ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 47 ความทะเยอทะยานของหนานโจว(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 47 ความทะเยอทะยานของหนานโจว(รีไรท์)
บทที่ 47 ความทะเยอทะยานของหนานโจว(รีไรท์)
ฮ่องเต้ชื่นชมความช่วยเหลือของเฉินฟู่เซินอีกครั้งและขอให้เขาสอบปากคำศัตรูที่ยังรอดชีวิต
พวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทาง ฉะนั้นพวกเขาจึงไม่มีเครื่องมือทรมานที่ใช้การได้เลย แต่มือสังหารเหล่านั้นเป็นพวกเดนตายที่ไม่เห็นโลงศพย่อมไม่หลั่งน้ำตา
เฉินฟู่เซินขอให้คนหาเชือกผูกไว้บนต้นไม้ใหญ่แล้วแขวนศัตรูห้อยหัวลงมา จากนั้นฟาดหน้าพวกเขาทีละคนอย่างรุนแรงจนต้องกรีดร้องเสียงดัง
สุดท้ายก็มีคนยอมพูดความจริง เป็นนักฆ่าที่ส่งมาจากอาณาจักรหนานโจว
เฉินฟู่เซินปล่อยนักฆ่าที่ยอมพูดให้ลงมาจากต้นไม้ เหวี่ยงเขาไปอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ส่วนคนที่เหลือฆ่าทิ้งทั้งหมด
ใบหน้าของนักฆ่าเต็มไปด้วยเลือด เฉินฟู่เซินตั้งใจจะทำให้กลัวโดยการเอาถุงผ้าสีดำคลุมหัวไว้
เมื่อผู้คนมองไม่เห็นโลกภายนอก ความตื่นตระหนกในหัวใจจะรุนแรงขึ้น ด้วยเสียงทุ้มต่ำและเยือกเย็นของเฉินฟู่เซิน อีกทั้งยังถูกทุบตีและเตะ สุดท้ายจึงยอมสารภาพทุกอย่าง
อาณาจักรหนานโจวอยู่ภายใต้การควบคุมของราชวงศ์อวี๋มาหลายชั่วอายุคน ตลอดมาที่ฮ่องเต้หนานโจวอยู่ในอำนาจ เขาจะยอมจำนนต่อราชวงศ์อวี๋เป็นการแสดงถึงความซื่อสัตย์
แต่เมื่อหนึ่งปีก่อน ชายหนุ่มคนหนึ่งก็มาถึงอาณาจักรหนานโจว เขาอ้างว่าเป็นทูตของอาณาจักรเหยียน อีกทั้งยังมีตราหยกของราชวงศ์ของอาณาจักรเหยียนด้วย
หลังจากที่ชายคนนั้นเข้าไปในวัง เขาพูดอะไรบางอย่างกับฮ่องเต้แห่งหนานโจวผู้รอบคอบมาตลอดชีวิตให้คิดว่า ตราบใดที่ร่วมมือกับอาณาจักรเหยียนทางตอนเหนือ เขาจะสามารถโจมตีจากบนลงล่างและบุกเข้าไปในอาณาเขตของอาณาจักรอวี๋ได้
ไม่กี่เดือนก่อน ชาวเหยียนส่งจดหมายลับถึงฮ่องเต้แห่งหนานโจว ในเนื้อหาเขียนว่าฮ่องเต้และองค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรอวี๋กำลังเยือนชนบทเป็นการส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงต้องการใช้โอกาสนี้ในการลอบสังหารฮ่องเต้และองค์รัชทายาท
ชาวเหยียนผู้นั้นยังสัญญาด้วยว่าเมื่อองค์รัชทายาทและฮ่องเต้สิ้นพระชนม์นอกวัง เขาจะสามารถให้องค์ชายแปดขึ้นเป็นฮ่องเต้คนต่อไปได้เพราะสายเลือดครึ่งหนึ่งขององค์ชายแปดเป็นของหนานโจว และถือว่าเป็นตัวแทนของพวกเขา ดังนั้นเขาจะสามารถใช้งานองค์ชายแปดเป็นหุ่นเชิดได้
ใครจะคิดว่าองค์ชายแปดก็ไปกับฮ่องเต้และองค์รัชทายาทด้วย องค์รัชทายาทและฮ่องเต้ไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อยหลังจากการลอบสังหารทั้งสองครั้ง กลับเป็นองค์ชายแปดได้รับบาดเจ็บทั่วร่างและเกือบตายด้วยดาบของนักฆ่า
เมื่อได้ยินคำสารภาพของนักฆ่า หลี่หรงเฉิงก็คลานอย่างทุลักทุเลไปหาฮ่องเต้แล้วตรัสว่า “เสด็จพ่อ! สิ่งที่เขาพูดมา ลูก… ลูกไม่รู้เรื่องนี้เลยนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้พ่นลมหายใจแล้วสะบัดมือบุตรชายออก “เจ้าไม่รู้หรือ?”
องค์รัชทายาทรีบคุกเข่าลงแล้วตรัสว่า “เสด็จพ่อ อย่างที่ท่านเห็น น้องแปดไม่เคยไปเมืองหนานโจวนับตั้งแต่เขาเกิด ย่อมไม่มีทางรู้จักกับคนหนานโจว แล้วเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเหล่านั้นวางแผนอะไรไว้ ยิ่งกว่านั้น ในการโจมตีทั้งสองครั้ง น้องแปดได้รับบาดเจ็บสาหัสเพื่อปกป้องเสด็จพ่อกับข้า ความภักดีของเขาเป็นที่ประจักษ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้พ่นลมหายใจ ไม่กล่าวสิ่งใด
หลี่หรงเฉิงรู้สึกเพียงว่าความเงียบที่กดทับบนหลังของเขาหนักมากเสียจนหัวใจและปอดของเขาสามารถพ่นเลือดออกมาได้
เขาร้องออกมาว่า “เสด็จพ่อ! ลูกเกิดในสถานะที่ต่ำต้อย กลับโดนทอดทิ้ง อีกทั้งได้รับการเลี้ยงดูจากฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น ความรักและความภักดีของลูกต่อเสด็จพ่อและอาณาจักรอวี๋ไม่เคยแปรเปลี่ยน! และตัวลูกนั้นก็ไม่เคยมีความคิดที่จะแย่งชิงบัลลังก์เลยพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายแปดอยากร่ำไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาไหลออกมา นี่คงดังคำกล่าวที่ว่า คนย่อมไร้ความผิด ผิดที่ครอบครองหยก[1]
นักฆ่าที่ถูกคลุมหัวอยู่ถ่มน้ำลายออกมาหลายคำเมื่อได้ยินเสียงร้องและเสียงตะโกนขององค์ชายแปด แต่เขาไม่ได้ยินฮ่องเต้พูดสิ่งใด เขาสงสัยว่าทุกคนเชื่อคำพูดของเขาหรือไม่?
เขาโขกศีรษะกับพื้นอีกสองสามครา กล่าวเสริมว่า “ฝ่าบาท ทูตของอาณาจักรเหยียนยังกล่าวด้วยว่าถึงแม้ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรอวี๋จะมีโอรสมากมาย แต่มีเพียงองค์รัชทายาทเท่านั้นที่เป็นองค์ชายอย่างแท้จริง”
“ปัจจุบันฮองเฮาไม่มีลูกชาย และในบรรดาองค์ชายอื่น ๆ ที่เกิดจากนางสนม มีเพียงองค์ชายแปดเท่านั้นที่เป็นที่ชื่นชอบมากที่สุด อีกทั้งถูกเลี้ยงดูมาโดยฮองเฮา”
“หากองค์รัชทายาทสิ้นลง เพื่อถ่วงดุลอำนาจสนมและราชวงศ์ ฮองเฮาจะผลักดันองค์ชายแปดผู้ที่มารดาไร้อำนาจสนับสนุนให้ขึ้นครองบัลลังก์อย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้ครึ่งหนึ่งของแผ่นดินอวี๋ก็จะอยู่ในกำมือของหนานโจว”
องค์รัชทายาท หลี่หรงอวี่ตรัสขึ้น “เจ้าเป็นแค่นักฆ่า เจ้ารู้ว่าทูตของอาณาจักรเหยียนพูดอย่างชัดเจนเช่นนี้ได้อย่างไร”
นักฆ่าชะงักไป เขาไม่อยากพูดอะไรอีก เมื่อเป็นเช่นนั้น เฉินฟู่เซินก็ชักดาบออกมาแทงกลางหลังของนักฆ่าทันที
นักฆ่าอุตส่าห์สารภาพออกมามากมายเพื่อเอาชีวิตรอด แต่เมื่อเขาถูกถามคำถามนี้ เฉินฟู่เซินกลับฆ่าเขาทันที!
หลี่หรงอวี่ตะโกนอย่างโกรธเคือง “องครักษ์เฉิน! นี่เจ้าทำอะไรลงไป?”
หลังจากชักดาบกลับคืนมา เขาก็คุกเข่าทูลองค์ฮ่องเต้ว่า “กระหม่อมเห็นโจรพูดไร้สาระและสร้างความบาดหมางระหว่างบิดากับบุตรแห่งตระกูลอวี๋ กระหม่อมจึงฆ่าเขาเสียพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หรงอวี่คว้าคอเสื้อเฉินฟู่เซินไว้แล้วตะคอกออกไป “ยังสอบสวนไม่เสร็จ เจ้ากล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
“ไม่ต้องสอบสวนเพิ่มหรอก เท่านี้ข้าก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว!” ฮ่องเต้ตรัส” หนานโจวลอบสังหารถึงสองครั้ง ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะกล้าทำเช่นนั้น ดี บังอาจมาก! ชาวเหยียน…”
หลี่หรงเฉิงคุกเข่าลง ตรัสออกมาว่า “ลูกยินดีที่จะเป็นแนวหน้าในการกวาดล้างผู้กระทำความผิดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของลูกพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้กลับมองเขาอย่างเย็นชา “เจ้าบาดเจ็บสาหัส ดูแลตัวเองให้ดีก่อนเถอะ!”
หลี่หรงอวี่ยังตรัสอีกว่า “เสด็จพ่อ ตอนนี้ทั้งอาณาจักรหนานโจวและอาณาจักรเหยียนได้ร่วมมือกัน หากเราเริ่มสงคราม ลูกเกรงว่าคนในอาณาจักรอื่นจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้โจมตีเรา ตัดสินใจหลังจากกลับไปที่เมืองหลวงและหารือกับขุนนางทั้งหลายก่อนมิดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้โบกมือแล้วสั่ง “ทุกคน เร็วเข้า ต้องกลับไปที่เมืองหลวงในอีกครึ่งเดือน!”
ฮ่องเต้ขึ้นรถม้าไปโดยไม่สนใจองค์ชายแปดที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น
หลี่หรงอวี่เข้าไปดึงเขาขึ้นมา องค์ชายแปดสะอื้นไห้พลางตรัสกับพี่ชายตนเอง “ท่านพี่… ข้า… ข้าไม่มีเจตนาจะแย่งชิงบัลลังก์กับท่านพี่เลย แม้หนานโจวจะมอบบัลลังก์ให้ข้า ข้าก็จะไม่มีวันรับมัน!”
หลี่หรงอวี่เอามือลูบศีรษะปลอบโยน “เจ้าโง่ ยังไม่รู้จักพี่อีกหรือ ลุกขึ้น ขึ้นรถ!”
ผ่านไปเจ็ดวัน ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงลั่วหยาง
ลั่วหยางเป็นเมืองใหญ่อันดับสองรองจากเมืองหลวง ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร แม้พระราชวังชั่วคราวได้รับการทำความสะอาดครั้งล่าสุดเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่จัดการเพียงเล็กน้อยก็สามารถอาศัยอยู่ได้
ฮ่องเต้เร่งส่งกองทัพไปยังหนานโจว ลั่วหยางอยู่ใกล้ทางใต้มากกว่า ดังนั้นจึงสะดวกสำหรับเขาที่จะออกคำสั่ง เขาได้เรียกฝ่ายกลาโหมทั้งหมดมาที่นี่แล้ว และแม้แต่แม่ทัพอาวุโสที่ปลดประจำการแล้วก็ยังมาเข้าร่วม
อาณาจักรอวี๋อยู่ในความสงบมากว่าสามสิบปีแล้ว นับตั้งแต่ที่แม่ทัพอาวุโสร่วมต่อต้านกบฏอ๋องหย่ง และนั่นก็เป็นการต่อสู้เล็กน้อยที่ชายแดนเท่านั้น
ดังนั้นยามนี้ในราชสำนักล้วนเป็นแม่ทัพอาวุโสในครานั้น มีแม่ทัพรุ่นเยาว์ที่มีคุณสมบัติพร้อมเพียงไม่กี่คน
เมื่อเป็นการต่อสู้ศึกภายนอก จะยังให้คนแก่เหล่านี้ออกไปรบพุ่งอีกหรือ?
อิงกั๋วกงเป็นคนที่ใจร้อนที่สุดในอาณาจักร เขาก้าวออกมาและพูดกับฮ่องเต้ว่า “ฝ่าบาท แม้กระหม่อมจะแก่แล้ว แต่กระหม่อมพกดาบและหอกได้ โปรดให้กองทัพแก่กระหม่อม แล้วกระหม่อมจะขึ้นไปทางเหนือเพื่อฆ่าพวกมันโดยไร้ความปรานีใดพ่ะย่ะค่ะ!”
ย้อนกลับไปเมื่อฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์ อิงกั๋วกงใช้ความพยายามอย่างมาก ตอนนี้เขาเป็นผู้ชายที่มีความทะเยอทะยาน ไม่สนใจหนานโจวซึ่งเป็นเพียงอาณาจักรเล็ก ๆ แม้แต่น้อย ใจจริงหมายไปทางเหนือเพื่อจัดการกับอาณาจักรเหยียนให้ได้
ในคราก่อน เขาเคยนำกองทัพไปต่อสู้กับฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหยียนที่เขาห้ายอดและพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช จนฮ่องเต้ของอาณาจักรอวี๋ต้องมอบห้าเมืองให้แก่ฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเหยียน เรื่องนี้เป็นความเสียใจที่ถูกฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขามาโดยตลอด
ดังนั้นยามนี้เมื่อเขามีโอกาส เขาย่อมหวังล้างความอับอายก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
แม่ทัพอู่เวย หลงเซี่ยงชือกล่าวว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้เห็นกองทัพมานานแล้ว ทหารเคยชินกับการอยู่อย่างสุขสบาย หากจู่ ๆ เราใช้กองทัพ เราจะถูกโจมตีทั้งสามทาง อย่าทำเลยพ่ะย่ะค่ะ! มันเสี่ยงเกินไป!”
องค์ชายสี่ หลี่หรงซือ ที่นิ่งฟังอยู่นานแล้วพลันตรัสว่า “เสด็จพ่อถูกลอบสังหารโดยคนของหนานโจว หม่อมฉันยินดีที่จะนำกองกำลังหนึ่งแสนคนไปกำจัดหนานโจวพ่ะย่ะค่ะ!”
อิงกั๋วกง[2] เป็นบิดาของฮองเฮาเฉียน ในขณะที่องค์ชายสี่เป็นบุตรชายของสนมจาง ซึ่งปัจจุบันนางเป็นที่โปรดปรานที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่เคยคิดจะมีปัญหาองค์ชาย แต่คราวนี้เขาจำต้องแย้ง “หนานโจวเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ เหตุใดต้องใช้ถึงหนึ่งแสนนาย ฝ่าบาทสามารถส่งทหารไปเพียงสองหมื่นคนก็ย่อมกวาดล้างมันได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เมื่อไม่นานมานี้ หนานโจวแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และเขายังมีความทะเยอทะยานที่จะเป็นหมาป่า ท่านแม่ทัพ มันเป็นการประมาทเกินไปที่จะพูดอย่างนั้น!” หลี่หรงซือโต้กลับ
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะต่อสู้กับอาณาจักรหนานโจว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ทิศใต้ แต่อยู่ที่ทิศเหนือ ชาวเหยียนไม่ใช่คนที่ทำให้เกิดภัยพิบัตินี้หรือพ่ะย่ะค่ะ?” หลงเซี่ยงชือกล่าว
ทุกคนต่างก็มีความคิดของตัวเอง แม้การประชุมจะมีขนาดเล็ก แต่กลับมีเสียงดังจากการโต้เถียงกันชัดเจน
ฮ่องเต้รู้สึกรำคาญกับการประชุมที่วุ่นวาย จึงกลับไปที่พระราชวังชั่วคราวและเรียกองค์รัชทายาทมาพบ
หลี่หรงอวี่เป็นผู้ที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ได้เสมอ ดังนั้นเขาจึงแยกแยะข้อดีและข้อเสียทั้งหมดให้ฮ่องเต้ฟัง
ฮ่องเต้เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่หลี่หรงอวี่พูด เขาต้องจัดการอาณาจักรเหยียน ควบคุมอาณาจักรหนานโจว ป้องกันการรุกรานจากชาวเฉียงทางตะวันตก และเฝ้าระวังชาวฮั่นทางตะวันออกเฉียงเหนือ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพียงแค่สั่งให้แม่ทัพชายแดนคอยจับตาดูพวกเขาก็พอ
เสบียงของกองทัพและเงินเดือนของเหล่าทหารคือปัญหาใหญ่
หลี่หรงอวี่เสนอวิธีการจู่โจมแบบรักษาระยะห่างแล้วค่อยโจมตีประชิด และวิธีเคาะภูเขาเขย่าเสือ[3] ฮ่องเต้เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไรจึงถาม “เจ้าคิดว่าใครใช้การได้ในศึกนี้”
หลี่หรงอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตรัสว่า “ชาวเชียงแถบซีเป่ยและอาณาจักรเหนือสุดให้เฝ้าระวังไว้ แต่มิต้องถึงขั้นรบพุ่ง เพียงสั่งการให้แม่ทัพแถบชายแดนจับตาดูเป็นพอพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นฮ่องเต้เห็นด้วย เขาจึงเสริมต่อ “หนานโจวได้ก่อกบฏใหญ่หลวง หม่อมฉันเห็นว่าฉีโหย่วเฟิงและอู๋ชู่เสียนที่ติดสามอันดับแรกในศิลปะการต่อสู้ของปีที่แล้วมีฝีมือนัก พวกเขาสามารถเป็นแนวหน้าได้ ส่วนน้องแปด บาดแผลของเขายังไม่หายดี แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ หากเสด็จพ่อเพิกเฉยเขา คงทำให้เขาขุ่นเคืองใจ เหตุใดเราไม่แต่งตั้งเขาเป็นผู้นำทัพและนำทหารชั้นยอดแปดหมื่นคนเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ใบหน้าของฮ่องเต้มืดมนลง แต่เขาไม่ได้พูดสิ่งใด
หลี่หรงอวี่รีบตรัส “น้องแปดเป็นคนใจร้อนและมักสร้างบาดแผลตามร่างกาย หากเสด็จพ่อไม่เชื่อเขา เสด็จพ่อสามารถมอบเรื่องนี้ให้กับแม่ทัพหลงเซี่ยงชือหรือแบ่งกำลังทหารออกเป็นสองส่วน ให้แม่ทัพฉีและแม่ทัพอู๋เป็นผู้บัญชาการร่วม และให้น้องแปดคุมทัพอีกทีก็ย่อมได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าแล้วถามว่า “แล้วอาณาจักรเหยียนล่ะ?”
“อาณาจักรเหยียนมีความทะเยอทะยานสูง พวกเขาเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง หากทั้งกองทัพเริ่มต่อสู้ หม่อมฉันเกรงว่าจะไม่อาจต้านทานได้ เมื่อเราถูกโจมตีจากทั้งทางเหนือและใต้ พรมแดนก็จะมีปัญหา ดังนั้นหากศัตรูยังมิเคลื่อนไหว เราก็ยังมิอาจเคลื่อนไหวพ่ะย่ะค่ะ” หลี่หรงอวี่ตอบ
“ข้ากลัวว่าหากแดนทางใต้เคลื่อนไหว ทางเหนือก็จะไม่อยู่เฉยเช่นกัน” ฮ่องเต้ตรัสอย่างกังวล
“ถ้าเช่นนั้น เราต้องคิดถึงวิธีอื่นนอกเหนือจากการใช้กำลังทหาร…” หลี่หรงอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่นึกไม่ออกว่าวิธีการนั้นคืออะไร
ฮ่องเต้จึงตรัส “การเดินทางส่วนตัวครั้งนี้ ข้าเห็นว่าทหารจี้กงจื้อแห่งเมืองอวิ๋นเจี้ยนมีฝีมือ ใช้ประโยชน์ได้ ข้าอาจเพิ่มตำแหน่งทางการของเขา”
[1] คนย่อมไร้ความผิด ผิดที่ครอบครองหยก เป็นสำนวน หมายถึง คนไม่มีความผิดใด แต่อาจบาดเจ็บหรือตายเพราะความสามารถหรือของล้ำค่าที่ตนมี
[2] กั๋วกง (国公) เป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดที่ฮ่องเต้พระราชทานให้
[3] เคาะภูเขาเขย่าเสือ (敲山震虎) หมายถึง จงใจเตือนเพื่อให้คนหวาดกลัว
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้