ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 52 ห้องมืดเล็ก ๆ
บทที่ 52 ห้องมืดเล็ก ๆ
“ครอบครัวเฉินกำลังยุ่งอยู่กับการจัดพิธีศพ ไม่มีใครว่างไปตามหาเด็กหญิงหรอก แต่นางก็ไม่ใช่เด็กดีอะไร แม่ของนางป่วยอยู่ สามพี่น้องออกไปทำงานหาเงิน พอนางเหนื่อยก็จะหนีไปสองสามครั้ง แต่พอนางเริ่มหิวก็จะกลับมา” ชายชรากล่าวต่อ
คนหัวล้านโต้กลับว่า “เจ้าจะพูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก นางอายุเท่าไรเอง นางต้องทนทุกข์มากเพียงใด หากพี่น้องของนางไม่ปฏิบัติต่อนางอย่างรุนแรง นางจะวิ่งหนีไปหรือ? และแม่เฒ่าก็คงไม่พบจุดจบเช่นนี้”
ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวว่า “ทุกอย่างคือโชคชะตาฟ้าลิขิต นางไม่สามารถควบคุมมันได้ แม้นางจะไม่หนีไป แต่นางก็ไม่มีเงินสำหรับรักษาแม่ของนางอยู่ดี เด็ก ๆ เหล่านั้นช่างน่าเวทนาเสียจริง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหยียนอี้รู้สึกละอายใจ
ครอบครัวของพวกเขามีปัญหาดังกล่าว หากนางไม่เข้าไปยุ่งเมื่อคืน หรือถามพวกเขาอย่างรอบคอบเกี่ยวกับสถานการณ์ของพวกเขา โศกนาฏกรรมก็คงไม่เกิดขึ้น
หากนางให้เงินพวกเขาทันเวลา เมื่อคืนพวกเขาจะสามารถช่วยชีวิตแม่เฒ่าได้หรือไม่
นางจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เห็นตรงหน้ามากเกินไปโดยไม่สนใจเบื้องหลัง ทุกคนล้วนมีปัญหาของตัวเอง
หลังจากออกจากแผงเกี๊ยว เหยียนอี้ยังคงเหม่อลอย ก่อนถามอีกฝ่ายว่า “ข้าทำผิดหรือไม่”
หลางกวนเอ๋อร์ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อวานนี้ แต่เขาพอจะเดาเรื่องราวได้คร่าว ๆ เขาทำได้เพียงปลอบโยนนาง “แม่นาง เจ้าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด? ท้ายที่สุดมันก็แค่ว่าตระกูลเฉินโชคไม่ดี”
“ข้าจะขอโทษพวกเขา” เหยียนอี้พูดแล้วยิ่งรู้สึกย่ำแย่
หลางกวนเอ๋อร์คิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “แม่นางอย่าไป ครอบครัวของพวกเขากำลังจัดงานศพ หากคนแปลกหน้าไปที่นั่นพวกเขาอาจไม่พอใจได้”
“แต่ข้ารู้สึกไม่สบายใจหากข้าไม่ไป” เหยียนอี้ยืนกราน
งานศพของตระกูลเฉินในตรอกจีหลิ่วนั้นเรียบง่ายและไม่มีแม้แต่ผ้าสีขาวแขวนอยู่ที่ประตู มีเพียงญาติและเพื่อน ๆ ที่ร้องไห้และไว้ทุกข์ไม่กี่คน
ครอบครัวที่ยากจนไม่มีเงินจะตระเตรียมโลงศพ งานศพจัดขึ้นเรียบร้อยตั้งแต่เช้าตรู่ ตอนนี้มีแผ่นป้ายไม้อยู่ในบ้านหนึ่งแผ่น
พ่อของเขาป่วยในช่วงปีแรก ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถทำงานหนักได้ ทันทีที่ภรรยาของเขาเสียชีวิต ชีวิตของเขาก็เหมือนมีบางอย่างขาดหายไป เขานั่งอยู่ที่ประตูด้วยความงุนงง ดวงตาแดงก่ำไร้น้ำตา
เขาไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้เข้ามา ส่วนพี่ชายคนโตของตระกูลเฉินอารมณ์ไม่ดี เขาจำเหยียนอี้ได้และหมายจะเข้าไปต่อยนาง
น้องชายของเขารีบหยุดและตะโกน “พี่ชาย! มันไม่ใช่ความผิดของผู้หญิงคนนี้!”
พี่ชายกล่าวว่า “หากไม่ใช่เพราะนาง หยิงเอ๋อร์จะหนีไปได้อย่างไร? แล้วแม่จะกลายเป็นแบบนี้ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินชื่อของหยิงเอ๋อร์ พ่อเฒ่าก็ลุกขึ้นยืนและร้องไห้ด้วยเสียงแหบแห้ง “หยิงเอ๋อร์! หยิงเอ๋อร์! เจ้ากลับมาเถิด!”
เหยียนอี้โค้งคำนับอย่างสุดซึ้งที่แผ่นป้ายและพูดว่า “ข้าขอโทษ”
พี่ใหญ่เฉินพ่นลมอย่างเย็นชาและกำลังจะเชิญนางออกไป นางโค้งคำนับอีกครั้งและกำลังจะจากไป
หลางกวนเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของนางไว้ เหยียนอี้หันกลับมาและให้ถุงเงินแก่เขา จากนั้นก็เดินออกไป
หลางกวนเอ๋อร์ทำเป็นคุยกับญาติ ๆ ของผู้ตายแล้วแอบเอาเงินไปวางข้างหลังแผ่นป้ายแล้วรีบวิ่งออกไป
หลังจากที่พวกเขาจากไป ลูกชายเฉินเดินไปที่ป้ายและคุกเข่าลง เขาเห็นถุงเงินและหยิบมันขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามันหนักมาก เมื่อเขาเปิดมันจึงพบว่ามันคือทอง!
พวกเขาไม่เคยเห็นทองมากขนาดนี้มาก่อน? ทุกคนต่างตื่นตกใจ
เฉินผู้พี่วิ่งออกไปเพื่อจะคืนเงินแต่น้องชายหยุดเขา “ผู้หญิงคนนั้นใจดีมาก…”
พี่ใหญ่เฉินเอ็ดกลับไป “ถึงเราจะจนก็ไม่รับเงินแบบนี้!”
น้องชายร้องไห้ “เราไปแสดงที่สะพานเพื่อรับเงินจากผู้คน แม่ป่วยและเราไม่มีเงินซื้อยามารักษาจนแม่ตาย แม้แต่โลงศพก็ไม่สามารถซื้อได้ เจ้ายังไม่ต้องการเงินอีกหรือ อีกทั้งตอนนี้หยิงเอ๋อร์หนีไป แต่พี่ยังไม่คิดสนใจตามหา วันหนึ่งพี่จะทำให้ครอบครัวของเราล่มจม”
พี่ชายเฉินอารมณ์เสียและไม่เถียงต่อ เขารีบวิ่งออกจากประตูและเห็นหลางกวนเอ๋อร์ตะโกนไปรอบ ๆ ว่า “แม่นางเหยียน? แม่นางเหยียน? เจ้าอยู่ที่ใด?”
ตอนแรกหลางกวนเอ๋อร์คิดว่าเหยียนอี้น่าจะรออยู่ที่ประตู แต่เมื่อเขาออกมากลับไม่เห็นนางแล้ว!
ตรอกลึกและไม่มีที่ให้ซ่อน แล้วนางไปอยู่ที่ใด?
หลางกวนเอ๋อร์คิดว่าเหยียนอี้ล้อเล่นกับเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รีบร้อน เขาเรียกชื่อนาง แต่หลังจากรอมานานเขาก็ยังไม่เห็นนาง!
แม้พี่น้องของตระกูลเฉินจะไม่ชอบนาง แต่หญิงสาวคนหนึ่งหายตัวไปที่ประตูบ้านของพวกเขา นี่มันแปลกยิ่งนัก พวกเขาจึงช่วยหลางกวนเอ๋อร์ตามหานางด้วย
เขาค้นหาทั้งตรอก แต่ไร้ร่องรอย
“ช่างมันเถิด บางทีนางอาจจะกลับไปที่วังก่อนแล้วก็ได้” หลางกวนเอ๋อร์ปลอบตัวเอง จากนั้นกล่าวคำอำลาพี่น้องของตระกูลเฉินและรีบไปที่วัง
ทว่าเหยียนอี้ไม่ได้กลับไปที่วัง!
หลางกวนเอ๋อร์เป็นขันทีขั้นต่ำ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถตามหานางได้ทุกที่ในวัง แต่สำหรับนอกวัง เขาก็ไม่รู้จะไปตามหานางที่ใด
เปลือกตาของเขากระตุก เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองหาเหยียนจื่อ เมื่อเหยียนจื่อได้ยินว่าพี่สาวของนางหายไป นางคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องตลกในตอนแรก แต่เมื่อตกกลางคืนนางก็ยังไม่เห็นพี่สาว นางจึงวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่นางไม่รู้จักใครในวัง อีกทั้งไม่รู้จักใครในเมืองลั่วหยาง นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากเฉินฟู่เซิน
…
เมื่อเหยียนอี้เดินออกจากบ้านของตระกูลเฉิน ชายชุดดำคนหนึ่งยืนขวางทางนางและถามว่า “เจ้ารู้จักเฉินฟู่เซินหรือไม่”
ทันทีที่นางพยักหน้า นางก็รู้สึกเจ็บปวดที่คออย่างรุนแรง จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีดำ
เมื่อนางตื่นขึ้นมานางพบว่าตัวเองถูกขังอยู่ในห้องที่ไม่มีหน้าต่าง มีเพียงเทียนส่องแสงสลัวในห้อง
มือของนางถูกมัดด้วยเชือก แต่เท้าของนางเป็นอิสระ นางมองไปรอบ ๆ และพบว่ามีเพียงประตูบานเดียว
นางเดินไปที่ประตูอย่างเงียบ ๆ เมื่อนางกำลังจะเคาะ มันเปิดออกพร้อมกับปรากฏร่างของคนสองคน ทั้งคู่แต่งกายด้วยชุดสีดำ คนหนึ่งสวมเสื้อผ้ารัดรูป และอีกคนสวมเสื้อคลุม
ชายในชุดรัดรูปสีดำเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เขามีกล้ามเนื้อแน่น ใบหน้าดูไร้อารมณ์
ชายในเสื้อคลุมดูใจดี เขาอายุประมาณสามสิบปีและมีรูปร่างอ้วนเล็กน้อย
เหยียนอี้จำได้ว่าชายในชุดรัดรูปสีดำเป็นคนที่จับนาง เมื่อคิดว่าชายคนนี้รวดเร็วและโหดเหี้ยมเพียงใด นางเกิดกลัวเล็กน้อยและถอยหลังสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
“ข้าเรียกเฉินฟู่เซินมาหลายครั้ง แต่เขาไม่อยากมา ดังนั้นข้าจึงต้องจับเจ้าไว้ก่อน” ชายชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ปรากฏว่าพวกเขาต้องการพบเฉินฟู่เซิน นางนั่งลงเพื่อแสดงให้เห็นว่านางไม่ได้ตื่นตระหนกเลย ทั้งที่หัวใจของนางเต้นแรง
เหตุใดพวกเขาถึงลักพาตัวนาง? หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง เหยียนอี้ก็เข้าใจเหตุผล
คาดว่ายามนี้เฉินฟู่เซินอยู่ในวัง บริเวณรอบวังได้รับการปกป้องอย่างแน่นหนา พวกเขาไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ เมื่อคืนนี้พวกเขาบังเอิญเห็นเหยียนอี้ เหยียนจื่อ และเฉินฟู่เซินออกไปด้วยกัน
แต่มีคนอยู่บนถนนมากเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงต้องติดตามนางอย่างลับ ๆ พวกเขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฉินฟู่เซินนั้นไม่ธรรมดา พวกเขาจึงหวังใช้นางเพื่อล่อลวงเฉินฟู่เซินออกจากวัง
“ฮึ่ม มีเจตนาแอบแฝงนี่เอง!” เหยียนอี้พูดอย่างขุ่นเคือง
“ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เขามา ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า” ชายในชุดดำกล่าว
“เจ้าอยากวางกับดักเขาหรือ? ไม่มีทาง! เขาจะไม่ตกหลุมพรางที่เจ้าวางไว้แน่! ตอนนี้เขาเป็นองครักษ์จินอู๋ในวัง เจ้าทำอะไรเขาไม่ได้หรอก” เหยียนจื่อกล่าว
ชายชุดดำหัวเราะและพูดว่า “เจ้าน่าสนใจมาก”
จากนั้นทั้งสองคนก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับเทียนเล่มเดียว
ไม่มีหน้าต่างในห้อง เมื่อประตูค่อย ๆ ปิดลงนางก็ตกอยู่ในความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด
ความมืดนั้นน่าหดหู่และน่ากลัว พาให้ผู้คนเสียขวัญ
เหยียนอี้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เตือนตัวเองอยู่เสมอให้กล้าหาญและไม่แสดงความขี้ขลาดของนางต่อหน้าศัตรู อย่างไรก็ตามตอนนี้นางตกอยู่ในความมืดมิดและอดไม่ได้ที่จะนึกกลัวผีขึ้นมา
เมื่อนางนั่งอยู่บนพื้นนางรู้สึกเพียงว่าพื้นช่างเย็นเยียบ และยังรู้สึกขนลุกราวกับผีนับไม่ถ้วนคลานขึ้นไหล่ของนาง แต่ลำคอของนางเหมือนยัดด้วยผ้าฝ้ายนุ่ม ๆ ไม่อาจส่งเสียงออกไปได้
ห้องไม่ได้กันเสียงเท่าไร เมื่อนางพิงกำแพง นางได้ยินเสียงข้างนอก
ความมืดทำให้ความเงียบน่ากลัวยิ่งขึ้นและเสียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูเหมือนจะเป็นฟางช่วยชีวิต
นางได้ยินเสียงจากภายนอก “ฝ่าบาท จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาไม่มา”
จากนั้นก็เป็นเสียงของชายอีกคนดังขึ้น “เจ้าโง่…” ดูเหมือนว่าเขาจะกัดฟัน
“บางทีเขาอาจไม่ได้ชอบนาง” เป็นเสียงชายอีกคนที่ไม่คุ้นเคย
“การควบคุมคนที่มีความสามารถไม่ใช่เรื่องง่าย เขาหลุดรอดจากเงื้อมมือสำนักเทียนจีมาได้ และตอนนี้เขายังสามารถอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ได้อีก เจ้าทำได้อย่างเขาหรือไม่”
“ฝ่าบาท พระองค์ชื่นชมเขาเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ ลูกพี่ลูกน้องข้า… ข้าจะให้เจ้าทำอะไรดีนะ”
เหยียนอี้สับสนและได้แต่คาดเดาต่อไป แต่นางก็คิดไม่ออก
เฉินฟู่เซินเจ้าเป็นอะไรกับคนพวกนี้?
นางไม่รู้ว่านางถูกขังอยู่ในห้องขังนี้มานานแค่ไหนแล้ว นางหิวมากและอยากเข้าห้องน้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ นางตะโกนสองสามครั้ง แต่ไม่มีใครตอบ และนางก็ไม่ได้ยินเสียงใครข้างนอกนานแล้ว
พวกเขาหายไปไหน? ไม่มีใครป้องกันข้างนอกหรือ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เหยียนอี้ก็ลุกขึ้นยืนอย่างรีบร้อนและคลำไปตามกำแพงเพื่อค้นหาประตู ประตูมีน้ำหนักเบา พื้นผิวไม่เหมือนไม้ที่ดี หากเป็นคนที่รู้จักวรยุทธ์เช่นเฉินฟู่เซิน เขาอาจจะพังมันด้วยการเตะเพียงครั้งเดียวได้
แต่นางไม่ใช่เฉินฟู่เซิน ประตูไม่ขยับสักนิดหลังจากที่นางทุบอยู่หลายครั้ง ดูเหมือนว่าแม้คุณภาพของประตูจะไม่ดี แต่ก็ถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา
“เฮ้… มีใครอยู่ที่นี่ไหม? ข้าต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าและไปห้องน้ำ แก้มัดมือของข้าที! นี่มันเรื่องเร่งด่วนนะ! เจ้าจับข้ามาโดยไม่มีเหตุผลและขังข้าไว้เช่นนี้ เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ข้าอั้นฉี่จนตายได้หรอกนะ!”
เหยียนอี้เคาะประตูครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ก็ยังไม่มีการตอบสนอง
นางรอแล้วรอเล่าจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป นางเริ่มทุบประตูอีกครั้ง หลังจากทุบสองครั้งประตูก็เปิดออก
เมื่อแสงสว่างจ้าพุ่งเข้ามาในความมืด นางเกือบจะตาบอด
คนที่เปิดประตูด้วยกุญแจไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเฉินฟู่เซิน