ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 5 หาที่ปักหลัก(รีไรท์)
บทที่ 5 หาที่ปักหลัก(รีไรท์)
หลังจากพูดจบ นางก็เตรียมจะเข้าบ้าน ขณะนั้นเองก็เห็นร่างของเหอจวงและพ่อเฒ่าเหอกำลังกลับมาพอดี หลังจากนางทักทายพ่อเฒ่าเหอแล้ว เหอจวงก็เข้ามาหาสะใภ้จางทันที
ร่างกายของคนทั้งสองแนบชิดกันปานจะกลืนกิน สะใภ้จางดึงแขนเสื้อขึ้นเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเหอจวงอย่างระมัดระวัง พลางพูดด้วยน้ำเสียงราวกับจะร้องไห้ “เหอจวง ท่านเหนื่อยหรือไม่? วันนี้ฟางเอ๋อร์กลับมาแล้วนะ ตอนนี้นางกำลังหลับอยู่บนเตียง”
เหอจวงอายุห้าสิบสามปีแล้ว เขาเป็นชายชาวนาทั่วไป มีผิวคล้ำ ไม่เคยอ่านหนังสือเลยตั้งแต่ยังเด็ก และยังออกไปทำนากับพ่อเฒ่าเหอตั้งแต่เช้าตรู่
เขาโอบสะใภ้จางเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วหอบหายใจหนักออกมา “ฟางเอ๋อร์กลับมาแล้ว? ที่ชาวบ้านพูดเป็นเรื่องจริงงั้นรึ? ฟางเอ๋อร์ออกจากบ้านหลังนั้นแล้วจริงหรือ?”
“ไม่ใช่หรอก ทันทีที่นางเข้ามา นางก็ร้องไห้คุกเข่าอยู่ตรงหน้าท่านแม่ ทำท่านแม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้าล่ะละอายเกินจะกล่าว! นางแต่งงานออกไปแล้ว แต่จะกลับมาให้ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูงั้นรึ ท่านคิดว่าเรื่องนี้มันเหมาะสมหรือไม่เล่า?” สะใภ้จางควงแขนเหอจวงแล้วเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
ทันทีที่เข้าไปในลานบ้าน เหอจวงก็จ้องไปที่เหอซื่อด้วยสีหน้ามืดมน จากนั้นเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “ฟางเอ๋อร์ เจ้ามันอกตัญญูต่อพ่อแม่จริง ๆ อีกทั้งวันนี้เจ้ากลับมาพร้อมกับลูกสองคนด้วย! พ่อแม่เป็นหนี้บุญคุณเจ้าหรือไร!”
“ท่านพี่ ข้าไม่มีทางเลือก เราไม่อยู่ที่นี่นานนักหรอก แค่ขออยู่สักสองสามวัน แล้วข้าจะพาเด็ก ๆ ออกไปทันที” ใบหน้าท่านแม่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ แต่ก็ยังอดกลั้นน้ำตาเอาไว้
พ่อเฒ่าเหอเอามือไพล่หลังและถอนหายใจ “เอาล่ะ ๆ คุยเรื่องนี้ตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน! กินข้าวเสีย! เหยียนอี้ไปเรียกท่านยายของเจ้ามาซะ”
ทันทีที่พวกเขาเข้าประตูบ้านมา เหยียนอี้ก็มองไปที่พ่อเฒ่าเหอ คำพูดของหัวหน้าตระกูลเหอมีน้ำหนักมาก เพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนหุบปากและกินอาหารเย็นกันแล้ว
ในช่วงปลายฤดูร้อน ท่ามกลางบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดิน ท่านแม่เก็บชามข้าว ก่อนจะพาเหยียนอี้และเหยียนจื่อไปนั่งใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อรับร่มเงา เหยียนจื่อนอนบนพื้น ส่วนเหยียนอี้นั้นคอยปัดยุงให้
“ท่านแม่เจ้าคะ พรุ่งนี้ไปหาที่อยู่อื่นกันเถิด ในหมู่บ้านยังมีบ้านร้างที่ผุพังอยู่ไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ไปคุยกับท่านหลี่เจิ้ง ให้เงินเขาเพื่อให้เราได้อาศัยที่นั่นสักระยะนึงเถิด” กล่าวเสร็จเหยียนอี้ก็เงยหน้าขึ้นไปมองนกที่โบยบินบนท้องฟ้าพลางคิดถึงวันข้างหน้า
ท่านแม่วางแผ่นหลังพิงลำต้นของต้นไม้ สีหน้าครุ่นคิด เมื่อเวลาผ่านไปสักพักนางจึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “คอยดูท่าทีท่านยายของเจ้าก่อนเถิด แล้วดูว่าท่านตาเจ้าจะพูดอย่างไร ท่านตาของเจ้ายังมีกระท่อมโทรม ๆ หลังน้อยที่ไม่มีใครต้องการอยู่ พวกเราไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้”
“ต่อให้ท่านตาเห็นด้วย แล้วท่านป้าสะใภ้จะเห็นด้วยหรือเจ้าคะ? ดูสิว่าวันนี้ท่านป้าพูดถึงท่านแม่อย่างไร” เหยียนอี้พิงไหล่ของมารดา นางขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองไปยังทิศทางของลานบ้าน ไม่รู้เลยว่าตัวเองเผลอหลับซบไหล่ของมารดาไปตั้งแต่เมื่อใด
เมื่อถึงเวลาถือตะเกียง แม่ลูกทั้งสามก็ถูกเรียกไปที่ห้องหลัก
เหยียนอี้เห็นพ่อเฒ่าเหอกล่าวอย่างจริงจังกับครอบครัวตนว่า “ฟางเอ๋อร์ ข้าตกลงกับแม่ของเจ้าแล้ว สถานการณ์ของครอบครัวเราไม่ค่อยดีนัก ข้าไม่อาจเลี้ยงดูพวกเจ้าทั้งสามได้ พาเหยียนอี้และเหยียนจื่อไปด้วยเสีย พวกเจ้าจะต้องพึ่งพาตัวเองสำหรับการใช้ชีวิตในวันข้างหน้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เหอซื่อก็ร้องไห้ออกมาทันที นางจับมือทั้งสองข้างของเหยียนอี้ไว้แน่น คุกเข่าลงกับพื้นแล้วกล่าวกับพ่อเฒ่าเหอว่า “ท่านพ่อ ลูกสาวทั้งสองของข้าไม่มีโอกาสได้กตัญญูต่อท่าน ข้าขอโทษท่านพ่อและท่านแม่จริง ๆ”
“เอาล่ะ เวลานี้ก็ค่ำมืดมากแล้ว แยกย้ายกันไปทำธุระเสีย พรุ่งนี้เช้าก็กินข้าวเสีย ข้ารู้ว่าเจ้ามีน้ำใจและเห็นอกเห็นใจครอบครัวเราอยู่” พ่อเฒ่าเหอกล่าวเสร็จก็ยกบุหรี่แห้งขึ้นมาสูบอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ถือว่าเขาได้ช่วยเท่าที่จะช่วยได้แล้ว
แต่ถึงกระนั้นทุกคนก็ยังคงได้ยินเสียงกระซิบกระซาบจากสะใภ้จาง
“ท่านพ่อลำเอียงเสียจริง กี่ครั้งแล้วที่ข้าพูดเรื่องกระท่อมเล็ก ๆ โทรม ๆ หลังนั้น แต่ท่านพ่อก็ไม่เห็นด้วย นางมันเป็นลูกสาวคนโปรดนี่นะ เพียงแค่ร้องไห้ก็ได้ทุกอย่างแล้ว” สะใภ้จางกระซิบกับเหอจวง ยิ่งคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้นางก็ยิ่งเจ็บใจ
เหยียนอี้เหลือบมองไปที่สะใภ้จาง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองคนอื่น ๆ แล้วก้มศีรษะลงไปโดยไม่เอ่ยอะไร
“ทำไมเจ้าไม่พูดเล่า ข้าพูดถูกใช่ไหม? น้องสาวของท่านช่างน่าละอายเสียจริง ดูท่านสิ! ทำงานหนัก ข้าเองก็ทำงานทุกวัน แต่ท่านพ่อของท่านกลับลำเอียงเข้าข้างนาง!” เมื่อเห็นว่าเหอจวงไม่กล่าวอะไร สะใภ้จางจึงบ่นต่อ
แต่แล้วจู่ ๆ เหอจวงก็ลุกขึ้นยืนมองสะใภ้จางด้วยความโกรธและเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ถ้าเจ้ายังพูดมากอยู่อีกก็ออกไปจากที่นี่เสีย ถ้าไม่อยากอยู่นักก็ออกไป!”
เสียงคำรามนี้ทำให้สะใภ้จางเงียบลงทันที และกลับไปที่ห้องของตนอย่างเงียบ ๆ
วันรุ่งขึ้นหลังอาหารเย็น ท่านแม่เก็บของ กล่าวลาสองสามคำกับแม่เฒ่าเหอและพ่อเฒ่าเหอ จากนั้นจึงพาเหยียนอี้และเหยียนจื่อไปยังกระท่อมหลังที่ว่า
บอกได้เลยว่านางรู้สึกราวกับอกหักจริง ๆ!
สถานที่แห่งนั้นอยู่ทางทิศใต้ของหมู่บ้าน ตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ มีวัชพืชงอกสูงถึงเข่า หากจะเข้าไปก็ต้องก้าวข้ามวัชพืชเหล่านี้ รั้วเรียงตัวคดเคี้ยว บางส่วนเสียหาย สัมผัสเพียงนิดก็ทรุดตัวทุกเมื่อ
หลังคากระท่อมมุงจากขาดใช้การไม่ได้ พอเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นท้องฟ้า ไม่มีเก้าอี้และโต๊ะ ด้านในมีแต่ที่นอนเน่า ๆ ที่นอนได้เพียงสองคน อีกทั้งตอนนี้บนที่นอนมีแมงมุมตัวใหญ่กำลังหมุนใยของมันอย่างเชื่องช้า
แม้แต่ยามเช้า ไอแดดในฤดูร้อนยังร้อนเสียจนแผดเผาดิน ทำให้คนรู้สึกจิตใจสั่นไหว จักจั่นบนต้นไม้ยังคงส่งเสียงหรีดหริ่ง เด็กเปลือยก้นหลายคนกำลังจับจักจั่นใต้ต้นไม้ คุยกันเซ็งแซ่กันว่าคืนนี้จะปรุงเนื้อจักจั่นสุกกินกัน
“ท่านแม่เจ้าคะ กระท่อมหลังนี้… มันพังแล้วจริง ๆ” เหยียนอี้ยืนอยู่กลางลาน ถอนหายใจออกมา ตอนนี้นางไม่มีแม้แต่ที่พักอาศัย อดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับชีวิตในวันข้างหน้า