ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 53 ความลับของเฉินฟู่เซิน
บทที่ 53 ความลับของเฉินฟู่เซิน
“เฉินฟู่เซิน!” นางรีบโผเข้าไปกอดเขา แต่มือของนางถูกมัดไว้จึงกลายเป็นว่ามีแต่ร่างที่พุ่งชนเขาแทน
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่?”
“ข้า… ข้ามีบางอย่างที่ต้องทำ!” ยิ่งนางตื่นเต้นนางก็ยิ่งปวดปัสสาวะมากขึ้น ใบหน้าของนางซีดเซียวจนดูไม่ได้ นางมองไปรอบ ๆ หลายครั้งและพบว่าไม่มีใครอื่นนอกจากเฉินฟู่เซิน นางจึงพูดตรง ๆ ว่า “ข้าอยากไปห้องน้ำ”
ในอดีตพวกเขาอยู่ด้วยกันในหมู่บ้านอู่ซานนานกว่าสองปีและไม่สนใจภาพลักษณ์กันอีกแล้ว ดังนั้นนางจึงพูดเรื่องนี้อย่างไม่รู้สึกอาย
เฉินฟู่เซินดูเขินอายเล็กน้อย เขาชี้ออกไปข้างนอกและพูดว่า “ออกไปแล้วเลี้ยวขวา”
เหยียนอี้วิ่งไปอย่างเร็วดั่งลูกศรพุ่งออกจากแล่ง
ปรากฏว่าสถานที่แห่งนี้เป็นบ้านไม้ของโรงเตี๊ยม พวกเขาอยู่ในสวนหลังบ้านซึ่งมีที่สำหรับปลดทุกข์
หลังจากที่นางจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อยแล้วนางก็รู้สึกโล่งกาย จากนั้นก็รู้สึกว่าท้องของนางกำลังร้องประท้วง
เฉินฟู่เซินกำลังรอนางอยู่ข้างนอก เมื่อเขาได้ยินท้องร้องทันทีที่นางออกมา เขาก็อดหัวเราะไม่ได้ “ข้าคิดว่าเจ้ากลัว แต่ข้าไม่คาดคิดว่าในหัวของเจ้าจะคิดถึงแต่เรื่องกิน”
เมื่อมองไปรอบ ๆ นางเห็นว่าเฉินฟู่เซินยืนอยู่ตรงหน้านางด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย นางถามเฉินฟู่เซิน “เจ้าช่วยข้าได้อย่างไร? พวกเขาไม่ได้ทำร้ายเจ้าหรือ”
เขาจับมือนางเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมจากประตูหลังและบอกเถ้าแก่ให้จัดที่ทาง จากนั้นเขาก็พานางไปยังที่นั่งส่วนตัวและอธิบายว่า “พวกเขาจากไปหมดแล้ว”
นางจิบชาจากเสี่ยวเอ้อและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? บอกความจริงกับข้าทีเถิด”
เขาไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด
“พวกเขาคือใคร? เหตุใดพวกเขาถึงจับข้าและล่อให้เจ้าออกไป? เหตุใดเขาไม่ทำร้ายข้า” เหยียนอี้ถาม
“ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“แล้วข้าถูกขังอยู่นานแค่ไหน? เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้หรือไม่”
“หนึ่งวันหนึ่งคืน ขอโทษที่ข้ามาช้า”
“เฉินฟู่เซิน เจ้ามีความลับมากมายเสมอ ข้าไม่ได้ถามเจ้ามาก่อน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาข้าได้รับบาดเจ็บจากมีดและถูกขังไว้เป็นเวลาหนึ่งคืนโดยไม่มีเหตุผลเพราะความลับของเจ้า เจ้าไม่อาจซ่อนมันไว้จากข้าได้อีกต่อไปแล้ว” เหยียนอี้กล่าว
“ข้าขอโทษ” แต่เขายังคงไม่ตอบ
ทั้งสองเงียบไปครู่หนึ่ง โชคดีที่เสี่ยวเอ้อมารับใช้และทำลายบรรยากาศอึดอัดของทั้งสอง
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งนางก็ถามว่า “แล้วคนที่ขังข้าไว้เมื่อวานนี้คือพวกที่ต้องการฆ่าเจ้าใช่หรือไม่”
เขาพยักหน้า
“แต่ว่าพวกเขาอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าใช่หรือไม่”
เฉินฟู่เซินพยักหน้าอีกครั้ง
“อ๋อ เข้าใจแล้ว” เหยียนอี้รู้ว่าที่เขาเงียบเช่นนี้ ถือเป็นการตอบปฏิเสธไปในตัว
นางต้องปลอบโยนตัวเองว่า “ไม่ใช่ศัตรูก็ดีแล้ว ข้ากลัวเสมอว่าเจ้าจะตกอยู่ในอันตราย ดังนั้นข้าจึงอยากเป็นเพื่อนของเจ้า แต่ปรากฏว่าเจ้ามีเพื่อนคนอื่นด้วย แค่นี้ก็ดีแล้ว”
เขาจ้องมองนางด้วยสายตางุนงงและอ้าปากเล็กน้อย
เหยียนอี้จ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาและจงใจพูดเช่นนั้น นางคิดว่าหากไม่เกิดความรู้สึกใดในหัวใจเขา ชายหนุ่มจะต้องเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจถึงเพียงใดกัน
แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นคนมีความรู้สึกหรือไม่ เขาก็ไม่บอกความจริงกับนางอยู่ดี
อย่างไรเสีย การที่เขาไม่บอกนางยังดีกว่าการโกหก เพราะนางเกลียดคนโกหกมากที่สุด
สักพักเสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารมาวาง แต่เหยียนอี้ไม่อยากกินแม้แต่คำเดียว นางดื่มน้ำอีกแก้ว เดินไปตรงประตู แต่แล้วก็หยุดครู่หนึ่งและหันกลับมามองชายหนุ่ม
เฉินฟู่เซินยังคงนั่งอยู่ที่เดิมโดยไม่พูดอะไรหรือแม้แต่จะขยับตัวใด ๆ
นางถอนหายใจและไปยืนตรงหน้าเขา
เปลือกตาของเฉินฟู่เซินกระตุก ผ่านไปเนิ่นนานเขาก็พูดว่า “ข้าได้เตือนพวกเขาว่าหากพวกเขากล้าแตะต้องเจ้าอีกในอนาคต ข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเขา”
นางพ่นลมและพูดว่า “ตอนที่ข้าถูกขังเมื่อวานนี้ข้าได้ยินพวกเขาเรียกผู้นำว่า ‘ฝ่าบาท’ ความลับของเจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ใช่หรือไม่? เจ้าเข้าหาฮ่องเต้โดยมีเจตนาแอบแฝงและการที่เจ้าต้องการเป็นองครักษ์จินอู๋ก็เป็นแผนของเจ้าใช่หรือไม่”
เฉินฟู่เซินมองไปที่เหยียนอี้ด้วยความประหลาดใจและพูดอย่างทำอะไรไม่ถูกว่า “เขากล้าบอกตัวตนของเขากับเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใครเหมือนที่ข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของเจ้า” เมื่อคิดอีกมุม บางทีเมื่อวานนี้พวกเขาอาจตั้งใจให้นางได้ยินบทสนทนาก็๋เป็นได้ แต่จุดประสงค์คืออะไรกัน?
“เฉินฟู่เซิน เจ้าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้วก็กลับมาอย่างลึกลับ ทันใดนั้นฮ่องเต้และองค์รัชทายาทก็มาถึงภัตตาคารกุ้ยซานและพาข้าไปที่ลั่วหยาง ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเจ้าด้วยงั้นหรือ” เหยียนอี้ถาม
เขาเม้มปากของเขาโดยไม่ได้ปฏิเสธ
ทันใดนั้นนางคว้าคอเสื้อของเขาขึ้นและถามว่า “เหตุใด… เหตุใดเจ้าถึงต้องการให้ข้าเข้าไปพัวพันกับความยุ่งเหยิงของเจ้าด้วย?”
เฉินฟู่เซินไม่ขัดขืนแต่อย่างใด ยามนี้แขกที่เดินผ่านไปมาก็พากันจ้องมองพวกเขา
เฉินฟู่เซินใช้โอกาสนี้หันไปด้านข้างแล้วกดเหยียนอี้ไว้ใต้ร่าง ก่อนกระซิบว่า “ข้าขอโทษ… ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเกี่ยวข้อง แต่กลุ่มของหลี่หงเสวี่ยเชื่อว่า…เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าเจ้าคือเชือกที่สามารถรั้งข้าไว้ได้ หากฮ่องเต้ไม่เชิญเจ้าไปที่วัง หลี่หงเสวี่ยจะไม่ปล่อยเจ้าไป…”
“ใครคือหลี่หงเสวี่ย?”
“คนที่จับเจ้าเมื่อวานนี้”
“แล้วเจ้าอยากให้ข้าเข้าวังเพื่อปกป้องข้าหรือ”
เฉินฟู่เซินไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ยอมรับอยู่ในที
ในตอนนั้นเขาถูกไล่ล่าโดยสำนักเทียนจีและได้รับการช่วยเหลือจากเหยียนอี้ หมู่บ้านอู่ซานเป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ดังนั้นเขาจึงขาดการติดต่อกับโลกภายนอก
ต่อมาคนของหลี่หงเสวี่ยพบว่าเฉินฟู่เซินอยู่กับเหยียนอี้ และพบว่าท่าทีที่ชายหนุ่มมีต่อหญิงสาวนั้นแตกต่างออกไป
เฉินฟู่เซินถูกเลี้ยงมาโดยคนกลุ่มนี้ เขาเชื่อฟังมาตลอด ทว่าตั้งแต่แม่ของเขาจากไป เขาก็กลายเป็นดื้อรั้นและต่อต้านมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากศิลปะการต่อสู้ที่ทรงพลังและเอกลักษณ์พิเศษของเขา นั่นจึงทำให้หลี่หงเสวี่ยเกรงกลัวเขา
เพื่อที่จะควบคุมเขาได้ดีขึ้น หลี่หงเสวี่ยจึงพยายามจับเหยียนอี้และทำให้นางถูกกักตัวไว้แต่ก็ถูกเฉินฟู่เซินหาเจอในที่สุด พวกเขาจึงสลายตัวอย่างเงียบ ๆ
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขายังไม่ได้แก้แค้น เรื่องราวยังสะสางไม่เสร็จ เขาจึงไม่อาจปกป้องนางได้ตลอดไป
เขาครุ่นคริดอยู่นาน หลี่หงเสวี่ยได้วางแผนกับกลุ่มของเขามาหลายปีแล้ว และสายลับก็อยู่ทุกหนทุกแห่ง บางทีในโลกนี้อาจมีเพียงพระราชวังเท่านั้นที่สามารถปกป้องเหยียนอี้ได้ สุดท้ายแล้วสถานที่ที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดใช่หรือไม่?
ในเวลานี้ฮ่องเต้และองค์รัชทายาทมาที่เมืองอวิ๋นเจี้ยนเพื่อเยี่ยมชมเป็นการส่วนตัว
เขามั่นใจว่าฮ่องเต้จะซาบซึ้งในทักษะการทำอาหารของนาง ดังนั้นเขาจึงขอให้ขันทีแนะนำฮ่องเต้ไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานเพื่อรับประทานอาหารค่ำ
ตามที่คาดไว้ เหยียนอี้เอาชนะใจฮ่องเต้ด้วยอาหารสองสามจาน และด้วยคำพูดสองสามคำจากผู้คนรอบตัวฮ่องเต้ นางจึงถูกนำตัวไปที่พระราชวัง
หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ของหนานโจวและสงครามที่ก่อตัวขึ้น เหยียนอี้คงจะปรุงอาหารอยู่วังหลวงได้อย่างปลอดภัย
เมื่อเทียบกับพระราชวังชั่วคราว วังหลวงได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา ผู้ใดก็ไม่อาจเข้าหรือออกจากพระราชวังได้อย่างง่ายดาย
ไม่ว่าหลี่หงเสวี่ยจะพยายามมากเพียงใด เขาก็จะไม่สามารถแตะต้องเหยียนอี้ได้อีก
ยิ่งไปกว่านั้นตามแผนเดิมของเขา เขาจะเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้และสามารถปกป้องเหยียนอี้ได้ตลอดเวลา
เหยียนอี้เป็นหญิงฉลาด แม้นางจะไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินฟู่เซินและหลี่หงเสวี่ยหรือความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้กับพวกเขา แต่นางก็พอเดาได้กว่าแปดส่วน
แต่อย่างไรแล้วนางก็ยังไร้เดียงสาอยู่ดี จนเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์ยุ่งเหยิงนี้ และแม้แต่เหยียนจื่อเองก็ต้องตามนางมาด้วย
ตอนนี้นางสงสัยว่าแม่และพ่อเลี้ยงของนางจะเป็นห่วงพวกนางทั้งกลางวันและกลางคืนหรือไม่?
เฉินฟู่เซินสูดลมหายใจอย่างหนักและค่อย ๆ ผ่อนออก นางทำเพียงเบือนหน้าหนี
เขารู้สึกละอายเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดอย่างหม่นหมองว่า “ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่วัง”
เมื่อเหยียนอี้กลับไปที่วังก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
เหยียนจื่อเป็นกังวลอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะหลางกวนเอ๋อร์ห้ามนางไว้ นางคงจะพลิกท้องฟ้าตามหาพี่สาวไปแล้ว เมื่อเห็นว่าพี่สาวปลอดภัยดี นางจึงกระโจนใส่เหยียนอี้แล้วปล่อยให้น้ำตาพรั่งพรูออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวอัน ขันทีข้างกายฮ่องเต้ก็มา
ด้วยเพราะเหยียนอี้ไม่ได้กลับมาเมื่อคืน ฮ่องเต้จึงถามเกี่ยวกับเหตุผลของรสชาติอาหารที่แปลกไป
ข่าวการหายตัวไปของเหยียนอี้มาถึงหูของทุกคน
ตอนเที่ยง ฮ่องเต้พบว่าอาหารไม่ได้ปรุงโดยเหยียนอี้ ดังนั้นเขาจึงส่งจ้าวอันให้มาถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เหยียนอี้ไม่กล้าพูดอะไรเกี่ยวกับเฉินฟู่เซิน ดังนั้นนางจึงต้องพูดเรื่องขบขัน นางบอกว่านางถูกโจรขโมยถุงเงินซึ่งในนั้นมีป้ายที่อนุญาตให้นางเข้าและออกจากวังได้ ผู้คุมไม่รู้จักนาง ดังนั้นนางจึงไม่อาจเข้ามาได้
“ข้าเพิ่งเห็นองครักษ์เฉินเดินมา เขาส่งเจ้าเข้ามาหรือ” จ้าวอันถาม
“ใช่เจ้าค่ะ องครักษ์เฉินบังเอิญผ่านไปและพาข้าเข้ามา” เหยียนอี้จำต้องตอบเช่นนั้น
จ้าวอันพยักหน้าและพูดว่า “ทหารรักษาการณ์ตรงนั้นช่างเนรคุณนัก เหตุใดพวกเขาไม่รู้จักแม่นางเหยียน ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้แล้ว เขาต้องถูกลงโทษเป็นแน่ บอกข้ามาว่าพวกเขามาจากประตูตะวันออกหรือประตูตะวันตก?”
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินว่านางกำลังทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องโดนลงโทษเพราะนาง จึงรีบพูดว่า
“ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกเขาไม่ให้ข้าเข้ามาเจ้าค่ะ! พวกเขามีความภักดีต่อหน้าที่ของตนและไม่อนุญาตให้ผู้ต้องสงสัยเข้าไปในวัง พวกเขาทำหน้าที่ได้ดีมากแล้วเจ้าค่ะ! หากพวกเขาปล่อยให้ข้าเข้ามาเพียงเพราะข้าพูดสองสามคำ เช่นนั้นความปลอดภัยในวังจะอยู่ที่ใดเจ้าคะ? ท่านจ้าวอันไม่สามารถลงโทษพวกเขาได้ แต่ควรให้รางวัลมากมายแก่พวกเขาด้วยซ้ำเจ้าค่ะ!”
จ้าวอันหัวเราะเสียงดัง “เจ้าช่างน้ำใจงามยิ่งนัก เช่นนั้นก็ช่างมัน ฝ่าบาทกำลังรอคำตอบจากข้า เจ้าพักผ่อนเถิด”
ใบหน้าของเหยียนอี้เผยยิ้มกว้าง นางส่งจ้าวอันออกไปและเกลี้ยกล่อมเหยียนจื่อที่นอนไม่หลับมาทั้งคืนให้เข้านอน ทว่าในขณะที่นางกำลังโล่งใจอย่างมากนั้น
“การโกหกของเจ้ายังมีข้อบกพร่องอยู่ หากจ้าวอันไปที่ประตูมุมและถามพวกเขา ความไม่แตกทันทีเลยหรือ” ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากด้านหลังนาง
เหยียนอี้ตกใจมาก เมื่อนางหันหลังกลับและเห็นองค์รัชทายาทยืนอยู่ข้างหลังนางพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง