ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 55 เข้าสู่ห้องเครื่องหลวงเป็นครั้งแรก
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 55 เข้าสู่ห้องเครื่องหลวงเป็นครั้งแรก
บทที่ 55 เข้าสู่ห้องเครื่องหลวงเป็นครั้งแรก
แม้ว่าชาวเหยียนจะเสียใจตอนนี้ มันก็สายไปเสียแล้ว ฮ่องเต้ได้สั่งให้หลงเซี่ยงชือและกองกำลังอื่นที่กลับมาจากหนานโจว เดินทางไปอาณาจักรทางเหนือเพื่อป้องกันชายแดนไว้ให้แน่นหนา
เมืองลั่วหยางตีกลองสะเทือนไปทั่วฟ้าเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะ หลังจากนั้นฮ่องเต้ตัดสินใจกลับไปที่เมืองหลวง
ในอีกด้านหนึ่งอาณาจักรเหยียนอยู่ในความโกลาหลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
จี้ชิงเฟิง องค์ชายสามของอาณาจักรเหยียน เขาคือบุตรชายผู้เป็นที่โปรดปรานน้อยที่สุด แต่เพราะเขามีชัยเหนือกลุ่มเชียงในฟากตะวันตก ทำให้อาณาจักรเหยียนได้อาณาเขตเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว อีกทั้งส่งให้องค์ชายสามมีฐานอำนาจมั่นคงในราชสำนัก
จี้ชิงไป่ องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเหยียนรู้สึกว่าตำแหน่งของเขาสั่นคลอน เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเล่นกลอุบายหาข้ออ้างส่งจี้ชิงเฟิงไปที่ชายแดนของอาณาจักรเหยียนและอาณาจักรอวี๋เพื่อปกป้องเมือง
เดิมทีการสั่งการกองกำลังที่ชายแดนไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับจี้ชิงเฟิงซึ่งมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งของตัวเอง ทว่าไม่นานหลังจากที่เขามาถึงชายแดน เขาถูกซุ่มโจมตีโดยมือสังหารที่ถูกมาส่งโดยองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเหยียน เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส จำต้องหลบหนีข้ามพรมแดนเพียงลำพังไปยังดินแดนของอาณาจักรอวี๋
หลังจากที่เขาฟื้นตัว เขาก็ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้ความพยายามหลายปีของเขาในอาณาจักรเหยียนต้องสูญเปล่า เขาไปพบฮ่องเต้แห่งหนานโจวเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาลอบสังหารฮ่องเต้แห่งอาณาจักรอวี๋และช่วยให้เขากลับอาณาจักรเพื่อชิงบัลลังก์
พวกเขาปลอมตัว หาเส้นทางที่ปลอดภัย และในที่สุดก็กลับไปที่อาณาจักรเหยียนได้สำเร็จ
จี้ชิงไป่คิดเพียงว่าจี้ชิงเฟิงคงจะตายในถิ่นทุรกันดารไปแล้ว ไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มจะปรากฏตัวในวังอย่างกะทันหันและติดต่อกลุ่มแม่ทัพเพื่อถอดถอนองค์รัชทายาท
ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหยียนนั้นแก่ชราแล้ว กิจการของอาณาจักรเป็นฮองเฮาและองค์รัชทายาทคอยจัดการเสมอมา ฮองเฮาเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดจี้ชิงไป่ จึงเป็นธรรมดาที่นางจะช่วยลูกชายตัวเอง นางติดต่อขุนนางอาวุโสมากมายหมายจะปราบปรามจี้ชิงเฟิง
แต่ด้วยการสนับสนุนของแม่ทัพ จี้ชิงเฟิงจึงสามารถต่อกรกับองค์รัชทายาทและฮองเฮาได้
ในที่สุดการต่อสู้เพื่อบัลลังก์ก็กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างขุนนางฝ่ายพลเรือนและเหล่าแม่ทัพในราชสำนัก
ภายในอาณาจักรเหยียนกำลังยุ่งเหยิงวุ่นวาย พวกเขาจะหลงเหลือเรี่ยวแรงต่อสู้กับอาณาจักรอวี๋ได้อย่างไร?
โชคดีที่อาณาจักรเหยียนนั้นอยู่ห่างไกลและการเดินทางมาที่นี่ก็ไม่สะดวก ความขัดแย้งภายในเมืองหลวงจึงไม่ได้แพร่ไปถึงหูศัตรูเร็วเท่าใดนัก ดังนั้นอาณาจักรอวี๋จึงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลังจากฮ่องเต้แห่งอาณาจักรอวี๋ตบรางวัลเหล่าทหารที่ชนะศึกครานี้ ก็มุ่งหน้าตรงกลับเมืองหลวง
ใช้เวลาเดินทางนานกว่าสิบวัน ในที่สุดพวกเขาก็ถึงวังหลวง
ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทไม่ได้กลับมาที่พระราชวังมากว่าครึ่งปี กิจการของเมืองหลวงทั้งหมดได้รับการจัดการโดยฮองเฮาเฉียน และองค์ชายใหญ่ หลี่หรงจง ทว่าเขาอ่อนแอและเจ็บป่วยตั้งแต่เด็ก ต้องทานยาเกือบทุกวัน ดังนั้นฮองเฮาจึงเป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยทุกอย่าง
เมื่อฮ่องเต้กลับมาถึง พระองค์ชื่นชมว่าฮองเฮาเฉียนดูแลพระราชวังได้เป็นอย่างดี เขารู้สึกซาบซึ้งใจไม่น้อย จึงไปพักผ่อนในตำหนักฮองเฮาสองสามวัน โดยทิ้งสนมจางซึ่งเป็นนางสนมคนโปรดของเขาไว้ข้างหลัง
…
หลังจากเข้าสู่พระราชวังหลวง เหยียนอี้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแม่ครัวในห้องเครื่องหลวงของฮ่องเต้ นางเป็นข้ารับใช้หญิงระดับหก ตำแหน่งของนางยังไม่สูงเท่าไรนัก แต่เดิมห้องเครื่องหลวงเป็นสถานที่สำหรับขันที พวกเขาเป็นคนตระเตรียมอาหารมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้เหยียนอี้จึงเป็นผู้หญิงคนแรก
นางเพิ่งเข้าวังเป็นครั้งแรกและรู้ว่าวังหลวงไม่ได้อิสระเหมือนพระราชวังชั่วคราว นางต้องปฏิบัติตามกฎอย่างรัดกุม นางไม่อาจเดินไปรอบ ๆ หรือพูดเสียงดังได้ เมื่อทำอาหารเสร็จ จะมีขันทีตัวน้อยสามถึงห้าคนมาลองชิมเพื่อทดสอบยาพิษ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากเอาการ
รสชาติถูกปากของเจ้านายแต่ละพระองค์ต้องจำให้ขึ้นใจ แต่ละตำหนักต้องวางตัวเช่นไรก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ในวังนี้มีตำหนักรายล้อมนับไม่ถ้วน ความสัมพันธ์ระหว่างสนมที่ซับซ้อน ย่อมผิดพลาดได้ง่าย
โชคดีที่เมื่อเหยียนอี้ยังอยู่ในพระราชวังชั่วคราวนางมีความสัมพันธ์อันดีกับขันทีโจวเจียซึ่งรับใช้ตำหนักหลวง และได้สอบถามเรื่องราวต่าง ๆ จากอีกฝ่ายเรียบร้อย
พระชายาพระองค์แรกของฝ่าบาท ฮองเฮาเซิ่ง เป็นผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบัน นางจากไปด้วยโรคเมื่อหลายปีก่อนและได้รับการแต่งตั้งชื่อหลังเสียชีวิตว่า เสี้ยวหมิ่น
ฮองเฮาเฉียนคือฮองเฮาองค์ปัจจุบัน นางไม่ใช่แม่ผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาท นางมีลูกสาวเพียงคนเดียวคือองค์หญิงผิงหยาง ในขณะที่สนมจางมีลูกชายที่มีความสามารถอย่างองค์ชายสี่ หลี่หรงซือ ฮ่องเต้ชื่นชมลูกชายคนนี้เป็นพิเศษ
ดังนั้นฮองเฮาเฉียนจึงถือว่าสนมจางเป็นหนามยอกอกมาโดยตลอด
ฮ่องเต้ไม่ใช่ผู้ที่มีรูปโฉมงดงามเท่าไรนัก แต่เขามีนางสนมมากมาย
นอกจากสนมจางที่ได้รับความโปรดปรานแล้วยังมีนางสนมอีกหลายคนคือสนมเต๋อ สนมชู และสนมเสียน สนมเต๋อเป็นคนแรกที่เข้ามาในวังและมีอายุมากที่สุดนางให้กำเนิดองค์ชายใหญ่ หลี่หรงจง แม่ลูกคู่นี้เป็นคนขี้โรค
สนมเสียนก็เป็นที่รักใคร่ในช่วงปีแรก ๆ เช่นกัน นางให้กำเนิดองค์ชายห้า หลี่หรงฮัว แต่ตอนนี้นางไม่เป็นที่โปรดปรานแล้ว ส่วนสนมชูนั้นไม่ค่อยพูด เป็นคนจืดจาง
สนมฉีจาวอี้เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของลูกชายคนสุดท้องของฮ่องเต้ องค์ชายเก้า หลี่หรงจื้อ เขายังเด็กและเป็นที่รักใคร่ของผู้คนจำนวนมาก
ในบรรดานางสนมทั้งเก้ายังมีนางสนม จาวหรงหลี่ ชูหรงเฉิ่น ซิวหยวนชิว พวกนางไม่ได้รับความโปรดปรานและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงเพียงเพราะมาจากตระกูลสูงศักดิ์เท่านั้น
สนมจาวผินหลินเป็นมารดาขององค์ชายแปด หลี่หรงเฉิง นางเกิดที่หนานโจวและไม่ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ตอนนี้หนานโจวได้ต่อสู้กับอาณาจักรอวี๋ทำให้ชีวิตของนางเริ่มยากลำบากขึ้นเรื่อย ๆ โชคดีที่องค์ชายแปดสร้างความภูมิใจให้ฮ่องเต้มาโดยตลอดและยังมีความสัมพันธ์อันดีกับองค์รัชทายาท นอกจากนี้เนื่องจากเขาเพิ่งชนะศึก จึงไม่มีใครกล้าหาเรื่องนาง
สำหรับนางสนมระดับต่ำลงไปคนอื่น ๆ พวกนางไม่มีความโปรดปรานหรือให้กำเนิดบุตร ดังนั้นจึงไม่ค่อยสำคัญเท่าใดนัก
…
ในวันแรกที่เหยียนอี้เข้ามาในวัง นางไม่ได้ศึกษาวิธีการปรับตัวให้เข้ากับงานในห้องเครื่องหลวง นางต้องเรียนรู้มารยาทในวังและท่องผังเครือญาติร่วมกับสาวใช้ใหม่ภายใต้การแนะนำของหญิงรับใช้อาวุโส
หลังจากเรียนรู้ตลอดสามวัน นางก็รู้สึกเวียนหัวจริง ๆ
โชคดีที่เหยียนอี้ฉลาด นางไม่จำเป็นต้องเรียนรู้รายละเอียดมากมายเหมือนสาวใช้ที่ต้องยกอาหารไปให้เชื้อพระวงศ์ นางแค่จำเป็นต้องรู้กฎพื้นฐานของการทักทายก็พอ
สามวันต่อมาเหยียนอี้ไปที่ห้องเครื่องเพื่อรายงานตัว
นางขออนุญาตขันทีจ้าวอันให้ขันทีน้อยขี้ประจบหลางกวนเอ๋อร์มาทำงานในวังหลวง
หลังจากประจบเหยียนอี้อยู่หลายวัน ในที่สุดหลางกวนเอ๋อร์ก็ได้ชีวิตที่มีความสุข เขาซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้งและเชื่อฟังนางมากขึ้น
ขันทีผู้นี้เก่งในการอ่านใจของผู้คน เหยียนอี้เพิ่งก้าวเข้าวัง นางยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ในขณะที่ขันทีรีบพูดคุยกับผู้คนในห้องเครื่องและบอกเหยียนอี้อย่างละเอียดว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรที่นี่
วันหนึ่งทันทีที่เหยียนอี้เข้าไปในห้องเครื่อง จ้าวอันก็มาส่งข้อความถึงนางว่า ฝ่าบาทต้องการกินสาคูแปดสมบัติ[1]
เดิมทีอาหารค่ำของฮ่องเต้ ผู้รับผิดชอบเป็นพ่อครัวชื่อดังหลายคนในหยางโจว บางครั้งฮ่องเต้ต้องการกินอาหารรสเผ็ด ดังนั้นเขาจึงนำพ่อครัวจากดินแดนชูมาโดยเฉพาะ พ่อครัวและขันทีที่เหลือไม่มีคุณสมบัติในการปรุงอาหารมื้อเย็นของฮ่องเต้
พวกเขาทั้งหมดเป็นพ่อครัวที่มีชื่อเสียงในอาณาจักร มีอาหารหรือวัตถุดิบชนิดใดบ้างที่พวกเขาไม่เคยพบเห็น
แต่อาหารที่จ้าวอันพูดมันหมายความว่าอย่างไร?
ทุกคนสับสนและมองหน้ากัน จากนั้นชี้ไปที่เหยียนอี้ กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “ฝ่าบาททรงรออยู่ เจ้ายังไม่รีบทำอาหารอีก”
จนกระทั่งตอนนั้นเองที่ทุกคนตระหนักว่าฮ่องเต้ต้องการให้เหยียนอี้เป็นคนทำอาหารจานนี้
แต่เหยียนอี้เป็นเพียงข้ารับใช้หญิงระดับหกเท่านั้น นางจะมีสิทธิ์ทำอาหารค่ำของฮ่องเต้ได้อย่างไร?
นางเลิกคิดและก้มศีรษะลงมองหาส่วนผสมและน้ำปรุงสุก
นางรู้ว่าทุกคนกำลังมองนางอย่างเงียบ ๆ มีความประหลาดใจในสายตาของพวกเขา ไม่สิ อาจเป็นความอิจฉาหรือว่าความโกรธ
แต่นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาททรงขอให้นางทำ
‘สาคู’ เพิ่งมาถึงประเทศจีนในศตวรรษที่ยี่สิบ ดังนั้นเท่ากับว่าในยุคนี้เหยียนอี้เป็นผู้คิดค้นคนแรก
สาคูที่ดูเหมือนไข่มุกสีขาวและสีชมพู ที่จริงขั้นตอนการทำยากนัก ต้องผสมแป้งมันสำปะหลัง แป้งสาลี และแป้งข้าวโพดเข้าด้วยกัน แล้วใช้เครื่องมือปั้นเป็นลูกเล็ก ๆ เท่าขนาดของข้าวซึ่งเรียกว่า ‘สาคู’
หลังจากข้าวเย็นแล้วก็เติมน้ำร้อนเข้าไป คนเรื่อย ๆ จนกระทั่งสาคูต้มจนโปร่งใส แล้วจึงนำไปใส่ในน้ำเย็น จากนั้นต้มนมและน้ำตาลทรายขาว จากนั้นตามด้วยถั่วหูเถา ถั่วสนเกาลัด ลูกพลับ และธัญพืชอื่น ๆ แต่ไม่อาจต้มพวกมันนานได้
หลังจากต้มเสร็จแล้วนางก็นำออกมาใส่ชาม สาคูใสและสมบัติทั้งแปดถูกจัดเรียงอย่างสวยงาม มันเป็นของหวานที่ยอดเยี่ยม
ในวันที่อากาศหนาวเย็น สามารถรับประทานแบบอุ่นร้อนเพื่อเพิ่มความอบอุ่นร่างกาย แต่ตอนนี้อากาศร้อนและฮ่องเต้ไม่ชอบเหงื่อ ดังนั้นนางจึงเพิ่มน้ำ กะทิเย็น ๆ เพื่อทำเป็นขนมหวานแบบเย็นดับกระหาย
นมเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ที่สุดของของหวานชนิดนี้ แต่มันเป็นสิ่งที่หายากที่สุดในหลวง
อาณาจักรอวี๋ทำการเกษตรเป็นส่วนใหญ่ ไม่มีผู้ใดเลี้ยงวัว แล้วก็ไม่มีผู้ใดดื่มนม ตอนที่นางอยู่ในลั่วหยาง เหยียนอี้ต้องการทำของหวานชามนี้ ดังนั้นนางจึงขอให้ชายที่ขายหนัง[2] บนถนนจูเชวี่ยทำนมวัวให้เป็นพิเศษ
ต่อมาเมื่อนางกำลังจะกลับไปที่เมืองหลวง นางจ่ายเงินเป็นจำนวนมากและขอให้คนส่งวัวมายังเมืองหลวง
โชคดีที่กลุ่มขันทีที่ช่วยถือของได้ลิ้มรสนมและชอบมันมาก เป็นเพราะสัตว์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในวัง ดังนั้นพวกเขาจึงแอบเลี้ยงวัวในโรงเก็บของนอกวังและขอให้สาวใช้คอยดูแลมัน พวกนางบีบนมสดและส่งให้เหยียนอี้ทุกวัน
เหยียนอี้ทำต้มสาคูแปดสมบัติหม้อใหญ่ นางตักใส่ชามและส่งให้ขันที ยังมีสาคูเหลืออีกครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อนางหันกลับมาก็พบว่าสาวใช้ฝางและสาวใช้ชุนซึ่งรับผิดชอบการล้างจานหยิบหม้อขึ้นมาและเทสาคูลงถังขยะไปเสียแล้ว พวกนางกำลังไปที่สวนด้านหลังเพื่อล้างหม้อ
เหยียนอี้ตกใจและตะโกนว่า “โอ้ไม่นะ! ข้าปรุงหม้อใบใหญ่เพราะตั้งใจจะแบ่งให้ทุกคนได้ลิ้มรสสักหน่อยเชียว!”
หยวนซิน ขันทีแห่งห้องเครื่องเยาะเย้ย “เจ้ากล้าพูดว่าเจ้าต้องการลิ้มรสอาหารของฮ่องเต้ได้อย่างไร? หัวจะได้หลุดออกจากบ่าหรือไร!”
เหยียนอี้ตกตะลึง
กฎของห้องเครื่องหลวงนั้นเข้มงวดกว่าพระราชวังชั่วคราวหลายเท่าตัว สาวใช้และขันทีไม่ได้รับอนุญาตให้ลิ้มรสอาหารที่เตรียมไว้สำหรับราชวงศ์
ไม่ต้องพูดถึงหม้อและกระทะทั้งหมดในห้องเครื่องเลย ของเหล่านั้นถูกเตรียมไว้สำหรับราชวงศ์เท่านั้น ห้ามนำมาใช้ทำอาหารสำหรับตัวเอง
นางมองดูสาคูแปดสมบัติในถังขยะด้วยตาละห้อย มันยังคงส่งกลิ่นหอมเย้ายวนใจออกมาอยู่จาง ๆ
พระราชวังหลวงก็สมกับเป็นพระราชวังอย่างแท้จริง มีกฎมากมายไปหมด!
ช่วงสองสามวันแรกที่นางเข้ามาในวัง นางได้ทำสิ่งโง่เขลานับไม่ถ้วน แม้นางจะเคยเรียนรู้กฎบางอย่างแล้ว แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด ต่อจากนี้นางต้องเรียนรู้และจดจำจากประสบการณ์ให้ดี
โชคดีที่ฮ่องเต้สั่งให้ทำอาหารทุกวัน แม้คนอื่นจะอิจฉาเหยียนอี้แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมากนัก
[1] สาคูแปดสมบัติ (八宝西米露) เป็นของหวานสาคู มีส่วนผสมอื่นใส่ไปด้วย เช่น วอลนัท ถั่วสนเกาลัด ลูกพลับ เป็นต้น
[2] หนัง (烤馕) ขนมปังแผ่นกลมใหญ่ ๆ ของชาวอุยกูร์