุขหรือ?”
ผิงหยางกล่าวว่า “แม้อาหารในตำหนักจาวหยางจะอร่อย แต่ข้าเบื่อที่จะกินแล้ว จริงสิ! ก่อนหน้านี้ข้าทานกลีบบัวผัด*[1] ที่ทำโดยแม่ครัวคนใหม่ในห้องเครื่องหลวง มันอร่อยมาก”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ผิงหยางดูเหมือนจะคิดถึงรสชาติของกลีบบัวผัดขึ้นมา นางลูบริมฝีปากของนางขณะกล่าว
“มีแม่ครัวใหม่มาที่ห้องเครื่องตั้งแต่เมื่อใด” หลี่หรงเฉิงถามด้วยความสงสัย
“เจ้าก็รู้จักนาง นางคือแม่นางเหยียนจากเมืองอวิ๋นเจี้ยน ตอนนี้นางกำลังทำอาหารอยู่ในห้องเครื่องหลวง” หลี่หรงอวี่อธิบาย
“เหยียนอี้เองหรอกหรือ” หลี่หรงเฉิงจำได้ว่าฮ่องเต้พาพวกเขาไปยังพระราชวังหลวงชั่วคราวที่ลั่วหยาง เขาได้ลิ้มรสฝีมือนางที่นั่น แต่ต่อมาหลี่หรงเฉิงไปทำสงครามและไม่เคยได้กินอาหารที่หยานอี้ปรุงอีกเลย
“เหตใดเจ้าถึงรู้จักแม่ครัวคนนั้น” ผิงหยางถาม
“นางเป็นหญิงชาวบ้านที่เราพบระหว่างการเยี่ยมชมเมืองเป็นการส่วนตัว ระหว่างนั้นเสด็จพ่อถูกลอบสังหารหลายครั้งและนางก็อยู่ในที่เกิดเหตุด้วย ตอนนี้พี่รอง ข้า และนาง พวกเราสามคนเป็นเพื่อนกันแล้ว” หลี่หรงเฉิงเล่าความเป็นมา
“มิตรภาพจากอดีต?” ผิงหยางเงยหน้าขึ้นยืนและพูดกับหลี่หรงอวี่ “ใครให้เจ้ามีมิตรภาพกับหญิงชาวบ้านเช่นนี้”
หลี่หรงอวี่รู้ว่าน้องสาวของเขามักแสดงความเป็นเจ้าของมาโดยตลอด นางไม่ชอบผู้ใดก็ตามที่เขาอยู่ด้วย นางเคยเป็นศัตรูกับเพื่อนสนิทของหลี่หรงอวี่ เมื่อหลี่หรงเฉิงกล่าวเช่นนั้นออกไป ผิงหยางจะต้องโกรธอย่างแน่นอน
หลี่หรงอวี่ไม่ต้องการมีปัญหาใด ๆ กับนาง ดังนั้นเขาจึงพูดเบา ๆ ว่า “ข้าไม่คุ้นเคยกับนางมากนัก หากท่านไม่ได้พูดถึงกลีบบัวผัดในวันนี้ ข้าก็คงจำไม่ได้ว่ามีคนเช่นนางอยู่”
“ฮึ่ม!” ผิงหยางนั่งลงช้า ๆ และพูดว่า “หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเป็นที่ชื่นชอบของฮ่องเต้ ข้าไม่คิดว่านางจะไม่อยากได้รับการเลื่อนตำแหน่ง พี่รอง ท่านต้องอยู่ห่างจากแม่หญิงยั่วยวนเช่นนี้”
หลี่หรงอวี่พยักหน้ารับรู้และพูดว่า “มากินกันเถิด อาหารเริ่มเย็นแล้ว”
ทันใดนั้นหลี่หรงเฉิงก็คิดอะไรบางอย่างและถามหลี่หรงอวี่ “ข้าจำได้ว่าเหยียนอี้ไปลั่วหยางกับน้องสาวของนางในเวลานั้น และตอนนี้น้องสาวของนางก็มาที่เมืองหลวงเช่นกัน นางกำลังปฏิบัติหน้าที่ในวังด้วยงั้นหรือ”
หลี่หรงอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
หลี่หรงเฉิงตบหัวตัวเองเบา ๆ หนึ่งครั้งราวกับคิดอะไรออกและพูดว่า “ข้าอยากรู้เรื่องของพวกนางมากขึ้น ไว้ข้าถามเฉินฟู่เซินเมื่อข้ากลับไปดีกว่า”
ผิงหยางเห็นว่าหลี่หรงอวี่ไม่ได้สนใจแม่ครัวคนนั้นมากนัก นางจึงมีความสุขและรับประทานอาหารอย่างร่าเริง ส่วนหลี่หรงเฉิง นางไม่สนใจว่าเขาจะยังคงถามเกี่ยวกับแม่ครัวอีกหรือไม่
เมื่อได้ยินชื่อของเฉินฟู่เซิน หลี่หรงอวี่ก็ชะงักอีกครั้งและถามว่า “ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เฉินฟู่เซินยังเชื่อฟังเจ้าในฐานะองครักษ์ของเจ้าอยู่หรือไม่”
“ท่านหมายถึงประพฤติตัวดี? เหตุใดท่านถึงถามเช่นนี้” หลี่หรงเฉิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ก็เหมือนกับองครักษ์คนอื่น ๆ ไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “เขาเคยช่วยเราไว้ ข้ายังคงจำเขาได้ ดังนั้นเขาจึงแตกต่างจากคนอื่น เจ้าควรให้ความสำคัญกับเขามากขึ้น”
หลี่หรงเฉิงพยักหน้าตอบรับไปอย่างนั้น แต่หลี่หรงอวี่ต้องการให้เขาใส่ใจอะไร? เขาคิดไม่ออก
หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง หลี่หรงอวี่มองไปที่ผิงหยางพลางเอ่ย “เจ้าไม่คิดว่าเขาดูเหมือนคนคนหนึ่งหรือ”
“ใครรึ?” หลี่หรงเฉิงคิดพยายามเค้นหัวคิดอยู่สักพัก แต่ก็คิดไม่ออก
“ตอนนั้นเจ้ายังเด็กอยู่ เป็นเรื่องปกติที่เจ้าจะจำไม่ได้” หลี่หรงอวี่กล่าว
“ท่านกำลังพูดถึงอะไร? ข้าไม่เข้าใจ” ผิงหยางพึมพำ
หลี่หรงเฉิงพึมพำ “ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกัน”
หลี่หรงอวี่ระบายยิ้มออกมา “ข้าจะบอกพวกเจ้าเมื่อข้าคิดออก”
หลังจากมื้ออาหารอันยาวนานจบลง หลี่หรงเฉิงและผิงหยางก็ออกมาจากตำหนักตะวันออก
…
ในฤดูร้อนอากาศอบอ้าวมาก พอตกบ่ายความร้อนก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ผิงหยางจับมือสาวใช้และขึ้นไปนั่งบนเกี้ยว
เมื่อพวกเขามาถึงสวนของฮ่องเต้ ก็เกิดแรงกระแทกทำให้เกี้ยวโคลงทันที ผิงหยางตะโกนอย่างโกรธจัด “เกิดอะไรขึ้น!”
ขันทีทั้งสองรีบวางเกี้ยวลงแล้วคุกเข่า รีบร้อนพูดว่า “ถนนหินกรวดลื่น ข้าน้อยไม่ระวังทำให้องค์หญิงไม่พอพระทัย ข้าน้อยสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
วันนี้เป็นวันที่อากาศร้อน เมื่อผิงหยางได้ยินเสียงโหยหวนของขันที นางก็ยิ่งใจร้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ และตะโกนสั่งว่า “ไปรับโทษโบยห้าไม้!”
“องค์หญิง โปรดเข้าไปอยู่ในเกี้ยวก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะส่งพระองค์กลับไปที่ตำหนัก จากนั้นข้าน้อยจะไปรับโทษ!” ขันทีกล่าว
ตอนนี้องค์หญิงผิงหยางโกรธมาก นางเตะประตูเกี้ยวและตะโกนว่า “ข้าไม่อยากนั่งแล้ว! ข้าจะเดินกลับไปเอง! พวกเจ้าทุกคนจะต้องโดนโบย! เจ้า เจ้า เจ้า! พวกเจ้าทั้งหมด!”
นางลงโทษสาวใช้ทั้งสองในตำหนักที่ตามหลังมา เหลือเพียงชุ่ยกั่วซึ่งเป็นข้ารับใช้หญิงที่ใกล้ชิดกับนาง ทั้งสองเลือกเส้นทางและค่อย ๆ เดินกลับไปด้วยกัน
ถึงอากาศจะร้อน แต่บนถนนสายนี้มีต้นไม้สองข้างทางซึ่งแผ่กิ่งก้านยาวกลายเป็นร่มไม้สีเขียวบดบังไอแดด ทำให้เกิดความร่มรื่น
หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวองค์หญิงผิงหยางก็เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวเเหมือนองครักษ์กำลังให้อาหารปลาในบ่อตรงหน้านาง
มีปลาจี้[2] จำนวนมากในบ่อ พวกมันซ่อนตัวอยู่ด้านล่างของบ่อเพราะมันร้อนเกินไปที่จะแหวกว่ายใกล้ผิวน้ำ แต่พวกมันก็ถูกล่อลวงด้วยอาหารปลาขององครักษ์และพากันว่ายขึ้นมา
องครักษ์โยนอาหารปลาเพียงแห่งเดียวและปลาจี้ก็ว่ายล้อมรอบบริเวณที่มีอาหารนั้น พวกมันแต่ละตัวล้วนมีสีสันสวยงาม
องค์หญิงผิงหยางนึกสนุก นางตะโกนว่า “จงให้อาหารปลาแก่ข้า ข้าจะให้อาหารพวกมันด้วย!”
องครักษ์หันหลังกลับมามองตามเสียง เขาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินฟู่เซิน
“ถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
ชุ่ยกั่วซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ผิงหยาง เดินไปรับชามอาหารปลามายื่นให้องค์หญิงของนางด้วยความเคารพ
วิธีที่ผิงหยางให้อาหารปลานั้นไม่เหมือนกับเฉินฟู่เซิน นางเทชามทั้งใบลงในบ่อตรงจุดเดียว
ตอนนี้สระน้ำเต็มไปด้วยความคึกคัก ปลาจี้แย่งกันกระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำและกระโจนไปมา ส่งผลให้น้ำกระเด็นไปทั่วและเกิดเสียงดังวุ่นวาย
เป็นเพราะผิงหยางเทชามปลาใกล้ฝั่งเล็กน้อย จึงมีปลาบางตัวกระโดดขึ้นฝั่ง
อย่างไรก็ตาม ปลาที่อยู่บนฝั่งไม่สามารถกระโดดกลับลงไปในน้ำเองได้ พวกมันทำได้เพียงอ้าปากพะงาบ ๆ
ผิงหยางปรบมือและหัวเราะชอบใจ จากนั้นนางก็โยนชามลงไปในบ่อ ปลาคิดว่ามันเป็นอาหารชิ้นใหญ่ที่ตกลงมาจากฟากฟ้าจึงกระโจนใส่ชามทันที เมื่อชามปลาค่อย ๆ จมลง เหล่าปลาจี้ก็พากันแหวกว่ายตามลงไป และน้ำในบ่อก็ค่อย ๆ กลับสู่ความสงบ
ผิงหยางเตะปลาบนฝั่งกลับลงไปในน้ำทีละตัว ปลาเหล่านั้นเหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อพวกมันสัมผัสน้ำ พวกมันก็ฟื้นพลังและว่ายออกไป
“ระวังเปียกเพคะองค์หญิง” ชุ่ยกั่วเตือนผิงหยาง
“เปียกแล้วอย่างไร เจ้าระวังตัวมากไปแล้ว!” ผิงหยางไม่สนใจเรื่องนี้เลย นางยังใช้เท้าเตะน้ำเล่น
“องค์หญิง นี่ไม่ใช่วิธีให้อาหารปลานะเพคะ”
“ข้าชอบทำเช่นนี้ มันไม่ใช่ธุระกงการของเจ้า” ผิงหยางพ่นลม ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายังมีคนอีกคนหนึ่งอยู่ที่นี่ นางหันไปถามเฉินฟู่เซินว่า “เจ้ามาจากที่ใด? ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน”
“ในวังมีทหารองครักษ์มากกว่าหนึ่งพันคน ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่องค์หญิงจะทรงจำกระหม่อมไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้าชื่ออะไร” ผิงหยางถาม
“กระหม่อมคือเฉินฟู่เซินพ่ะย่ะค่ะ” เฉินฟู่เซินตอบอย่างตรงไปตรงมา
“อ้าว เจ้านี่เอง องครักษ์จินอู๋ที่พี่ชายสองคนพูดถึง” เมื่อนึกถึงสิ่งที่พวกพี่ชายพูดในมื้อกลางวัน ผิงหยางก็ยิ้มอย่างดูถูกและพูดว่า “สมกับเป็นคนของพี่ชายแปดเสียจริง มาจากครอบครัวเล็ก ๆ เหมือนกัน ให้อาหารปลาก็ชักช้า”
“กระหม่อมมาที่นี่เพื่อฆ่าเวลา ทันทีที่องค์หญิงมาถึงก็เทจานปลาทั้งหมดของกระหม่อม แต่กระหม่อมก็รู้สึกยินดีที่ทำให้ฝ่าบาทมีความสุขพ่ะย่ะค่ะ” เซินฟู่เฉินไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง
“กล้าดีอย่างไร! เจ้าพอใจที่ได้หาความสนุกให้กับองค์หญิงเช่นข้า เจ้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร” ชุ่ยกั่วเลิกคิ้วและพูดอย่างเดือดดาล
[1] กลีบบัวผัด (莲花烙)
[2] ปลาจี้ หรือ ปลาคาร์ฟ