ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 46 การลอบสังหารครั้งที่สอง(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 46 การลอบสังหารครั้งที่สอง(รีไรท์)
บทที่ 46 การลอบสังหารครั้งที่สอง(รีไรท์)
เหยียนอี้และโจวเจียโชคดีที่ถูกห้อมล้อมด้วยแนวป้องกัน
ทว่าองค์ชายแปดและเหยียนจื่อยังคงอยู่ข้างหลังวงล้อม เหยียนจื่อตกใจเล็กน้อยหลังตกเกวียนลา ทันทีที่นางลุกขึ้น นางก็ถูกชายชุดดำกระแทกจนล้มลง
โชคดีที่เป้าหมายของชายชุดดำคือฮ่องเต้เท่านั้น หลังจากที่เหยียนจื่อล้มลงกับพื้นก็ไม่มีใครสนใจนางอีก
ส่วนองค์ชายแปดไม่ได้โชคดีนัก นักฆ่าจำเขาได้อย่างชัดเจนว่าเป็นองค์ชาย พวกมันห้อมล้อมเขาไว้
ตอนแรกเฉินฟู่เซินอยู่กับองค์ชายแปด แต่ตอนนี้เขาฝ่าวงล้อมไปหาฮ่องเต้และองค์รัชทายาท
“ใต้เท้าจี้ คนร้ายครั้งที่แล้วคงถูกกวาดล้างไม่หมด” ฮ่องเต้ตรัสกับจี้กงจื้อ
เหงื่อหยดจากหน้าผากของจี้กงจื้อ ไม่ว่าวันนี้เขาจะหนีรอดหรือไม่ก็ตาม เขาคงไม่อาจรักษาชีวิตน้อย ๆ ของเขาไว้ได้!
ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือการต่อสู้อย่างสุดชีวิตเพื่อปกป้องฮ่องเต้ของเขา!
“ทุกคน โจมตี!” จี้กงจื้อรวบรวมทหารทั้งหมดเพื่อตีวงล้อมออกไปทันที
องครักษ์จินอู๋และทหารทั้งหมดรวมตัวกันเพื่อปกป้องฮ่องเต้
องค์รัชทายาทชักดาบออกมา เข้าร่วมการต่อสู้ ในเวลาเดียวกัน เฉินฟู่เซินได้มาถึงด้านหน้าของฮ่องเต้ คอยคุ้มกันไปตลอดทาง
เหยียนอี้เดิมทีอยู่กับโจวเจีย แต่ชายชุดดำเหล่านั้นทำให้ทั้งสองพลัดหลงกัน โจวเจียไม่รู้จักศิลปะการต่อสู้และซ่อนตัวอยู่หลังรถม้าพร้อมกับคนรับใช้ในวังคนอื่น ๆ
เหยียนอี้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเหยียนจื่อ นางมองไปรอบ ๆ กลับเห็นแต่เกวียนลาที่พลิกคว่ำ เหยียนจื่ออยู่ที่ไหน!?
“ระวัง!” เสียงตะโกนดังขึ้น องค์รัชทายาทดึงนางให้หลบคมมีดของชายสวมหน้ากากที่พุ่งตรงมาที่ด้านข้างของนาง
องค์รัชทายาทช่วยชีวิตเหยียนอี้ ตัดข้อมือของนักฆ่าทิ้งโดยไม่รีรอ เขาดึงตัวนางกลับไปหาฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว
ฮ่องเต้ได้รับการปกป้องโดยเฉินฟู่เซินและองครักษ์จินอู๋คนอื่น ๆ รวมถึงการสนับสนุนจากกองกำลังของจี้กงจื้อ ดังนั้นเขาจึงปลอดภัยอยู่พักใหญ่
ม้ายังคงวิ่งพล่านไปทุกทิศทุกทาง ทำเอาฝูงชนแตกตื่น
บาดแผลขององค์ชายแปดยังไม่หายดี เขาไม่อาจทนได้นาน เขาใช้ประโยชน์จากความโกลาหลซ่อนตัวอยู่ใต้เกวียน แต่แล้วก็พบกับเหยียนจื่อที่ซ่อนตัวอยู่แล้วเช่นกัน
“อ๊ะ เลือดฝ่าบาทไหลนี่!” เหยียนจื่ออุทาน
องค์ชายแปดไม่มีเวลากังวลเกี่ยวกับบาดแผลเก่าบนร่างกายของเขา เขาจ้องไปที่ด้านนอกผ่านช่องว่างใต้เกวียนโดยไม่กะพริบตา
โชคดีที่ฉากนั้นวุ่นวายพอสมควร และไม่มีใครพบว่ายังมีคนซ่อนตัวอยู่ใต้เกวียนลา
เสด็จพ่อได้รับการคุ้มครอง ดูเหมือนจะไม่เป็นไร
อา! ทำไมองค์รัชทายาทจึงถูกล้อมเล่า? หากนักฆ่าพวกนั้นไม่สามารถเข้าถึงตัวฮ่องเต้ได้ พวกเขาจะต้องโจมตีองค์รัชทายาทด้วยเป็นแน่!
“พี่สาว!” เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เหยียนจื่อจึงรีบออกไปช่วยนางโดยไม่คำนึงถึงอันตรายใดทั้งนั้น
ทันใดนั้นองค์ชายแปดรีบคว้านางไว้แล้วดุว่า “เด็กโง่! เจ้าจะเป็นเกราะมนุษย์หรืออย่างไร!”
เมื่อได้ยินเขาเรียกตัวเองว่าเด็กโง่ เหยียนจื่อพลันขุ่นเคืองในใจ “ไม่อย่างนั้น ท่านอยากให้ข้าหดหัวเป็นเต่าเหมือนท่านรึ?”
ทว่าองค์ชายแปดไม่โกรธเมื่อเขาได้ยินเด็กสาวตัวเล็ก ๆ พูดจาไม่ดีใส่ เขากลับตอบว่า “พี่ชายของข้าเป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งในโลกหล้า ข้าบาดเจ็บอยู่ ข้าเลยเป็นเต่าได้”
เมื่อเห็นว่าเสื้อบาง ๆ ของเขามีเลือดออก เหยียนจื่อก็หุบปากทันที
หลังจากนั้นไม่นาน องค์ชายแปดก็หายใจหอบขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเป็นเพราะเขาเสียเลือดมากเกินไปและปวดแผลเป็นแน่
เหยียนจื่อบังเอิญสัมผัสมือของเขา นางพบว่าหลังมือของเขาเย็นเยียบ เมื่อมองดูเขาอีกครั้ง ริมฝีปากของเขาเริ่มเป็นสีม่วงและซีดเซียว นางรีบถาม “ท่าน! ท่านอย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ!”
องค์ชายแปดกลอกตาใส่นาง “ยังไม่ตาย”
มันไม่ใช่สถานที่ขนาดใหญ่ภายใต้เกวียน เมื่อเห็นบาดแผลขององค์ชายแปดปริและมีเลือดไหลออกมา เหยียนจื่อรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเลยเอ่ยกับเขาว่า
“ข้าขอโทษ หากข้ารู้ว่าท่านบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ข้าคงไม่ดุท่านหรอก”
องค์ชายแปดคิดว่ามันตลกดีที่เด็กสาวตัวน้อยขอโทษเขาในตอนนี้ เขาตรัสตอบไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำแกงเนื้อสิบชามให้ข้าหลังจากที่เราหนีไปได้เป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
เขารู้เพียงว่าเหยียนจื่อเป็นน้องสาวของเหยียนอี้ ทักษะการทำอาหารล้ำเลิศต้องส่งต่อมาถึงน้องสาวแน่ ไฉนเลยจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเหยียนจื่อเปรียบเสมือนนักฆ่าในครัว แม้แต่เกลือกับน้ำตาลก็ยังแยกไม่ออก
เหยียนจื่อเฝ้าดูการต่อสู้อยู่ข้างนอก เมื่อเห็นว่าพี่สาวของนางตกอยู่ในอันตราย นางก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “เฉินฟู่เซินทำอะไรอยู่ เหตุใดเขาไม่ช่วยพี่สาวของข้าเล่า”
เมื่อสังเกตเห็นว่าเฉินฟู่เซินยืนอยู่ข้างฮ่องเต้ องค์ชายแปดเข้าใจแล้วตรัสเสียงเย็น “พี่สาวของเจ้าไม่สำคัญเท่ากับเสด็จพ่อของข้าในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้”
“ท่านกำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร?” เหยียนจื่อถามอย่างกังวลใจ “พี่สาวของข้า พี่สาวของข้าก็เป็นแก้วตาดวงใจของแม่ข้าด้วย เหตุใดจะไม่สำคัญล่ะ”
องค์ชายแปดพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง “เจ้านั่นแหละพูดไร้สาระ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?” เหยียนจื่อถาม
องค์ชายแปดกล่าวว่า “ท่านพ่อเป็นโอรสสวรรค์ เปรียบดั่งร่างทองคำล้ำค่า เป็นรากฐานของอาณาจักรเรา พี่สาวของเจ้าเป็นเพียงหญิงงามที่ทำอาหารได้ เจ้าบอกไม่ได้อีกหรือว่าใครสำคัญมากกว่ากัน”
เหยียนจื่อเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ไร้สาระ! เฉินฟู่เซินชอบพี่สาวข้ามาตลอด…”
องค์ชายแปดตรัสต่อ “เขาชอบชื่อเสียงและเงินทองต่างหาก มิฉะนั้น เหตุใดเขาถึงไม่พอใจที่จะปกป้องข้า หลังจากที่เขาช่วยเสด็จพ่อของข้าครั้งก่อน”
เหยียนจื่อตอบว่า “แปลกจริง ๆ ราชวงศ์ของท่านยืนกรานที่จะให้คำมั่นที่จะขอบคุณพี่เฉิน ตอนนี้ท่านกลับบอกว่าเขาหวังชื่อเสียงและเงินทอง?”
“พี่รอง!” เมื่อมองออกไปข้างนอก องค์ชายแปดก็ตะโกนออกมาอย่างร้อนใจและรีบวิ่งออกไปทันที
“เฮ้ กลับมา..” เหยียนจื่ออยากจะหยุดเขา แต่จะหยุดได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าองค์รัชทายาทถูกล้อมและตกอยู่ในอันตราย เขาก็รีบออกไปโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลตัวเอง
เหยียนจื่อมองลงมาและเห็นว่าบนพื้นหญ้าที่องค์ชายแปดเคยนอนอยู่ตอนนี้ถูกย้อมด้วยเลือดสีแดง
ในอีกด้านหนึ่ง องค์รัชทายาทต่อสู้กับนักฆ่านับสิบคนโดยมีเหยียนอี้อยู่ด้านหลัง
พูดตามตรง เขาไม่เพียงต้องฆ่าศัตรูเท่านั้น แต่ยังต้องสังเกตสถานการณ์ด้วย กลายเป็นภาระสำหรับเขาที่ต้องปกป้องเหยียนอี้ไปด้วย
แต่ตอนนี้ทั้งสองคนถูกห้อมล้อมอย่างหมดหนทางหนี เขาจะทิ้งนางไว้ตามลำพังได้อย่างไร?
วงล้อมของศัตรูเริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ กระนั้นทหารก็ไม่อาจฝ่าเข้าไปได้
องค์รัชทายาทกล้าหาญอย่างยิ่ง แต่เขาไม่สามารถเอาชนะศัตรูหลายคนด้วยหมัดเพียงสองหมัด หลังจากแทงศัตรูคนหนึ่งจนตาย เขาก็ไม่สามารถดึงดาบยาวออกมาจากร่างนั้นได้
เขาตื่นตระหนกมากจนยกศพขึ้นเป็นโล่มนุษย์อย่างแรง
องค์ชายแปดและคนอื่น ๆ ต้องการช่วยชีวิตเขา แต่พวกเขาทำไม่ได้ ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขาขว้างดาบออกมาแล้วตะโกนว่า “พี่รอง รับดาบ!”
องค์รัชทายาทเป็นคนแข็งแรงและหัวไวมาก แต่เขาถือศพอยู่จึงไม่มีมือเหลือไปรับดาบ
ทันใดนั้นเหยียนอี้ก็ยื่นมือออกไปคว้าดาบหมับ ประสานมือกำด้ามดาบไว้แน่นแล้วฟันศัตรูที่อยู่ข้างหน้านาง
นางฆ่าคนด้วยการฟันออกไปไร้หลักการ
นี่เป็นครั้งแรกที่เหยียนอี้ฆ่าใครซักคน มือของนางอ่อนแรงจนแทบจะจับดาบไม่ได้
องค์รัชทายาทแค่นหัวเราะ เขาหยิบดาบจากมือนางมาถือไว้ในมือขวาแล้วกระซิบว่า “ข้าจะโจมตีทางซ้าย เจ้าวิ่งไปทางขวา”
เหยียนอี้ตกตะลึง เขาหันไปทางซ้าย แต่นางหันไปทางขวา? นางไม่สามารถคิดอะไรได้อีก นอกเสียจากทำตามที่เขาบอก
ทว่าในช่วงเวลาอยู่ระหว่างความเป็นความตายเช่นนี้ นางเชื่อเขาโดยไม่มีข้อกังขาใด
“พร้อม หนึ่ง สอง วิ่ง!” องค์รัชทายาทสั่งนางอย่างฉะฉาน
นางหยิบหอกที่หักเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งขึ้นจากพื้น กำไว้ ก่อนจะส่งเสียงคำรามและรีบวิ่งออกไป
ปรากฏว่าการโจมตีด้านซ้ายขององค์รัชทายาทเป็นเพียงการเคลื่อนไหวหลอก
องค์ชายแปดที่อยู่บริเวณรอบนอกได้จัดระเบียบรูปแบบทหารใหม่แล้ว ทุกคนไปทางขวาพร้อม ๆ กัน เร่งรีบวิ่งออกจากถนนเลือดเส้นนี้
องค์รัชทายาทถือดาบของเขาไว้ในมือข้างหนึ่งและคว้าเหยียนอี้ไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง แล้ววิ่งออกไปราวกับแมลงวัน
กำลังเสริมภายนอกพุ่งเข้ามาทันทีและเข้าห้ำหั่นศัตรู
วงล้อมถูกเปิดออกในที่สุด องค์รัชทายาทและเหยียนอี้ออกจากวงล้อมสำเร็จ
อีกด้านหนึ่ง เฉินฟู่เซินได้สั่งให้นักธนูเตรียมพร้อม ทันทีที่เขาเห็นองค์รัชทายาทออกจากรัศมีของลูกศร เขาก็สั่งให้ยิงธนูหลายร้อยดอกพร้อมกัน
ไม่นานพวกเขาก็ควบคุมสถานการณ์ได้
เหยียนอี้หนีออกมาได้และกอดเหยียนจื่อแน่น
เหล่าทหารจัดการเก็บกวาดสนามรบและจับนักฆ่ามากกว่าสามสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มีผู้คนราวสามร้อยคนเสียชีวิต ฮ่องเต้ก็สูญเสียไปไม่น้อยเช่นกัน
องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เขาปลอดภัยดี ทว่าแผลเก่าขององค์ชายแปดปริอีกครั้ง อีกทั้งยังได้แผลใหม่ เขากลับเอ่ยถาม “เสด็จพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” สิ้นเสียงนั้น ดวงตาของเขาค่อย ๆ ปิดและล้มลง
หมอหลวงที่ร่วมเดินทางได้ถอดเสื้อคลุมขององค์ชายแปด และพบว่าร่างของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือด
สองสามวันก่อนเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ภัตตาคารกุ้ยซาน ต่อมาแผลเขาก็อักเสบ ทว่าเขาไม่ต้องการให้พ่อและพี่ชายของเขากังวล ดังนั้นเขาจึงแกล้งทำเป็นสบายดีอยู่ตลอดทั้งวันและสั่งหมอไม่ให้พูดอะไร
หลังจากการต่อสู้อีกรอบในวันนี้ อาการบาดเจ็บของเขาก็แย่ลง
เหยียนจื่อพลันนึกได้ว่านางเรียกเขาว่าคนขี้ขลาดตอนหลบซ่อนใต้เกวียน ทำให้นางรู้สึกผิดมาก
ฮ่องเต้เต็มเดือดดาลและสาปแช่งนักฆ่าในหนานโจว เขาเขียนพระบรมราชโองการทันที โดยขอให้แม่ทัพอวิ๋นกุ้ยส่งกองทัพหนึ่งแสนนายไปหนานโจว
อย่างไรก็ตาม ฮ่องเต้เองก็กำลังถูกซุ่มโจมตีอยู่ในชนบท ดังนั้นจึงไม่ง่ายนักที่จะส่งราชโองการออกไป เขาต้องกลับไปที่เมืองหลวงก่อน
เหยียนอี้กลัวว่าหากเหยียนจื่อกลับไปที่เมืองอวิ๋นเจี้ยนเพียงลำพังในเวลานี้ นางอาจเผชิญกับอันตรายใด ๆ อีก ดังนั้นนางย่อมไม่อยากปล่อยเหยียนจื่อไป
ตอนแรกนางคิดจะขอให้จี้กงจื้อส่งทหารสองสามคนไปคุ้มกันเหยียนจื่อขากลับ แต่ตอนนี้สถานการณ์เสียขวัญเช่นนี้ ผู้ใดจะไม่ทุ่มเทคุ้มครองฮ่องเต้ นางจึงไม่อยากรบกวนพวกเขา
ในทางกลับกัน เหยียนจื่อยินดีมาก นางเขียนจดหมาย ส่งผ่านพิราบสื่อสาร บอกแม่ของนางว่านางไปที่เมืองหลวงกับพี่สาวและจะกลับไปอีกสองสามเดือนหลังจากนั้น
เหยียนอี้รู้ แต่ไม่อาจหยุดนางได้
องค์ชายแปดนอนพักฟื้นสักพัก จนกระทั่งสองเค่อต่อมาเขาก็ฟื้น ใบหน้าของเขายังคงซีดเซียว ทว่าเขาบอกกับองค์รัชทายาทว่า “พี่รองก็รู้ ข้าเป็นคนผิวหนา ข้าไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดบนร่างกายของข้าเลย”
องค์รัชทายาทจับมือน้องชายของเขาตลอดเวลา เขารู้สึกสงสารเลยตรัสออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้านี่นะ!”
เมื่อองค์ชายแปดมองดูผ้าพันแผลชุ่มด้วยเลือดในมือของหมอหลวง เขาก็ยิ้มแล้วตรัสออกมาว่า “พี่ชาย ข้าเสียเลือดไปมากแล้ว น้ำหนักของข้าเบาลงหรือไม่ นี่หมายความว่าข้าลดน้ำหนักได้แล้วหรือ”
เขาพูดติดตลก แต่เมื่อเห็นว่าไม่มีใครขบขัน เขาก็รู้สึกเบื่อ เขาอ้อนวอนต่อองค์รัชทายาทด้วยเสียงต่ำ “พี่รอง หลังจากกลับไปที่เมืองหลวง ห้ามบอกท่านแม่ของข้าเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของข้าเชียว”
เหยียนจื่อมองดูองค์ชายแปดอย่างเงียบ ๆ นางอดไม่ได้ที่จะกระซิบข้างหูของเหยียนอี้ “ข้าคิดว่าองค์ชายแปดน่าสนใจดีนะ”
“เจ้าไม่ได้ชอบองค์ชายแปดใช่หรือไม่?” เหยียนอี้ล้อเลียน
เหยียนจื่อแลบลิ้นแล้วเมินนาง
เหยียนอี้เดาว่านางคาดเดาถูกถึงสิ่งที่น้องสาวกำลังคิด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่น้องสาวของนางได้พบเขาในวันนี้ มีรักแรกพบในโลกจริงหรือ?
นางไม่เคยประสบเรื่องเช่นนั้น ดังนั้นนางจึงไม่อาจเข้าใจได้ นางถอนหายใจและกล่าวว่า “เหยียนจื่อ เขาคือองค์ชายแห่งราชวงศ์ เขาเป็นดั่งนกอินทรีบนท้องฟ้า เราเป็นเพียงวัชพืชในเมืองอู่ซานเท่านั้น”