ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 54 ความคิดขององค์รัชทายาท
บทที่ 54 ความคิดขององค์รัชทายาท
หลังจากเหยียนอี้จัดผมเผ้าตัวเองให้เรียบร้อยแล้ว นางก็หันไปทำความเคารพและถามว่า “เหตุใดองค์รัชทายาทถึงอยู่ในห้องนอนของคนรับใช้เล่าเพคะ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหายตัวไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ดังนั้นข้าจึงมาดูว่าเจ้าสบายดีหรือไม่ แต่ไม่คิดว่าจะได้มาเห็นฉากน่าขันเช่นนั้น”
“เรื่องน่าขันอะไรหรือเพคะ” เหยียนอี้ยิ้มเจื่อน ๆ
หลี่หรงอวี่หัวเราะร่า “ข้าคิดว่ามันน่าสนใจยิ่งนัก ที่เห็นหญิงสาวตัวเล็ก ๆ กล้าพูดหลอกลวงฮ่องเต้ในเวลากลางวันแสก ๆ ข้าคิดว่าหลังจากนี้ จ้าวอันคงพบสิ่งผิดปกติและกลับมาไต่สวนเจ้าเป็นแน่”
เหยียนอี้แสร้งทำเป็นไม่รู้และพูดอย่างจริงจังว่า “เหตุใดขันทีจ้าวอันถึงจะกลับมาไต่สวนหม่อมฉันเล่าเพคะ ฝ่าบาท โทษฐานหลอกลวงฮ่องเต้เป็นความผิดใหญ่หลวงนัก หม่อมฉันเป็นเพียงหญิงชาวบ้านจะกล้าทำเช่นนั้นได้อย่างไรเพคะ?”
หลี่หรงอวี่ยกมือขึ้นโบกไปมาและพูดว่า “เอาล่ะ ๆ ที่ข้ามาเพราะกังวลว่าเจ้าอาจถูกรังแกจากนอกวัง ตอนนี้ข้าเห็นว่าเจ้ายังมีพลังพอที่จะแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อองครักษ์เฉินก็ดูเหมือนว่าเจ้าจะสบายดี เช่นนั้นก็ลืมไปเถิด ดูแลตัวเองด้วยล่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา เหยียนอี้ก็สงสัยว่า ‘เหตุใดองค์รัชทายาทถึงรู้เรื่องนี้มากเหลือเกิน?’ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…
ยามนี้นางไม่คิดจะซ่อนอะไรอีกแล้ว “หม่อมฉันโกหกเพื่อเฉินฟู่เซิน ดังนั้นเขาย่อมช่วยหม่อมฉันปกปิดมัน ส่วนวิธีที่เขาจะจัดการกับทหารรักษาการณ์อย่างไรนั้น มันไม่ใช่เรื่องของหม่อมฉันเพคะ”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าและชี้ไปที่ตัวเองว่า “มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่เจ้าต้องคิด นั่นคือเจ้าจะเกลี้ยกล่อมข้าได้อย่างไร”
เหยียนอี้ฝืนยิ้มออกไปและกล่าวว่า “องค์รัชทายาทมิออกจากวังเรียนรู้โลกหล้า ย่อมมิใส่ใจหญิงสาวตัวเล็ก ๆ อย่างหม่อมฉันผู้นี้หรอกเพคะ”
หลี่หรงอวี่ขยับเข้าไปใกล้เหยียนอี้ ก่อนจะยกคางของนางขึ้นด้วยท่าทีหยอกเย้าและยกยิ้มมุมปาก “แล้วหากข้าสนใจเรื่องนี้เล่า”
“องค์รัชทายาท หากพระองค์มีคำถาม เพียงแค่ไปถามเฉินฟู่เซิน หม่อมฉันไม่รู้อะไรเลยเพคะ”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลย ไม่เช่นนั้นเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
นางไม่เข้าใจว่าองค์รัชทายาทหมายถึงอะไร แต่ดูจากท่าทางของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทุกอย่าง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขารู้เบื้องหลังของเฉินฟู่เซิน
แม้เหยียนอี้ไม่รู้ว่าเฉินฟู่เซินคิดจะทำอะไรเมื่อเขาเข้าวัง แต่ก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่เขาจะทำจะเป็นอันตรายต่อราชวงศ์ ดังนั้นหากหลี่หรงอวี่รู้รายละเอียดของเฉินฟู่เซิน พวกเขาคงไม่เก็บชายหนุ่มไว้
เมื่อมองไปที่หลี่หรงอวี่และรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้ของเขา เหยียนอี้ก็รู้สึกตัวว่าชายที่อยู่ตรงหน้านางเป็นถึงองค์รัชทายาทซึ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามเล็กน้อย
อีกฝ่ายพลันสังเกตเห็นว่าเหยียนอี้เริ่มตื่นตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ หลี่หรงอวี่จึงยิ้มอย่างมีความสุขและพูดว่า “อย่าคิดมาก แม้ข้าสนใจในคนรักของเจ้า แต่ข้ายังไม่รู้พื้นหลังของเขา แน่นอนเจ้าเองก็คงยังไม่รู้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินว่าเขาเรียกเฉินฟู่เซินว่า ‘คนรัก’ ของนาง เหยียนอี้ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา “พระองค์โปรดอย่าพูดเรื่องไร้สาระเพคะ!”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “โอ้ เจ้าโกรธงั้นรึ บอกตามตรง ข้ารู้สึกว่าเขาดูเหมือนสหายเก่า แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เจ้าควรบอกให้เขาระวังตัวไว้ อย่าให้ข้าหาสิ่งใดเจอ และหากเสด็จพ่อรู้อะไรบางอย่างขึ้นมา หัวเขาจะหลุดออกจากบ่าแน่”
หลังจากพูดเช่นนั้น เขาก็จากไปทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เหยียนอี้พูดสิ่งใดต่อ
หลี่หรงอวี่เดินออกจากห้องมาเจอสาวใช้บนทางเดินด้านนอก ลั่วอิ๋ง สาวใช้ส่วนตัวของเขารออยู่นานแล้ว
เมื่อหลี่หรงอวี่เห็นนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาพลันหายไป เขาเปลี่ยนเป็นท่าทีจริงจังและพูดว่า “ไม่มีปัญหากับแม่ครัวคนนี้ แต่นางซ่อนอะไรบางอย่างไว้ให้เฉินฟู่เซิน ข้ากลัวว่านางจะไม่รู้ตัวว่านางซ่อนอะไรอยู่”
สาวใช้กระซิบว่า “ถ้าเช่นนั้น… เราควรจัดการกับนางหรือไม่เพคะ”
หลี่หรงอวี่หยุดเดิน จ้องมองไปที่ลั่วอิ๋งแล้วพูดว่า “ข้าบอกว่าไม่มีปัญหาอย่างไรเล่า! หากเจ้ามีเวลาจงหาภูมิหลังของเฉินฟู่เซินซะ!”
เมื่อถูกองค์รัชทายาทดุด่า ลั่วอิ๋งก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย นางรับใช้องค์รัชทายาทมานานกว่าสิบปีและรู้ว่าเขาใจดีกับผู้อื่นมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยดุด่าคนรับใช้ ไม่ต้องพูดถึงว่านางเป็นคนสนิทของเขามาหลายปีแล้ว
ลั่วอิ๋งเตือนตัวเองให้ระวังคำพูดมากขึ้นและกล่าวว่า “สายลับรายงานว่ามีร่องรอยของอ๋องหย่งปรากฏตัวทางตะวันออกของเมืองลั่วหยางในช่วงสองวันที่ผ่านมาเพคะ”
หลี่หรงพ่นลมอย่างเย็นชา “อ๋องหย่งงั้นหรือ? แล้วพบหลี่หงเสวี่ยหรือไม่?”
ลั่วอิ๋งตอบว่า “มีคนเห็นเขาปรากฏตัวบนถนนจูเชวี่ยเพคะ”
“ใช่เขาจริง ๆ ดูเหมือนว่าเราจะได้พบกับลูกพี่ลูกน้องของข้าในไม่ช้า”
หลี่หรงอวี่ไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งและถามว่า “แล้วเฉินฟู่เซินคือใคร”
ลั่วอิ๋งส่ายหัวและพูดว่า “หม่อมฉัน… หาข้อมูลเขาไม่พบเพคะ”
“ไร้ประโยชน์!”
…
หลี่หรงอวี่กลับไปถึงวัง ทันใดนั้นเขารู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจเฉินฟู่เซินคนนี้มากนัก เพียงแค่แต่งตั้งให้เขาอยู่กับองค์ชายแปด ตอนนี้องค์ชายแปดนำกองทหารของเขาไปที่หนานโจว แต่เขาไม่ได้พาเฉินฟู่เซินไปด้วย เห็นได้ว่าองค์ชายแปดไม่ชื่นชอบเฉินฟู่เซินมากนัก
อย่างไรก็ตาม หลี่หรงอวี่รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่าขนลุกจากร่างกายของเฉินฟู่เซิน ช่างคล้ายกับแรงกดดันที่องค์ชายสี่ส่งมาถึงเขา
แต่เขาเป็นเพียงองครักษ์ตัวเล็ก ๆ ไม่ใช่หรือ?
หลี่หรงอวี่รู้สึกขบขันตัวเองที่พยายามเข้าใกล้เหยียนอี้ ผู้ซึ่งใกล้ชิดกับเฉินฟู่เซิน นางดูเป็นคนไร้เดียงสา ไม่มีลับลมคมในอะไร แต่เขายังหวังจะค้นหาบางสิ่งจากนาง
แต่ปรากฏว่าเหยียนอี้เป็นกระต่ายที่ไม่รู้เรื่องส่วนตัวของเฉินฟู่เซินเลย ความพยายามทั้งหมดของเขาไร้ผล
อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าชาติกำเนิดของเฉินฟู่เซินนั้นเป็นปริศนา เขาเป็นคนของอ๋องหย่งที่ก่อกบฏเมื่อหลายปีก่อน หรือเป็นสายจากอาณาจักรเหยียนหรืออาณาจักรหนานโจวกันแน่?
ในตอนแรก หลี่หรงอวี่ต้องการขับไล่เฉินฟู่เซินออกจากพระราชวัง แต่ประการแรกเขาได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้และประการที่สองมันจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ฉะนั้นรอดูต่อไปก่อนดีกว่า!
ในเวลานี้มีข้อความมาจากห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ ขอให้องค์รัชทายาทไปประชุมโดยเร็วที่สุด
ปรากฏว่าองค์ชายแปดและฉีโหย่วเฟิง แม่ทัพกองหน้าได้บุกทำลายกุ้ยผิงแล้ว พวกเขาจับศัตรูได้สามหมื่นคน อาณาจักรหนานโจวกำลังจะพ่ายแพ้ พวกเขาคาดว่าจะสามารถทำลายเมืองหลวงของหนานโจวได้ในไม่ช้า
การต่อสู้ระหว่างอาณาจักรอวี๋กับอาณาจักรหนานโจวเป็นไปอย่างราบรื่น สิ่งนี้ถือเป็นข่าวดี
หลังจากหลี่หรงอวี่และเสนาบดีกรมกลาโหมกล่าวแสดงความยินดีต่อฮ่องเต้แล้ว หลี่หรงอวี่ได้ถามเสนาบดีว่า “ไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับอาณาจักรเหยียนทางตอนเหนือในช่วงสองวันที่ผ่านมาเลยใช่หรือไม่”
เหอเชียนอี้แห่งกรมกลาโหมตอบว่า “องค์ชายสี่ส่งจดหมายมาว่าสถานการณ์ยังปลอดภัยและไม่มีความผิดปกติใด ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่คิดกับตัวเองว่า ‘แม้ไม่เกิดเหตุร้ายใดขึ้นจะเป็นเรื่องดี แต่อาณาจักรเหยียนไม่เงียบเกินไปหรือ?’
ก่อนหน้านี้ฮ่องเต้ได้เสด็จเยือนอาณาจักรเหยียนเป็นการส่วนตัวและถูกลอบสังหารหลายครั้ง แม้คนร้ายจะเป็นนักฆ่าที่ถูกส่งโดยหนานโจว แต่ผู้ที่ก่อเหตุทั้งหมดนี้คืออาณาจักรเหยียน จะเห็นได้ว่าหนานโจวเป็นพันธมิตรกับอาณาจักรเหยียนแล้ว
ตอนนี้หนานโจวถูกโค่นล้มแล้ว ก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวในอาณาจักรเหยียน เป็นไปได้ไหมว่าอาณาจักรเหยียนทรยศต่อพันธมิตร ให้หนานโจวกลายเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง?
ไม่ ชาวเหยียนเป็นพวกทะเยอทะยานและจะไม่มีวันอยู่เฉย!
หลี่หรงอวี่ทูลฮ่องเต้ถึงความกังวลของเขา ฮ่องเต้อยู่ในราชสำนักมานานหลายทศวรรษ เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่องค์รัชทายาทกล่าวได้อย่างไร?
แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ที่จะคาดเดา เขาพูดเพียงว่า “ข้าส่งข้อความถึงหรงซือแล้ว ขอให้เขาจับตาดูชาวเหยียน หากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาจริง ๆ ข้ากลัวว่าทหารหนึ่งแสนนายจะไม่สามารถต้านทานได้”
เสนาบดีทุกคนกล่าวว่า “ฝ่าบาท พระโอรสของพระองค์ย่อมทรงพลัง แม้ชาวเหยียนจะเป็นคนป่าเถื่อน แต่พวกเขามิได้อยู่ยงคงกระพันพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่รู้ว่าฮ่องเต้แจ้งแก่ใจถึงสถานการณ์ทุกอย่างเสมอ แต่เขาไว้วางใจหลี่หรงซือมากเกินไป ในสนามรบ อะไรก็เกิดขึ้นได้ การที่เขายังคงเชื่อมั่นในตัวลูกชายโดยไม่ลืมหูลืมตา มันน่าเป็นกังวลจริง ๆ
สงครามเกิดขึ้นมาสองสามเดือนแล้ว และคำสั่งของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหนานโจวก็สิ้นสุดลง ก่อนที่เมืองหลวงของอาณาจักรหนานโจวจะถูกทำลาย ฮ่องเต้และสมาชิกสภาใหญ่แต่งกายด้วยชุดสีขาว ถือตราประทับของฮ่องเต้ไว้ในมือ คุกเข่าไปทางทิศเหนือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการยอมจำนน ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหนานโจวยอมอยู่ใต้การปกครองของอาณาจักรอวี๋ หลังจากนั้นพวกเขาจะจ่ายส่วยทุกปีและไม่มีความขัดแย้งอีกต่อไป
หลงเซี่ยงชือ ผู้บัญชาการทัพในแดนใต้ยังไม่พอใจ เขาขอให้หนานโจวตัดศีรษะขององค์รัชทายาทผู้เป็นคนบงการแผนลอบสังหาร แล้วส่งมันไปที่ลั่วหยางโดยเร็ว
แม้ลั่วหยางจะอยู่ใกล้กับหนานโจวกว่าเมืองหลวงมาก แต่ในขณะนี้ยังเป็นฤดูร้อนอยู่ เมื่อศีรษะขององค์รัชทายาทหนานโจวถูกส่งไปถึง แม้จะอยู่ในกล่องที่ทำจากไม้จันทน์ แต่ก็ยังส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา
ฮ่องเต้ไม่ได้สนใจมอง พระองค์รับสั่งให้คนแขวนไว้บนกำแพงเมืองเพื่อแสดงให้สาธารณชนเห็น
แต่หลี่หรงอวี่ไม่คิดว่ามันเหมาะสมเท่าไรนัก ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรหนานโจวยอมอยู่ใต้อาณัติ หากองค์รัชทายาทของเขาถูกดูหมิ่นเช่นนี้ เขาอาจจะมีความแค้นอย่างแรงกล้าต่ออาณาจักร ดังนั้นหลี่หรงอวี่จึงให้คนนำศีรษะไปโยนลงในหลุมฝังศพ
หลังจากเสร็จสิ้นสงครามกับหนานโจว ทั้งอาณาจักรอวี๋ก็โล่งใจ
ฮ่องเต้ออกคำสั่งเพื่อตอบแทนกองทัพใหญ่ที่มีชัยกลับมา แต่ละคนได้รับการเลื่อนตำแหน่ง องค์ชายแปดได้รับมอบตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทัพ
ฮ่องเต้หนานโจวทรงส่งบุตรชายอีกสามคนที่เหลือไปยังลั่วหยางเป็นตัวประกัน ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรอวี๋พอใจมาก เขามอบตำแหน่งและตำหนักให้พวกเขาและสั่งให้พวกเขาอาศัยอยู่ในลั่วหยางตลอดไป
อย่างไรก็ตาม ยังคงไม่มีการเคลื่อนไหวในแดนเหนือ
ตามข้อมูลที่ได้จากองค์ชายใหญ่ของฮ่องเต้หนานโจว อาณาจักรเหยียนไม่ได้สร้างพันธมิตรลับกับอาณาจักรหนานโจวจริง ๆ เป็นเพียงเพราะว่าคนที่เรียกตัวเองว่าองค์ชายสามของอาณาจักรเหยียน มาที่หนานโจวเพียงลำพัง และเป็นเพราะเขามีสัญลักษณ์ของราชวงศ์แห่งอาณาจักรเหยียน เขาจึงได้รับการรับรองจากวังหลวง
ในช่วงปีแรก ๆ อาณาจักรหนานโจวได้ส่งทูตไปยังอาณาจักรเหยียนหลายครั้ง พวกเขาได้พบกับองค์ชายสามแห่งอาณาจักรเหยียน ดังนั้นพวกเขาจึงยืนยันตัวตนของเขาได้
แม้องค์ชายสามแห่งอาณาจักรเหยียนจะไม่มีตราประทับของฮ่องเต้อยู่ในมือ แต่เขาก็ยังพูดอย่างมั่นใจว่าทั้งสองอาณาจักรควรจับมือกัน ประการแรกเขาจะกระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งภายในในอาณาจักรอวี๋ จากนั้นทั้งสองอาณาจักรจะตีวงล้อมและบุกโจมตี
องค์รัชทายาทแห่งหนานโจวมีความทะเยอทะยาน เขาถูกล่อลวงโดยการยั่วยุขององค์ชายสามแห่งอาณาจักรเหยียน ดังนั้นเขาจึงเกลี้ยกล่อมให้ฮ่องเต้หนานโจวส่งกลุ่มนักฆ่าไปลอบสังหาร
อย่างไรก็ตามด้วยการปกป้องที่แน่นหนา ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรอวี๋จึงไม่เป็นอันตราย แต่เหตุนี้กลับนำหายนะมาสู่หนานโจวแทน
ฮ่องเต้หนานโจวได้สาปแช่งองค์ชายสามแห่งอาณาจักรเหยียนมานาน แต่ในเวลานั้นองค์ชายสามได้กลับไปยังอาณาจักรเหยียนแล้วภายใต้การคุ้มครองลับของชาวหนานโจวแล้ว เขาอยู่ไกลตัว ดังนั้นจะดุด่าสาปแช่งเขาได้อย่างไร?
อย่างไรก็ตามชายคนนั้นผิดสัญญา แผนการที่เขาเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ได้ทำให้หนานโจวต้องต่อสู้เพียงลำพัง ส่งผลให้ยามนี้อาณาจักรต้องพ่ายแพ้ยับเยิน
ฮ่องเต้มีความสุขมากหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่องค์ชายใหญ่แห่งหนานโจวอธิบาย
นักรบของอาณาจักรเหยียนช่างโง่จริง ๆ หากพวกเขาไม่ผิดสัญญาและโจมตีอาณาจักรอวี๋พร้อมกับอาณาจักรหนานโจว อาณาจักรอวี๋จะชนะอย่างง่ายดายได้อย่างไร?
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้