ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 51 ผู้ให้ความบันเทิงบนท้องถนน
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 51 ผู้ให้ความบันเทิงบนท้องถนน
บทที่ 51 ผู้ให้ความบันเทิงบนท้องถนน
ทว่าเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดึงมือของนางออกจากมือของเหยียนอี้ และวิ่งหนีไปพร้อมกับปิดบังใบหน้าของนาง
เด็กหนุ่มสองคนเห็นสถานการณ์ พวกเขาไม่ทันได้เก็บของและไล่ตามนางไป
เหยียนอี้และเหยียนจื่อก็ต้องการไล่ตามเช่นกัน แต่พวกนางถูกเฉินฟู่เซินดึงออกมา “เรื่องครอบครัวของผู้อื่น เราไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป”
เหยียนจื่อกังวลเล็กน้อย “พี่รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน” พี่ชายคนใดจะโหดร้ายกับน้องสาวของเขาแบบนี้? จะเกิดอะไรขึ้นหากนางถูกลักพาตัวมาขาย?”
เฉินฟู่เซินพูดกับเหยียนจื่อว่า “ข้าคิดว่าพวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันเพราะเด็กหญิงคนนั้นมีใบหน้าค่อนข้างคล้ายกับพี่ชายของนาง”
เหยียนอี้รู้สึกเศร้ามาก “เด็กหญิงคนนั้นน่าสงสารจริง ๆ”
“มีคนยากจนมากมายในโลกนี้ เจ้าไม่สามารถช่วยทุกคนได้” เฉินฟู่เซินกล่าวอย่างเห็นใจ
เหยียนอี้ก้มศีรษะ หลังจากนั้นไม่นานก็พูดว่า “แต่หากข้าสามารถช่วยคนได้ ก็จะมีคนจนน้อยลงอย่างน้อยหนึ่งคน”
เหยียนอี้และเหยียนจื่อเห็นว่าพวกเด็กหนุ่มไม่ได้นำสิ่งของที่พวกเขานำมาแสดงไปด้วย ฉะนั้นพวกเขาต้องกลับมา นางจึงตัดสินใจรอ
เฉินฟู่เซินไม่ได้พูดอะไรแค่ยืนอยู่ข้างนาง
หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับมา พี่ชายจับนางไว้ในอ้อมแขน เด็กหญิงยังคงดิ้นรนราวกับว่าไม่เต็มใจ
เหยียนอี้ตะโกน “ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!”
“ปล่อยนางไป นางก็จะวิ่งหนีไปอีกน่ะสิ!” พี่ชายคนโตหยิบเชือกมาผูกที่ข้อมือน้องสาวและดุ “หากเจ้าวิ่งอีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะขายเจ้าให้กับซ่อง!”
เหยียนจื่อว่า “คนชั่ว! เจ้าไม่ใช่พี่ชายของนางหรือ? เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร!”
พี่ชายคนโตเงยหน้าขึ้น มองการแต่งกายของคนสามคนที่ทำตัวใจกว้างและและอดไม่ได้ที่จะพูดว่า
“โชคดีที่มีเงิน! คนรวยมีเวลาว่างขนาดเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัวของคนอื่น ผิดกับคนยากจนหาเลี้ยงปากท้องอย่างพวกเรา แม้แต่ครอบครัวก็ไม่สามารถดูแลได้”
เหยียนอี้เป็นเด็กจากครอบครัวที่ยากจน นางจะทนการปรักปรำครั้งนี้ได้อย่างไร?
ทันใดนั้นนางก็แย้งว่า “ข้าเพิ่งถามผู้คนบนถนนสายนี้ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าบนโลกนี้จะมีพี่ชายที่ปฏิบัติต่อน้องสาวอย่างโหดร้ายเช่นเจ้า!”
“เจ้าเป็นคนลักพาตัวเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ คนนี้เพื่อขายความสามารถหรืออย่างไร!”
ทันทีที่พี่ชายคนโตได้ยินสิ่งนี้ความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจ เขาโยนเด็กหญิงลงกับพื้นทันที และพุ่งเข้าไปจับเหยียนอี้
ศิลปะการต่อสู้ของเฉินฟู่เซินไม่ได้ด้อยกว่าชายที่หยาบกร้านคนนี้มากนัก ก่อนที่เขาจะสัมผัสเสื้อผ้าของเหยียนอี้ได้ เขาก็ต้องเผชิญกับเฉินฟู่เซินก่อน เฉินฟู่เซินเคลื่อนไหวอย่างชาญฉลาดและจับเขาโยนไปไกล
“พี่ใหญ่!” เด็กหนุ่มผู้หลบอยู่ข้าง ๆ กรีดร้องและรีบไปช่วยพี่ชายคนโตของเขา
เหยียนอี้วิ่งไปหาเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ชื่อ หยิงเอ๋อร์ เพื่อพยุงนางขึ้นมาและแกะเชือกออกจากข้อมือนาง
หยิงเอ๋อร์หมุนคลายข้อมือ แล้วมองกลับไปที่พี่ชายทั้งสอง ก่อนจะรีบวิ่งหายเข้าไปในฝูงชนอีกครั้งโดยไม่ได้กล่าวขอบคุณเหยียนอี้
พี่ชายทั้งสองตะโกนร้องเรียกนาง แต่มีหรือที่นางจะหยุดฟัง
หยิงเอ๋อร์ตัวเล็กและวิ่งเร็ว อีกทั้งฝูงชนก็เนืองแน่นในขณะนี้ ในไม่ช้าเด็กหญิงก็หายตัวไปในฝูงชน
พี่ชายคนโตที่ถูกทุบตีก่อนหน้านี้จ้องมองไปที่เหยียนอี้และเฉินฟู่เซินอย่างเดือดดาล ก่อนจะถ่มน้ำลายลงบนพื้นแล้วกวักมือเรียกน้องชายให้เก็บของเพื่อเตรียมจากไป
เหยียนอี้คิดว่านางทำสิ่งที่ยอดเยี่ยม นางมีความสุขมาก แต่ก็คิดว่าเด็กหญิงคนนั้นยังเด็ก นางวิ่งหนีไปและคงไม่กล้ากลับบ้าน นางจะทำอย่างไรกับค่ำคืนที่เงียบเหงาและขมขื่นเช่นนี้?
“ท่านพี่ เด็กหนุ่มสองคนนี้น่าจะเป็นพวกค้ามนุษย์แน่ ดังนั้นเราควรรีบไปรายงานกับพลลาดตระเวนเพื่อจับกุมพวกเขา!” เหยียนจื่อพูดกับเหยียนอี้
“เด็กโง่ ผู้ค้ามนุษย์จะแสดงความสามารถบนถนนได้อย่างไร? เป็นไปได้มากว่าพวกเขาซื้อเด็กคนนี้จากพ่อค้ามนุษย์ แม้จะไม่ยุติธรรม แต่ข้าจะไม่ลงโทษพวกเขาตามกฎหมาย ข้าทำได้เพียงขอให้พวกเขากลับไปเท่านั้น!” เหยียนอี้อธิบาย
“ไปกันเถอะ” ตอนนี้ดึกแล้ว พวกนางสองคนเสียเวลาโต้เถียงกันเนิ่นนาน บางทีพระราชวังชั่วคราวของฮ่องเต้อาจจะปิดในไม่ช้า ดังนั้นเฉินฟู่เซินจึงเตือนให้พวกนางกลับไป
เหยียนอี้รู้ว่าพวกนางจะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้ แต่นางยังไม่ได้เครื่องเทศที่นางต้องการซื้อในตอนแรก
ถึงแม้จะมีร้านเครื่องเทศหลายร้านบนถนนเส้นนี้ ทว่าร้านที่นางตั้งใจไปเป็นร้านที่ดีที่สุด การทำอาหารถวายฮ่องเต้ จะต้องทำให้ดีที่สุด นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากออกมาอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
คืนนั้นหลังจากที่นางกลับไป นางก็ทิ้งตัวเองลงบนเตียงและนึกถึงเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ
คืนนี้นางจะพักที่ไหน? นางจะมีชีวิตอยู่ในอนาคตได้อย่างไร?
แต่ตอนที่นางวิ่งหนีไป มีฝูงชนคลาคล่ำ แม้เหยียนอี้จะอยากช่วยนางทว่าก็หานางไม่เจอ
ลืมมันไปเถอะ ข้าไม่ใช่เจ้าแม่กวนอิมผู้ช่วยสรรพสัตว์เสียหน่อย มีคนที่น่าสังเวชมากมายในโลก ข้าไม่สามารถช่วยทุกคนได้’
“แต่ตั้งแต่ข้าเจอนาง ข้าก็ปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้” นางวางแผนที่จะไปซื้อของในวันพรุ่งนี้และสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเด็กหญิง มันจะดีที่สุดหากนางสามารถหาที่พักปลอดภัยได้
…
วันต่อมา เหยียนอี้ตั้งใจตื่นแต่เช้าตรู่และออกจากวังพร้อมกับขันทีชื่อหลางกวนเอ๋อร์
หลางกวนเอ๋อร์เป็นขันทีที่กำลังทำงานบ้านในห้องเครื่องของฮ่องเต้ของพระราชวังชั่วคราว เมื่อเหยียนอี้เข้าไปในห้องเครื่องครั้งแรก นางไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่ง หลางกวนเอ๋อร์ช่วยนางได้ไม่น้อยและบอกนางถึงกฎและขนบธรรมเนียมของพระราชวัง หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนอี้ก็เข้ากับอีกฝ่ายได้ดี
ขันทีคนนี้ยังเป็นคนฉลาด เขารู้ว่าฮ่องเต้ชอบฝีมือการทำอาหารของเหยียนอี้ ดังนั้นเขาจึงช่วยนาง เขาคิดว่าเมื่อนางกลับไปที่เมืองหลวงในอนาคต เหยียนอี้อาจสามารถช่วยย้ายเขาไปยังวังหลวงได้
ดังนั้นเขาจึงคอยตามหลังนางเสมอและกลายเป็นผู้ติดตามของนาง
ทันทีที่เขาได้ยินว่าเหยียนอี้กำลังจะออกจากวังเพื่อซื้อของ เขาก็รีบหาข้ออ้างที่จะติดตามนางทันที
ในตอนแรก เหยียนอี้ไม่คุ้นเคยกับเขาเท่าไรนัก อย่างไรแล้วนางก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่ไม่ต้องมีผู้ใดติดตาม แม้ผู้คนในวังจะรู้ว่านางรับผิดชอบทำอาหารให้ฮ่องเต้ แต่พวกเขาก็ไม่ได้แสดงความเยินยอต่อนางมากนัก
อย่างไรก็ตามขันทีนี้ปากหวานกว่าน้ำผึ้ง หลังจากอยู่กับเขามาเป็นเวลานาน เหยียนอี้ก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเลวอะไร แต่แค่เป็นคนประจบสอพลอเท่านั้น เนื่องจากนางไม่อาจขับไล่เขาไปไหนได้นางจึงทำได้เพียงคุ้นชินกับมัน
“เจ้าให้ข้าไปซื้อของแทนก็ได้ ประตูพระราชวังอยู่ไกลจากถนนจูเชวี่ย เหตุใดเจ้าต้องเหนื่อยมาที่นี่เอง” หลางกวนเอ๋อร์นำทางเหยียนอี้และพูดไม่หยุด
“ส่วนผสมธรรมดาเหล่านี้ พระราชวังมีของของตัวเอง แต่คราวนี้ข้าต้องการใช้พริกไทยจากภูมิภาคตะวันตกและเครื่องเทศมากมาย คนในวังมักจะไม่ใช้พวกมันทำอาหารมากนัก ข้ากลัวว่าเจ้าไม่เคยเห็นมาก่อน ดังนั้นเกรงว่าเจ้าอาจจะเลือกซื้อผิดอันได้” เหยียนอี้อธิบาย
“เข้าใจแล้ว ทุกคนในห้องเครื่องของเราโง่เขลา โปรดดูแลพวกเราด้วยเถิด” หลางกวนเอ๋อร์พูดแล้วตบหน้าผากตัวเอง
“ไม่ใช่ว่าข้าเกลียดเจ้า เพียงแค่พวกพ่อค้าเป็นคนเจ้าเล่ห์ พวกเขาอาจกลั่นแกล้งเจ้าที่ยังไม่เคยเห็นเครื่องเทศ อาจขายเครื่องเทศผิดชนิดให้เจ้าและอาจทำให้อาหารของฝ่าบาทมีรสชาติผิดไป และพวกเราทุกคนจะต้องทนทุกข์ทรมานกันหมด” เหยียนอี้กล่าว
หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ทั้งสองก็มาถึงถนนจูเชวี่ยที่นางมาเมื่อวาน ก็เห็นว่าร้านเปิดแล้ว เหยียนอี้ซื้อสิ่งที่นางต้องการ ส่วนหลางกวนเอ๋อทำหน้าที่ถือของให้นาง โดยที่นางไม่ต้องออกแรงเลยแม้แต่น้อย
เหยียนอี้ตื่นแต่เช้าและยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง เมื่อนางเห็นแผงเกี๊ยวข้าง ๆ ประกอบกับกลิ่นหอมอบอวลของต้นหอมสับ ชวนให้น้ำลายสอเหลือเกิน ดังนั้นนางจึงตัดสินใจกินเกี๊ยวซักชามก่อนที่จะกลับไปที่วัง
แม้หลางกวนเอ๋อร์จะกินอาหารเช้าแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็หิวเช่นกัน
มีผู้คนมากมายและไม่ได้มีที่นั่งมากนักในแผงเกี๊ยว พวกเขาทั้งสองจึงต้องหลบที่มุมพร้อมถือชามเอาไว้
หลางกวนเอ๋อร์กัดก่อน เขารู้สึกว่ามันร้อนเกินไปจึงวางมันลงและพูดกับเหยียนอี้ว่า “แม่นาง ตั้งแต่ข้าลิ้มรสเกี๊ยวที่เจ้าทำเมื่อครั้งที่แล้ว ข้ารู้สึกว่าอาหารอื่น ๆ ไร้รสชาติไปเลย”
เมื่อได้ยินเขาเริ่มประจบนางอีกครั้ง เหยียนอี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ “หากเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าก็ไม่กล้าทำอาหารให้คนในครัวของเจ้าอีกในอนาคต มิฉะนั้นหากข้าไม่อยู่ พวกเจ้าจะไม่อดตายหรือ”
หลางกวนเอ๋อร์หัวเราะคิกคักและพูดว่า “แม่นาง เจ้าคุ้นเคยกับการทำอาหารของเจ้า แล้วจะยังกินอาหารจากแผงขายของข้างถนนได้อย่างไร”
แต่เหยียนอี้กินด้วยความเพลิดเพลิน “อย่าพูดถึงมันเลย ข้ามักจะรู้สึกว่าอาหารที่คนอื่นปรุงนั้นดีกว่าของข้า”
“ไม่จริงอย่างแน่นอน ใจของฮ่องเต้เต็มไปด้วยความชื่นชมอาหารของเจ้า พ่อครัวแผงนี้จะเปรียบเทียบกับเจ้าได้อย่างไร” หลางกวนเอ๋อร์กล่าวประจบ
ในเวลานี้คู่สามีภรรยาที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พวกเขากินข้าวเสร็จและลุกออกไป เหยียนอี้จึงรีบคว้าที่นั่งและให้หลางกวนเอ๋อร์นั่งตรงข้ามนาง
นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีคนอื่น ๆ นั่งอยู่ที่นั่นด้วย เหยียนอี้นั่งลงและยิ้มให้พวกเขาเพื่อทักทาย
ชายชราคนหนึ่งที่กินแป้งทอดจำนางได้ เขาชี้ไปที่นางและพูดว่า “เฮ้ เจ้าไม่ใช่หญิงที่ก่อปัญหาบนถนนเมื่อคืนนี้หรือ”
“ท่านลุงพูดเช่นนี้ไม่ดีเท่าไรนัก ข้ามีปัญหากลางถนนเมื่อวานนี้จริง แต่ท่านไม่อาจพูดได้ว่าข้าสร้างปัญหา!”
ชายชราคนนั้นพ่นลมหายใจและเอ่ยว่า “เป็นเพราะเจ้า ครอบครัวเฉินถึงเกิดเรื่องใหญ่เมื่อวานนี้ เจ้าพอใจหรือยังเล่า”
“เกิดอะไรขึ้น? มันเกี่ยวอะไรกับข้า” เหยียนอี้ถามด้วยความสับสน
ชายวัยกลางคนหัวล้านอีกคนหนึ่งที่โต๊ะถามว่า “เจ้าหมายถึงตระกูลเฉินที่แสดงความสามารถในตรอกจีหลิ่วใช่หรือไม่”
“เป็นพวกเขา!” ชายชรากล่าว
เหยียนอี้ไม่เข้าใจ แต่นางไม่กล้าถามเมื่อนางเห็นใบหน้าของพวกเขามืดมนลง
เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้ไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ชายหัวล้านจึงอธิบายว่า “ครอบครัวเฉินในตรอกจีหลิ่วมีงานศพเมื่อเช้านี้”
“คนตาย?” หลางกวนเอ๋อร์ถามด้วยความสับสน
“เมื่อวานเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ของตระกูลเฉิน หยิงเอ๋อร์วิ่งหนีไป ข้าไม่รู้ว่านางไปที่ใด อีกทั้งสองพี่น้องของตระกูลเฉินไม่ได้เงิน ดังนั้นพวกเขาจึงกลับไปอย่างอารมณ์เสีย หญิงชราของตระกูลเฉินป่วยหนัก เมื่อนางได้ยินว่าลูกสาวตัวน้อยของนางวิ่งหนีไปนางก็โมโหมากจนขาดใจตาย” ชายหัวล้านกล่าว
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!” เหยียนอี้ตกใจมากจนเผลอปล่อยช้อนจนตกลงพื้น
“ไม่น่าแปลกใจที่หญิงชราของตระกูลเฉินป่วยหนักจนนางเหลือลมหายใจเพียงลมเดียว” ผู้หญิงอีกคนที่โต๊ะกล่าว
“ข้าไปที่นั่นเมื่อวานนี้และได้ยินหมอพูดเมื่อเดือนที่แล้วว่าหากไม่มีโสม แม่เฒ่าก็ไม่อาจมีชีวิตอีกต่อไป พี่น้องตระกูลเฉินจะหาซื้อโสมราคาแพงขนาดนั้นได้จากที่ใด”
“ถ้าเช่นนั้น… แล้วหยิงเอ๋อร์ล่ะ” เหยียนอี้ถาม
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” ชายชรากล่าว