ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 48 การจัดทัพที่ยากลำบาก(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 48 การจัดทัพที่ยากลำบาก(รีไรท์)
บทที่ 48 การจัดทัพที่ยากลำบาก(รีไรท์)
หลี่หรงอวี่ตรัสด้วยรอยยิ้ม “ดีแล้วที่เสด็จพ่อต้องการเลื่อนยศเขา แต่ข้าเกรงว่าเขาจะไม่อาจโน้มน้าวประชาชนได้ เขามาจากนายกองท้องถิ่น มิสู้ให้ท่านลุงมาช่วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ส่ายหัว “ลุงของเจ้าเป็นแม่ทัพอายุเจ็ดสิบปีแล้ว เขาจะเข้าสู่สนามรบได้อย่างไร”
หลี่หรงอวี่กล่าวว่า “ถึงลุงของหม่อมฉันจะแก่มาก แต่จิตวิญญาณของเขายังคงเดิม หากเสด็จพ่อยืนกรานไม่ปล่อยให้เขาไปรบเพราะกลัวจะได้รับคำวิพากษ์วิจารณ์ ก็ส่งเขาไปทางเหนือให้เขาคุมทัพ เมื่อมีทหารผ่านศึกอยู่ในกองทัพจะทำให้ขวัญกำลังของทหารมั่นคงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ถอนหายใจและกล่าวว่า “ก็ได้ ข้าสนใจแต่ทางด้านพลเรือนมากกว่ากำลังทหารมาหลายปี พอเกิดเรื่องขึ้นมา กลับไม่มีแม้แต่คนที่เป็นประโยชน์ ดังนั้นแล้วแต่เจ้า ส่วนเรื่องการจัดกองทัพ ไปเจรจากับกรมกลาโหมในวันพรุ่งนี้”
หลี่หรงอวี่ตกลงและกำลังจะจากไป แต่ฮ่องเต้รั้งเขาไว้ “เจ้ายกยอน้องแปดของเจ้าเหลือเกิน เหตุใดไม่พูดถึงน้องสี่ของเจ้าบ้างล่ะ”
หลี่หรงอวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาจำต้องพูดความจริงว่า “น้องสี่คุ้นเคยกับตำราพิชัยสงครามเป็นอย่างดี ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็เป็นเลิศ หากท่านพ่อเห็นว่าน้องสี่สมควร หม่อมฉันก็มิจำเป็นพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พึมพำอย่างเย็นชา “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทุกคนคับข้องใจ”
องค์ชายสี่นามว่า หลี่หรงซือ เป็นบุตรชายของสนมจางซึ่งเป็นนางสนมคนโปรดในราชวงศ์ อาจารย์ของเขามีชื่อเสียงและโดดเด่น ครั้งหนึ่งเขาเคยเข้าร่วมงานประลองยุทธ์ในนามลูกชายคนโตของตระกูลจาง ฝีมือเลิศเป็นอันดับสอง ทว่าเขาเป็นทายาทฮ่องเต้ ไม่อาจแสดงศิลปะการต่อสู้ได้ ชื่อเสียงของเขาจึงเป็นโมฆะไป
หลี่หรงอวี่เข้ากันได้ดีกับพี่น้องของเขาเสมอ ยกเว้นน้องสี่ ดังนั้นเขาจึงหลีกเลี่ยงการตอบ
“เจ้าจงไปบอกให้เจ้าแปดไปทางใต้ และเจ้าสี่ไปทางเหนือเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์เสีย” ฮ่องเต้กล่าว
หลี่หรงอวี่รับคำและจากไปอย่างสุภาพ
เขารู้ว่าท่านพ่อไม่ยุติธรรม แต่เขาไม่อาจพูดอะไรได้
อาณาจักรเหยียนทางตอนเหนือนั้นทรงพลัง หากอาณาจักรอวี๋ต้องต่อสู้ในสองแนวรบ คงไม่พ้นต้องถูกลากไปตายหรืออย่างไร?
ดังนั้นหลี่หรงอวี่วางแผนที่จะไม่ต่อสู้กับอาณาจักรเหยียน
อิงกั๋วกงและหลี่หรงซือ พวกเขาเป็นคนแก่และคนหนุ่ม คนหนึ่งมีอารมณ์รุนแรง ส่วนอีกคนเป็นชายที่หมกมุ่นอยู่กับฐานะองค์ชาย หวังสร้างชื่อให้กับตน ย่อมนำมาซึ่งสงคราม หากส่งทั้งสองไปทางเหนือจริง ๆ มันจะดีได้อย่างไร?
ฮ่องเต้บอกว่าหลี่หรงซือก็ถือเป็นองค์ชาย แม้เขาจะส่งทหารผ่านศึกที่รอบคอบไปด้วยอีกคนเพื่อให้เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด แต่ใครจะกล้าไปต่อกรกับองค์ชาย?
กองกำลังสามแสนในอาณาจักรทางเหนือควรมอบให้แก่หลี่หรงซือหรือ?
ไม่ใช่ว่าองค์รัชทายาทไม่ยอมรับความสามารถของน้องชายคนนี้ แต่แดนเหนือไม่ใช่สถานที่ที่จะสามารถเริ่มสงครามได้!
หลี่หรงอวี่อารมณ์เสียมาก แต่เขาไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงเดินไปรอบ ๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วทอดถอนใจ
เมื่อเขาเดินไปที่สวนของลาน หลี่หรงอวี่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังลั่นฟังดูเหมือนเป็นกลุ่มขันที แต่มีเสียงที่สดใสของสตรีอยู่ด้วย
“หลางกวนเอ๋อร์ วางบันไดทางทิศตะวันออกหน่อย ตรงนั้นยังมีอีก”
“ตกลง!”
“สาวน้อย ข้าเก็บสมุนไพรมามากมาย แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ?”
“ไม่น่าแปลกใจที่นายของเจ้าบอกว่าเจ้าเกียจคร้านตลอดเวลาเพียงครึ่งตะกร้าของดอกฮวาย[1] ก็คิดจะพอแล้วงั้นหรือ!”
“แม่นางเหยียน ดอกไม้ครึ่งตะกร้าไม่พอหรือ เราจะทำอาหารให้ฮ่องเต้จานเดียวเท่านั้นไม่ใช่หรือ”
ดูเหมือนว่าแม่นางเหยียนและขันทีกำลังทำอะไรบางอย่าง ดังนั้นเขาจึงเดินตามเสียงไปและเห็นกลุ่มคนที่ล้อมรอบต้นฮวายใหญ่ในสวน เหยียนอี้และขันทีกำลังปีนบันไดเพื่อเก็บดอกฮวาย และคนอื่น ๆ คอยจับบันไดไว้
โจวเจีย ขันทีรับใช้เป็นคนช่างสังเกตมากที่สุด เมื่อเขาเห็นหลี่หรงอวี่ ก็รีบดึงแขนเสื้อของคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาและเดินเข้าไปทำความเคารพทันที
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันขององค์รัชทายาท ทุกคนก็รีบคุกเข่าลง ทำให้ไม่มีใครจับบันไดให้คนสองคนที่ปีนอยู่ อีกทั้งพวกเขาพะว้าพะวงรีบปีนลงมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเลยตกลงจากบันได
“ไม่นะ!” เหยียนอี้ที่ปีนขึ้นไปบนจุดสูงสุดตกใจ นางอุทานออกมาร่างร่วงหล่นลงพื้น
หลี่หรงอวี่รีบก้าวไปข้างหน้า ใช้วิชาทะยานบันไดเมฆา[2] เหยียบลำต้นของต้นไม้ เอื้อมมือไปจับเหยียนอี้ไว้ในอ้อมแขนแล้วลงพื้นอย่างแผ่วเบาและปลอดภัย
ขันทีอีกคนที่ไม่มีใครมารับไว้จึงตกลงกับพื้น โชคดีที่เขาไม่ได้ปีนสูง จึงไม่ได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหรือกระดูก แต่เขาก็ตกลงมาแรงจนต้องส่งเสียงร้องโอดครวญ
เหยียนอี้คิดว่านางคงจะตกลงพื้นแข้งขาหัก ไม่คาดคิดว่าจะอยู่ในอ้อมแขนขององค์รัชทายาทเช่นนี้
นางลืมตาขึ้นด้วยความงุนงง หัวใจของนางเต้นเร็วรัวส่งให้ใบหน้าของนางพลันแดงก่ำ
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายของนาง หลี่หรงอวี่ก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาวางนางลงบนพื้นอย่างระวังแล้วจัดผมให้นาง
“ขอบคุณ… ขอบคุณที่ช่วยชีวิตหม่อมฉันเพคะ องค์รัชทายาท” ผ่านไปนาน ในที่สุดนางก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นางจึงรู้ตัวว่าต้องคุกเข่าทำความเคารพ
หลี่หรงอวี่ให้ทุกคนลุกขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม “เหตุใดเจ้าถึงเลือกดอกฮวาย”
“หม่อมฉันจะทำขนมดอกฮวายสำหรับฝ่าบาทเพคะ” เหยียนอี้ตอบกลับ
“ขนมดอกฮวาย? เจ้าถูน้ำดอกไม้ลงในแป้งงั้นหรือ?” หลี่หรงอวี่ถาม
เหยียนอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ท่านจ้าวกล่าวว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงอารมณ์ไม่ดี ทรงขอให้เราทำสิ่งใหม่ ๆ ให้มากขึ้น หม่อมฉันเห็นว่าดอกฮวายในสวนบานสะพรั่ง หากใช้ทำอาหารก็จะให้ความสดชื่นเพคะ”
หลี่หรงอวี่หยิบดอกฮวายจากตะกร้าที่พวกเขาเก็บมาแล้วตรัสว่า “ใช้ดอกไม้ทำอาหาร พบเห็นได้บ่อยนัก แต่ว่าดอกไม้ในวังไม่ค่อยสด ไหนจะเบ่งบานทุกที่ในลั่วหยางและเมืองหลวง”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “หากอาหารที่เตรียมโดยสาวน้อยสามารถพบเห็นได้ทุกที่ในลั่วหยาง ฮ่องเต้คงไม่บังคับสาวน้อยคนนั้นมาที่วังหรอกจริงหรือไม่เพคะ”
หลี่หรงอวี่จึงถามต่อ “เช่นนั้นจงบอกมาว่าขนมดอกฮวายที่เจ้าทำมีความพิเศษอย่างไร?”
“เวลาที่เก็บดอกฮวาย อย่าเลือกกลีบดอกที่แห้งเหี่ยว ให้เลือกกลีบที่สวย เด็ดมันออกจากก้านและนำก้านไปแช่ในน้ำ”
“นำกลีบมาใส่ในหม้อใบใหญ่เพื่อนึ่งสลับกับตากแห้งสามรอบ จากนั้นกรองน้ำออก ใช้กลีบดอกประมาณหนึ่งชั่งครึ่ง”
“ต่อมานำกลีบดอกผสมกับแป้งสาลีและน้ำตาลทรายขาวทำเป็นขนม นำแกนดอกไม้ที่แช่น้ำก่อนหน้านี้ไปตากแห้ง นำไปทอดเพื่อทำชาหอม เพียงเท่านี้ก็จะได้ขนมดอกฮวายกลิ่นหอมหวานและรสชาติที่แสนอร่อย กินคู่กับชาหอมจากแกนดอกไม้ที่มีรสขมติดปลายลิ้นเล็กน้อย ยิ่งช่วยให้รสโอชามากขึ้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่หรงอวี่ก็หัวเราะ “วิธีทำของเจ้าเหมือนกับการเก็บดอกฮวายทั้งต้นเพียงเพื่อให้ได้ขนมแค่สามถึงห้าก้อนอย่างไรอย่างนั้น”
เหยียนอี้กล่าวจริงจัง “อาหารของฮ่องเต้จะทำอย่างสะเพร่าไม่ได้เพคะ กระบี่ต้องผ่านการลับอย่างอดทน การปรุงอาหารก็ต้องใช้ความมุมานะมากกว่านั้นเพคะ”
หลี่หรงอวี่วุ่นอยู่แต่เรื่องบ้านเมือง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กินอะไรมาก่อนหน้านี้ เมื่อพูดคุยกับเหยียนอี้อยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกหิวขึ้นทันใด หลี่หรงอวี่ลูบท้องตนแล้วสั่งขึ้น
“วันนี้คงไม่อาจได้กินขนมดอกฮวายของเจ้า แต่ตอนนี้ข้าหิวมาก เจ้าช่วยทำอาหารส่งไปที่ตำหนักเวยอวิ๋นที”
ทุกคนตอบรับและรีบออกไป
ไม่นานหลังจากที่หลี่หรงอวี่กลับไปที่ห้องบรรทม คนรับใช้ในห้องเครื่องของวังชั่วคราวก็นำอาหารมาให้ มันคือไข่ตุ๋นโรยหน้าด้วยต้นหอม ผักตุ๋นในหม้อดินเผา เผือกทอด และสาลี่ในขวดแก้วเคลือบ
หลี่หรงอวี่หยิบสาลี่ขึ้นมาเชยชมก่อน มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มถูกวาดไว้ด้วยชาดด้านหนึ่ง และใบหน้าร้องไห้ด้วยน้ำหมึกอีกด้านหนึ่ง แลดูน่าสนใจจนเขาทำใจกินไม่ลง
เขารู้ว่าตอนที่เขาอยู่ในสวน สาวน้อยคนนี้ต้องเห็นหน้าเศร้าหมองของเขาเป็นแน่ นางจึงวาดอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้เพื่อให้เขามีความสุข
“เห็นข้าเป็นเด็กหรืออย่างไร?” หลี่หรงอวี่ส่ายหัวพลางคลี่ยิ้ม จากนั้นเขาก็วางสาลี่ไว้ข้าง ๆ
ขันทีใส่ไข่ตุ๋นลงในชามใบเล็กแล้วยื่นให้หลี่หรงอวี่ด้วยความเคารพ
หลังจากกินไปสองคำ หลี่หรงอวี่ก็มีความอยากอาหารขึ้น เขาหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินต่อ
ขณะที่เขารับประทานอาหารอยู่ องค์ชายแปด หลี่หรงเฉิง พรวดเข้ามาแล้วตะโกนว่า “พี่รอง!”
โดยไม่ต้องวางตะเกียบ หลี่หรงอวี่ขอให้ใครบางคนนำเก้าอี้มาให้น้องชายนั่ง ก่อนจะตรัสว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะพูดอะไร ข้าบอกเสด็จพ่อแล้ว”
แม้ก้นของหลี่หรงเฉิงเพิ่งจะสัมผัสเก้าอี้ เขาก็ต้องลุกพรวดขึ้นอีกครั้ง “เสด็จพ่อตกลงที่จะให้ข้านำทัพปราบหนานโจวหรือไม่”
หลี่หรงอวี่บอกให้เขานั่งลงอย่างเงียบ ๆ “เจ้ายังเด็ก ไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ ท่านพ่อขอให้เจ้าไปช่วยดูทัพเท่านั้น”
หลี่หรงเฉิงพอใจกับผลลัพธ์มาก เขาตรัสว่า “ตราบเท่าที่เสด็จพ่อเต็มใจที่จะเชื่อข้า และไม่มีความขัดแย้งใด ๆ กับข้า แค่นั้นก็พอแล้ว”
“เสด็จพ่อชอบเจ้าเสมอ แม้เขาจะบันดาลโทสะไปเมื่อไม่กี่วันก่อน แต่เขาก็ไม่ได้โกรธเจ้า” หลี่หรงอวี่ตรัสต่อ “แต่เจ้ายังบาดเจ็บอยู่ ข้าไม่อยากให้เจ้าลำบาก”
หลี่หรงเฉิงตบหน้าอกเพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตนเอง “หนานโจวอยู่ห่างออกไปตั้งหลายพันลี้ กองทัพของศัตรูจะเคลื่อนเร็วแค่ไหนกันเชียว หากข้าได้พักที่แดนใต้สักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว”
หลี่หรงอวี่ตรัส “คราวนี้ ท่านพ่อไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวง แต่ได้เรียกกลุ่มขุนนางเก่าไปยังพระราชวังชั่วคราวของเมืองลั่วหยาง เพราะตั้งอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ การเคลื่อนพลก็ล้วนเร็วทั้งนั้น ข้าคิดว่าเจ้าควรเคลื่อนพลไปที่ซานตงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า อาจจะไม่ได้พักสักสองสามวัน”
“เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงต้องเคลื่อนพลจากซานตงไปยังอาณาจักรหนานโจว? ทัพของท่านมู่มิได้ประจำอยู่ที่ตรงนั้นแล้วหรือ?” หลี่หรงเฉิงกล่าว
หลี่หรงอวี่มองหน้าหลี่หรงเฉิงครู่หนึ่ง ก่อนพูดแผ่วเบาว่า “เสด็จพ่อส่งแม่ทัพหลงเซี่ยงชือแห่งอู่เว่ยไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทางใต้”
“อา… เหตุใดเขาต้องไปไกลถึงเพียงนั้น” หลี่หรงเฉิงไม่อาจเข้าใจได้
“เป็นคำแนะนำของข้าเอง” หลี่หรงอวี่ตอบ
“พี่รอง ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?” หลี่หรงเฉิงตกใจอีกครั้ง
หลี่หรงอวี่ใบหน้าหมองหม่น เขาก้มศีรษะลงและจิบชาก่อนกล่าวต่อว่า “ข้าแนะนำเสด็จพ่อให้ส่งเจ้าไปทางทิศใต้ เสด็จพ่อจะส่งเจ้าสี่ไปทางเหนือ”
“พี่สี่?” หลี่หรงเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักได้ในทันใด “อา มิแปลกใจเลยที่ต้องไปสมทบท่านมู่”
หลี่หรงอวี่รู้ว่าน้องแปดของเขาไม่ค่อยระวัง และในราชสำนักก็เต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนน้องชายว่า “หากมีพระราชโองการลงมา แต่งตั้งตำแหน่งเจ้าสี่สูงกว่าเจ้า อย่าถามเขาและอย่าแสดงความไม่พอใจ”
หลี่หรงเฉิงพยักหน้า เมื่อเห็นลูกสาลี่อยู่บนโต๊ะ เขาก็หยิบมันขึ้นมาโดยไม่ดูให้ดีแล้วยัดมันเข้าปาก
“เห้ย!” หลี่หรงอวี่อยากจะคว้าลูกสาลี่ แต่หลี่หรงเฉิงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร คนใช้ต้องล้างลูกแพร์ก่อนที่พวกเขาจะนำมาที่นี่อยู่แล้ว”
เขากัดคำใหญ่ และรู้สึกถึงรสคาวและขมในปากของเขา เขาไม่อาจบอกได้ว่ารสชาติแปลก ๆ นี้คืออะไร จนเขาต้องคายออกมาและตะโกนว่า “นี่คือสาลี่พิษชนิดใดกัน!”
[1] ดอกฮวาย คือดอกไม้ชนิดหนึ่งของจีน มีสีเหลือง และมีสรรพคุณเป็นยารักษาโรค
[2] ทะยานบันไดเมฆา (梯云纵) วิชาหนึ่งในสำนักบู๊ตึ๊ง