ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 56 ผู้บัญชาการกองทัพ
บทที่ 56 ผู้บัญชาการกองทัพ
หลังจากได้รับชัยชนะจากการต่อสู้กับหนานโจว หลายวันต่อมาข่าวความขัดแย้งภายในอาณาจักรเหยียนก็มาถึง ฮ่องเต้จึงเรียกองค์ชายสี่ซึ่งประจำการอยู่ทางตอนเหนือให้กลับมา
ในอาณาจักรทางเหนือนั้นแห้งแล้งมาก มีผืนทรายทอดตัวยาวให้เห็นอยู่ทั่ว เมื่อเกิดลมพัด ฝุ่นทรายเหล่านั้นจะปลิวว่อนขึ้นมาบดบังการมองเห็น
หัวใจของสนมจางเจ็บปวด นางพร่ำบอกฮ่องเต้เกี่ยวกับการทำงานหนักของลูกชายตัวเอง ฮ่องเต้มีความสุขที่อาณาจักรอวี๋ปลอดภัย อีกทั้งองค์ชายสี่ยังสร้างชื่อเสียงที่ชายแดน
วันหนึ่งมีพระราชโองการของฮ่องเต้ในตอนเช้าตรู่ แต่งตั้งหลี่หรงซือเป็นผู้บัญชาการกองทัพ มีผู้เฒ่าสองสามคนคัดค้าน หนึ่งในนั้นคืออิงกั๋วกง
เมื่อได้ยินเช่นนี้พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็หันมามองด้วยใบหน้ามืดมน เขาโบกมือให้คนอื่นหยุดพูด จากนั้นเขาก็ถามหลี่หรงอวี่ว่า “เจ้าคิดอย่างไรองค์รัชทายาท?”
หลี่หรงอวี่ตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผู้บัญชาการกองทัพอาณาจักรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ควรจะตัดสินใจโดยฮ่องเต้พ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้อ่อนลงและเรื่องก็สงบ หลี่หรงซือรีบคุกเข่าลงเพื่อขอบคุณเขา พลางเหลือบมองหลี่หรงอวี่จากหางตาด้วยสีหน้าอ่อนโยน
หลังจากที่พวกเขาออกจากท้องพระโรง หลี่หรงเฉิงก็มาหาองค์รัชทายาทและกระซิบว่า “พี่รอง เกิดอะไรขึ้น เหตุใดท่านถึงช่วยพี่สี่”
หลี่หรงอวี่เคาะหัวของเขาและดึงเขาไปที่ตำหนักตะวันออกเพื่อร่ำสุรา
องค์ชายแปดรู้สึกหดหู่ใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขาสั่งสุราและดื่มจนเมามาย
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “เจ้าน้องชาย ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกไม่ดี แต่เจ้าไม่ควรดื่มมากเกินไป”
“รู้สึกไม่ดี? เหตุใดข้าต้องรู้สึกไม่ดีเล่า” กล่าวจบหลี่หรงเฉิงก็ดื่มสุราอึกใหญ่ ดวงตาของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง
เขามีส่วนช่วยอย่างมากในสงครามหนานโจว แต่เขาได้เป็นแค่รองผู้บัญชาการกองทัพเท่านั้น กลับกันสำหรับหลี่หรงซือ เขาไปที่อาณาจักรทางเหนือโดยไม่มีภารกิจหรือการต่อสู้ใด ๆ เขาไม่เพียงแต่ได้รับการยกย่องจากฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังได้รับรางวัลและที่ดินมากมาย อีกทั้งกลายเป็นผู้บังคับบัญชาของหลี่หรงเฉิง
หลี่หรงซือและองค์รัชทายาทเข้ากันไม่ค่อยได้ แต่กับหลี่หรงเฉิงที่ดูเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย ใครจะรู้ว่าหากอยู่ใต้องค์ชายสี่ เขาจะรู้สึกทุกข์ใจเช่นไร
“พี่รอง! ข้ารู้ว่าข้าไม่ควรคาดหวังเรื่องที่พี่สี่ได้ความดีความชอบ แต่ข้าหดหู่ใจ ท่านไม่หดหู่บ้างหรือ!” หลี่หรงเฉิงถามด้วยความคับข้องใจ
“เจ้าพูดเช่นนั้นได้แต่กับข้าเท่านั้น อย่าไปพูดที่ใด” หลี่หรงอวี่เตือน
หลี่หรงเฉิงลุกขึ้นยืนทันทีและถามว่า “องค์รัชทายาท! ตอนนี้ยังใจเย็นอยู่อีกหรือ? ท่านรู้หรือไม่ว่าตำแหน่งของผู้บัญชาการทหารมันดีเพียงใด?”
หลี่หรงอวี่ค่อย ๆ เทสุราลงในจอกแล้วพูดว่า “แล้วเจ้าไม่ใช่รองผู้บัญชาการหรือ? อย่างไรแล้วเขาไม่ได้มีอำนาจล้นฟ้าเพียงนั้นหรอก”
“ข้าเนี่ยนะรองผู้บัญชาการ? เหอะ! ก็แค่ในนามเท่านั้น!” หลี่หรงเฉิงโกรธมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเขาเห็นว่าหลี่หรงอวี่ยังคงสงบและผ่อนคลาย เขาจึงนั่งลงทั้งที่ยังขุ่นเคือง
“พี่รอง ท่านรู้หรือไม่ว่าท่านแม่และข้าเหมือนถูกขังในวัง หากไม่มีท่านแม่และพี่รอง ข้าคงเป็นสนิมอยู่ในตำหนักไปแล้ว”
“แม้ข้าจะชนะสงครามกลับมา แต่หนานโจวเป็นบ้านเกิดของข้าและท่านแม่ ข้าจึงยิ่งรู้สึกละอายมากขึ้น และแม้ไม่กี่วันที่ผ่านมาเสด็จพ่อจะให้ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพแก่ข้า แน่นอว่าข้ามีความสุขมาก แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เคารพข้าเลย มิหนำซ้ำไม่นานหลังจากนั้น เสด็จพ่อก็เลื่อนตำแหน่งพี่สี่ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพอาณาจักร มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของข้า แต่เพื่อประโยชน์ของท่าน!”
“เจ้าประมาทมาตลอดน้องแปด จากนี้ไปเมื่อเจ้าอยู่ในหน้าที่ เจ้าควรประพฤติตนให้ดี อย่าขัดแย้งกับเจ้าสี่ ไม่เช่นนั้นเขาจะเอาผิดกับเจ้าได้” หลี่หรงอวี่กล่าว
“แน่นอนข้ารู้ แต่พี่รอง… พี่รอง ท่านไม่โกรธหรือ”
หลี่หรงอวี่ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “โกรธ? น้องแปด ข้าไม่โกรธและข้าไม่อาจโกรธได้ พวกเขาแค่อยากเห็นเราโกรธใช่หรือไม่เล่า”
หลี่หรงเฉิงพ่นลมและดื่มต่อไป “พี่รอง ท่านเป็นทายาทแห่งบัลลังก์ ข้ามาจากครอบครัวเล็ก ๆ ข้าไม่ได้ใจกว้างเท่าท่าน”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “อาณาจักรได้รับการปกป้องโดยกองทัพใหญ่ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงส่งและน่าเชื่อถือที่สุดของราชวงศ์ ที่ผ่านมาระบบการทหารของอาณาจักรเรา แยกอำนาจผู้สั่งการกับผู้รวบรวมกองทัพออกจากกัน แม้เจ้าสี่จะได้ตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ แต่อำนาจกองกำลังทหารส่วนใหญ่ยังอยู่ในมือของฮ่องเต้อย่างมั่นคง อีกทั้งเจ้ายังอยู่ เขาไม่อาจเคลื่อนไหวได้โดยง่าย”
“เสด็จพ่อต้องการสรรเสริญเขาเพียงเพื่อการเคาะภูเขาเขย่าเสือ หากข้าโกรธเหมือนเจ้าและขัดคำสั่งฮ่องเต้ เขาจะคิดอย่างไรกับข้า?”
หลี่หรงเฉิงตกตะลึง “ท่านหมายความว่าเสด็จพ่อกำลังปกป้องท่านอยู่หรือ”
หลี่หรงอวี่ยืดคอตรงและพูดว่า “ข้าเป็นลูกชายคนเดียวที่ถูกต้องตามกฎหมายของฮ่องเต้ เป็นองค์รัชทายาทตั้งแต่ตอนอายุได้สามขวบ ด้วยการสนับสนุนของกลุ่มผู้อาวุโส รากฐานในราชสำนักของข้าจึงมีเสถียรภาพ”
“ข้าไม่ได้อยู่ในกองทัพมาเป็นเวลานาน เจ้าและแม่ทัพหลงได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่เหนือหนานโจว ศักดิ์ศรีกำลังเฟื่องฟู ขุนนางใหม่ในกองทัพเช่น จี้กงจื้อ ฉีโหย่วเฟิง และอู๋ชู่เซียนล้วนเป็นข้าที่แนะนำ พวกเขาเป็นคนของข้า เสด็จพ่อจะไม่กลัวข้าหรือ? ไม่ปกป้องข้าได้หรือ?”
หลี่หรงเฉิงบ่นว่า “มันถูกแล้วหรือไม่ที่ชนะการต่อสู้?”
หลี่หรงอวี่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากเจ้าชนะการต่อสู้กับหนานโจว นั่นเป็นเพราะตำหนักตะวันออกของเรามีอำนาจมากเกินไปซึ่งเป็นภัยคุกคามอาณาจักร แต่หากเจ้าแพ้นั้นหมายความว่าอาณาจักรของเราไม่มั่นคง เกิดปัญหามากมาย ไม่ว่าทางใดเสด็จพ่อล้วนไม่พอใจ”
“แล้วเราทำได้แค่ทำให้พี่สี่พอใจงั้นหรือ” หลี่หรงเฉิงกล่าวด้วยความไม่พอใจ “เสด็จพ่อชราแล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเขาเชื่อในวิธีการสมดุล เมื่อมีองค์รัชทายาทในราชสำนัก เขาจึงต้องนำพี่สี่ออกมาเพื่อถ่วงดุล”
ในเวลานี้สาวใช้ของตำหนักตะวันออกลั่วอิ๋งเข้ามาและรายงานต่อหลี่หรงอวี่ “องค์รัชทายาท องค์หญิงเสด็จเพคะ”
หลี่หรงเฉิงรีบหยุดพูดและแลบลิ้นของเขาใส่หลี่หรงอวี่อย่างซุกซน
ในวังนี้มีองค์หญิงเพียงหนึ่งเท่านั้น นางเป็นธิดาเพียงพระองค์เดียวของฮองเฮาเฉียน องค์หญิงเจ็ด ว่านอี๋ และตำแหน่งของนางคือองค์หญิงผิงหยาง
นางเป็นลูกสาวคนเดียวของฮ่องเต้และเป็นองค์หญิงของอาณาจักรด้วย นางเคยชินกับชีวิตไร้กฎเกณฑ์และมีนิสัยเสีย มักจะสร้างปัญหาให้ปวดหัวเสมอ
ก่อนที่หลี่หรงอวี่จะสั่งให้ลั่วอิ๋งเชิญนางเข้ามา ผิงหยางกลับวิ่งพรวดเข้ามาแล้วตะโกนว่า “พี่รอง!”
หลี่หรงอวี่รีบจับนางไว้และถามว่า “เจ้ามีอะไรถึงมาที่นี่”
องค์หญิงผิงหยางออดอ้อน “ก็ไม่มีอะไรหรอก ข้ามาที่นี่ไม่ได้หรือเพคะ”
เมื่อเห็นว่าหลี่หรงเฉิงก็อยู่ที่นี่เช่นกันนางจึงพูดว่า “พี่ชายแปดคงจะมาหาท่านทุกเมื่อเวลาเขาไม่มีสิ่งใดทำ ท่านยินดีต้อนรับเขาเหลือเกิน แต่ทุกครั้งที่ข้ามาที่นี่ ท่านมักจะถามว่ามีอะไรหรือ ดูท่าาท่านต้องการขับไล่ข้าออกไป แต่ข้าจะไม่ไปหรอกนะ!”
หลี่หรงอวี่ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า “เจ้าเพิ่งมาที่นี่ ข้าไม่ไล่เจ้าหรอก”
หลี่หรงเฉิงรีบลุกขึ้นยืนและย้ายไปนั่งตรงที่นั่งข้าง ๆ แล้วพูดว่า “พี่สาวเจ็ดเชิญนั่ง”
ทว่าแทนที่องค์หญิงผิงหยางจะนั่งถัดจากหลี่หรงเฉิง แต่นางกลับนั่งถัดจากหลี่หรงอวี่และพูดว่า “ข้าไม่ต้องการนั่งถัดจากพี่ชายแปด”
องค์หญิงผิงหยางเกิดวันเดียวกับหลี่หรงเฉิง แต่นางเกิดเร็วกว่าเขาประมาณสามชั่วยาม ดังนั้นนางจึงกลายเป็นพี่สาวของเขา
แต่เนื่องจากนางอายุสิบห้าปี นางกลัวว่าเขาจะเรียกนางว่าพี่แล้วจะทำให้นางดูแก่ นางจึงเรียกเขาว่าพี่ชายแทน
แต่หลี่หรงเฉิงไม่สนใจเรื่องนั้น เขายังคงเรียกนางว่าพี่สาวเจ็ด
แม้หลี่หรงเฉิงและองค์หญิงผิงหยางจะมีอายุใกล้เคียงกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก บางทีอาจเป็นเพราะนางเป็นลูกสาวคนโตของฮองเฮา และนางก็หยิ่งผยองไม่น้อย นางปฏิบัติต่อหลี่หรงอวี่อย่างดีเสมอเพราะถือว่าเขาเป็นทายาทสายตรง เป็นพี่ชายเพียงคนเดียวของนาง และไม่คิดสนใจพี่น้องคนอื่นเลย
ผิงหยางชอบทำตัวติดกับหลี่หรงอวี่มาตั้งแต่เด็ก แต่หลี่หรงอวี่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่หรงเฉิง ดังนั้นผิงหยางจึงยอมมองมาที่เขาบ้าง
“เหตุใดพวกท่านถึงดื่มในเวลากลางวันเช่นนี้” ผิงหยางหยิบจอกจากหลี่หรงอวี่แล้วจิบ ใบหน้าของนางย่นยู่เป็นขนมปังและพูดว่า “ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ สุรามีรสเผ็ดและขมเหลือเกิน ดื่มไปได้อย่างไรกัน”
หลี่หรงอวี่หยิบถ้วยจากมือของนางและสั่งสาวใช้ว่า “ทำชาซิ่งเหริน[1] ให้องค์หญิงที เพิ่มน้ำตาลทรายขาวลงไปด้วย”
ผิงหยางหัวเราะคิกคัก นางดึงแขนเสื้อของหลี่หรงอวี่และพูดอย่างขำขันว่า “เป็นพี่รองที่รักข้ามากที่สุด”
หลี่หรงอวี่ผลักมือนางออกไปเบา ๆ และพูดว่า” เหตุใดเจ้าถึงมาที่นี่ในเวลานี้? หมัวหมั่ว[2] อยู่ที่ใด”
ผิงหยางกล่าวว่า “หมัวหมั่วเริ่มแก่แล้ว นางกินขนมหวานเย็นเมื่อวานนี้ เพราะความเย็นทำให้นางท้องเสีย วันนี้นางจึงหยุดหนึ่งวัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้นางทุกข์ใจอย่างมาก “ในฐานะองค์หญิงของอาณาจักร ข้าถูกหมัวหมั่วเรียกกลับไปกลับมาทุกวันเพื่อเรียนรู้การจัดดอกไม้และการเย็บปักถักร้อย ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน”
หลี่หรงเฉิงหัวเราะ “พี่สาวเจ็ด หมัวหมั่วจะกล้าสั่งท่านได้อย่างไร? ท่านแค่ขี้เกียจเองต่างหาก”
ผิงหยางกล่าวว่า “ข้าแค่ขี้เกียจ แล้วทำไม เจ้าจะทำอะไรได้หรือ”
“มันต้องเป็นท่านที่ใส่บางอย่างลงในขนมของนางแน่” หลี่หรงเฉิงกล่าว
“เจ้า… ชิ!” คำพูดของหลี่หรงเฉิงทำให้ผิงหยางโกรธเคือง หากไม่ใช่เพราะหลี่หรงอวี่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย นางคงจะกระโจนใส่หลี่หรงเฉิงและกัดเขาไปแล้ว
หลี่หรงเฉิงซ่อนตัวอยู่ไกลจากนางและยิ้มอย่างซุกซน “หมัวหมั่วเป็นข้ารับใช้อาวุโส นางอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งพระราชวังหลวง เมื่อฮองเฮาและอดีตฮองเฮาเข้ามาในวังครั้งแรก พระองค์ก็ได้รับการสอนจากหมัวหมั่ว นางงดงามและสง่างามมาก นางสั่งสอนพี่สาวเจ็ดตั้งห้าหกปี แต่ท่านพี่กลับเหลวไหลเช่นนี้ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินคำดุของเขา ผิงหยางก็โมโหขึ้นเรื่อย ๆ หลี่หรงอวี่กลัวว่าผิงหยางจะอาละวาดขึ้นมาจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที “ผิงหยางอย่ายุ่งกับน้องแปดเลย เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาเป็นคนแบบไหน”
“เขาด่าข้าว่าเจ้าเล่ห์!” ผิงหยางแสร้งทำเป็นลุกขึ้นยืนและไล่ตามเขา
หลี่หรงอวี่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อกลั้นเสียงหัวเราะและพูดว่า “เจ้าเป็นสตรีที่อ่อนโยนและสง่างามที่สุด เจ้าจะแสดงความโกรธเคืองออกมาง่าย ๆ ได้อย่างไร? และแม้ตอนนี้เจ้าจะอารมณ์เสีย แต่ก็ยังดูน่ารักเหมือนเดิม”
ผิงหยางหยุดทะเลาะกับหลี่หรงเฉิงทันใด และพูดว่า “พี่รองพูดจาน่าฟัง ท่านพูดได้ดีกว่าพี่แปดมากโข”
“พี่รองของเราเป็นคนที่รู้จักพูดให้เข้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ และยังรู้วิธีพูดให้เข้าหูคนฟัง ไม่แปลกที่ท่านจะพอใจกับสิ่งที่เขาพูด” หลี่หรงเฉิงยังคงหยอกล้อไม่หยุด
หลี่หรงอวี่เหลือบมองหลี่หรงเฉิงอย่างเคร่งขรึม องค์ชายแปดเห็นดังนั้นก็กลับมาอย่างเชื่อฟังและนั่งคอตกดื่มน้ำไปพลาง
ฉากที่มีชีวิตชีวาและน่าสนใจเช่นนี้จะปรากฏเฉพาะเมื่อผิงหยางมาเท่านั้น แต่เนื่องจากนางเอะอะโวยวายเช่นนี้ ทั้งสององค์ชายจึงหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องสำคัญ
[1] อัลมอนด์ (杏仁)
[2] หัวหน้านางกำนัล