ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 45 ชายหนุ่มรูปงาม(รีไรท์)
บทที่ 45 ชายหนุ่มรูปงาม(รีไรท์)
เดิมทีฮ่องเต้ได้วางแผนให้การออกนอกวังครั้งนี้เป็นการส่วนตัว พระองค์อยากท่องชมภูเขาแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ของอาณาจักร อีกทั้งพาองค์ชายทั้งสองที่อยู่แต่ในวังออกมาดูความลำบากของราษฎรด้วย
ทว่าเมื่อการลอบสังหารจากอาณาจักรหนานโจวเกิดขึ้นแล้ว เขาจะยังไปเยี่ยมเยียนได้อย่างไร?
เมื่อได้รู้ที่มาของผู้ลอบสังหารแล้ว ฮ่องเต้ทรงกังวลว่าจะเกิดปัญหาอีกครั้งจึงอยากกลับไปที่วัง
ดังนั้นในช่วงเช้าของวันที่สี่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในภัตตาคารกุ้ยซาน คนรับจึงจัดเตรียมของพร้อมที่จะกลับวัง
เหยียนอี้รออยู่ที่ประตูตั้งแต่เช้า
แม้นางจะได้รับใช้ฮ่องเต้เพียงสามวัน แต่นางก็รู้สึกราวกับว่านางใช้พลังงานไปสามปี ในที่สุดนางก็สามารถส่งฮ่องเต้ออกไปได้แล้ว
เมื่อวานนี้ องค์รัชทายาทบอกว่าจะพานางกลับไปที่วังด้วย แต่มาวันนี้พระองค์ไม่ได้ทรงออกพระราชโองการใด ๆ ดูเหมือนว่านางจะรอดพ้นจากการถูกจับไปเป็นแม่ครัวแล้ว
ดังนั้นนางจึงมีความสุขมากและทำอาหารเช้าอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ มักจะไม่จีรัง อาหารเช้ามื้อนี้ทำฮ่องเต้ถอนหายใจจนได้ “ว่ากันว่าขนมจากทางใต้นั้นทำอย่างประณีตและน่าสนใจที่สุด แต่ตอนนี้ข้ากลับคิดว่าขนมในเมืองอวิ๋นเจี้ยนนั้นดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว”
องค์รัชทายาทตอบว่า “ดูเหมือนว่าหลังจากกลับวังครานี้ เสด็จพ่อคงจะไล่พ่อครัวชื่อดังในห้องเครื่องออกเป็นแน่”
ฮ่องเต้พยักหน้า เปลี่ยนมาตรัสกับเหยียนอี้ “เจ้าเป็นแม่ครัวที่ดี กลับถูกมองข้ามอยู่ในเมืองแห่งนี้ กลับวังกับข้าเสีย เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บของ จ้าวอัน เจ้าจงไปที่บ้านของแม่นางคนนี้และแจ้งให้ญาติของนางทราบ”
เหยียนอี้คุกเข่าลง ภายในใจกำลังกรีดร้อง
เขาแค่อยากพานางกลับไปที่วังนางยังพอทำใจรับได้ ทว่าแม้แต่การบอกลาครอบครัวของนาง เขายังให้ขันทีไปแทน?
นางรีบพูดว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อย… คือข้าน้อย…”
องค์รัชทายาทเหลือบมองนางพลางลอบยิ้ม ก่อนหันไปตรัสกับฮ่องเต้ว่า “พระกรุณาธิคุณของเสด็จพ่อยิ่งใหญ่เหลือเกิน นางกลัวหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้อารมณ์ดี ตรัสต่อ “ข้าช่วยได้มากกว่านี้อีก จ้าวอันจงนำทองคำหนึ่งร้อยตำลึงไปมอบให้ครอบครัวของนางด้วย”
จ้าวอันน้อมรับคำสั่ง
เหยียนอี้รู้ว่าการปฏิเสธไม่มีประโยชน์ นางกลัวว่านางจะสร้างความรำคาญให้ฮ่องเต้หากนางพูดมากไป นางจึงต้องขอบคุณองค์ฮ่องเต้ด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยแล้วขอกลับบ้านไปบอกลาแม่ของนาง
ฮ่องเต้ตกลง
เมื่อเหยียนอี้กลับถึงบ้าน จ้าวอันก็อยู่ที่นี่แล้ว แม่ของนางรู้เรื่องราวทุกอย่าง นางนั่งบนเก้าอี้และเช็ดน้ำตาอย่างเงียบ ๆ หลิวจูช่วยปลอบโยนนางไม่ห่าง
ในทางกลับกัน เหยียนจื่อไม่ได้เศร้ามากนัก ในใจของนาง การที่พี่สาวของนางได้เข้าไปในวัง ถือเป็นเรื่องดี ด้วยทักษะการทำอาหารที่ดีของนาง นางมั่นใจว่าพี่สาวของนางสามารถแสดงฝีมือได้เต็มที่ในห้องเครื่อง
“ท่านพี่ หากเจ้าเป็นแม่ครัวในห้องเครื่องของวังหลวงแล้ว ข้าขอไปกินของอร่อยในวังได้หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่าโต๊ะสำหรับหอยเป๋าฮื้อและปลิงทะเลในพระราชวังนั้นใหญ่เท่ากับห้องนั่งเล่นของข้าเชียว”
เหยียนอี้ไม่อาจกลั้นยิ้มให้กับความคิดน้องสาว ทว่าจ้าวอันเร่งให้นางรีบจัดการธุระให้เสร็จโดยไว นางเลยรู้ตัวว่าไม่อาจปล่อยให้ฮ่องเต้รอนางได้ นางจึงรีบจัดของสองสามอย่าง บอกลาแม่ของนาง แล้วตามไปสมทบกับขบวนที่จะออกจากประตูเมือง
มีเพียงรถม้าสามคันเท่านั้น หนึ่งสำหรับฮ่องเต้ และอีกสองสำหรับองค์รัชทายาทและองค์ชายแปด ทว่าทั้งสองกลับขี่ม้าอยู่ด้านหน้า ในรถม้าจึงไม่มีใคร
เหยียนอี้ขี่ม้าไม่เป็น และนางไม่อาจนั่งรถม้าได้ ดังนั้นนางจึงต้องขี่ม้าตัวเดียวกับขันทีตัวน้อยชื่อโจวเจีย
เดิมทีโจวเจียเป็นคนของจ้าวอัน แม้เขาจะรับใช้ตำหนักหลวง แต่เขาก็ชอบทำอาหารมาก ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เมื่อเขากลับไปที่ภัตตาคารกุ้ยซาน เขาจะขอคำแนะนำจากเหยียนอี้เป็นการส่วนตัวเป็นครั้งคราว และนางก็ให้คำแนะนำกับเขา นางเกือบจะรับขันทีน้อยเป็นศิษย์ของนางแล้วด้วยซ้ำ
ขันทีร่างเล็ก แต่ม้าตัวใหญ่ เมื่อนางนั่งบนนั้นก็รู้สึกเหมือนกำลังจะล้มตลอดเวลา
โชคดีที่โจวเจียขี่ม้าเก่ง เขาช่วยประคองนางจากข้างหลังไว้ ทำให้มั่นคงขึ้นหลายส่วน
นางรู้สึกเจ็บก้น ด้วยเพราะเป็นครั้งแรกที่นางขี่ม้า นางจึงประหม่ามากจนกล้ามเนื้อบั้นท้ายแข็งทื่อไปหมด
นางขยับไปทางซ้ายทีขวาที รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
“พี่สาว อย่าขยับ เกรงว่าหากยังขยับอีกจะเกิดอันตรายได้”
“ก้นของข้าเจ็บ” เหยียนอี้กล่าว
“ลองเอนหลังและผ่อนคลายลงสิ” ขันทีน้อยสอนนาง
“ไม่ ข้ามิอาจพิงตัวเจ้าได้!” ขณะที่นางพูด แผ่นหลังของนางก็แข็งตรง
“พี่สาว ข้าเป็นขันที ข้ากินเต้าหู้ของเจ้าไม่ได้หรอก[1]”
“ข้าก็ไม่อยากกินเต้าหู้ของเจ้า” เหยียนอี้บ่นพึมพำ
เฉินฟู่เซินที่นำอยู่ข้างหน้า จู่ ๆ ก็ถอยหลังมาและพูดกับเหยียนอี้ว่า “มานั่งกับข้าดีหรือไม่”
ก่อนที่เหยียนอี้จะได้ตอบ โจวเจียก็ปฏิเสธอย่างจริงจัง “ไม่ได้ ๆ ผู้ชายและผู้หญิงไม่อาจขี่ม้าตัวเดียวกันได้”
“ท่านพี่! ท่านพี่!”
ทันใดนั้น เด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็พุ่งมาขวางบนถนน
แม้ว่าเกวียนลาจะไม่เร็วเท่าเกวียนม้า แต่โชคดีที่พวกเขาไม่ได้เดินทางเร็ว ไม่นานเกวียนลาก็ตามทัน หญิงสาวในเกวียนลาแต่งตัวด้วยชุดสีแดง สวยและน่ารัก หากไม่ใช่เหยียนจื่อแล้วจะเป็นใคร?
“เจ้าคือใคร?”
ก่อนที่เหยียนจื่อจะได้เข้าใกล้ นางถูกล้อมไปด้วยทหารกลุ่มหนึ่ง
เมื่อไม่กี่วันก่อน มีเหตุลอบสังหาร ทุกคนจึงระแวดระวังมากขึ้น ทหารชั้นยอดของเมืองล้วนถูกส่งมาคุ้มครองฮ่องเต้
เมื่อเห็นว่าอาวุธจำนวนมากกำลังชี้ไปที่คอของนาง เหยียนจื่อก็ตะโกนทันทีว่า “อย่าฆ่าข้า อย่าฆ่าข้าเลย ข้ามาหาพี่สาวของข้าเจ้าค่ะ”
เสียงกรีดร้องของนางดึงความสนใจจากองค์รัชทายาทและองค์ชายแปด องค์ชายแปดเข้าไปดูวงล้อมนั้น เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวตัวน้อย พวกทหารจึงลดการป้องกันและเปิดทางให้องค์ชายแปดทันที
เหยียนจื่อไม่รู้จักองค์ชายแปด เมื่อเห็นเขาขี่ม้าและสวมเสื้อผ้ารัดรูป นางจึงคิดว่าเขาเป็นองครักษ์ของฮ่องเต้ นางจึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่ชาย ข้ามาเพื่อพี่สาวของข้าเจ้าค่ะ”
“พี่สาวของเจ้า?” องค์ชายแปดมองไปรอบ ๆ และถามว่า “เจ้าเป็นน้องสาวของแม่นางเหยียนใช่หรือไม่”
“ใช่เจ้าค่ะ นางเป็นพี่สาวของข้า!” เหยียนจื่อคลี่ยิ้มอีกครั้ง เมื่อนางเห็นเหยียนอี้ นางก็ยกหีบห่อขึ้นในมือแล้วพูดว่า “ท่านพี่!”
ด้วยความช่วยเหลือของโจวเจีย เหยียนอี้กระโดดลงจากหลังม้า วิ่งไปหานางแล้วถามว่า “เจ้ามาที่นี่ทำไม”
เหยียนจื่อยัดสิ่งของในมือของนางแล้วพูดว่า “แม่บอกว่าท่านเข้าเมืองหลวงกะทันหัน คงไม่กลับมาอีกเป็นเวลานาน นางขอให้ข้านำของมาให้ท่าน”
หลังจากรับของมาแล้ว นางเปิดมันออกและเห็นขวดเล็ก ๆ ที่บรรจุดิน ผ้าเช็ดหน้าสองผืน และเสื้อกันลม
“แม่บอกว่าท่านจัดของปนเปกันไปหมด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องเอาเสื้อกันลมติดตัวไปด้วย แม้ตอนนี้จะไม่หนาวแล้ว แต่ลมและทรายอาจพัดทำให้ร่างกายท่านเจ็บปวดได้” เหยียนจื่อกล่าว
ดวงตาของนางพลันแดงก่ำขึ้นมา
ผ้าเช็ดหน้าสองผืน เสื้อกันลม และขวดดินล้วนไม่ใช่ของมีค่า มันสามารถหาซื้อได้ทุกที่ แต่ความรักความห่วงใยที่แม่มีต่อลูกสาว ช่างมีค่ายิ่งนัก
ตอนที่นางกลับไปเก็บของที่บ้าน นางเอาเสื้อผ้าไปสองชุด ที่เหลือคือเครื่องประดับและเงินจำนวนมาก นางคิดว่าเมื่อมีเงินก็ไม่ขาดสิ่งใดแล้ว แต่ผ้าเช็ดหน้าที่ซื้อได้ทั่วไปเหล่านั้นมิอาจเทียบเท่ากับผ้าฝีมือของแม่นางได้เลย
“เหยียนจื่อ กลับไปบอกแม่ว่าข้าจะดูแลตัวเองให้ดี…”
เหยียนอี้สะอื้นไห้ “บอกนางว่าเมื่อข้าไปถึงเมืองหลวงและจัดการอะไรเรียบร้อยแล้ว ข้าจะพาเจ้าและแม่ไปที่เมืองหลวง เที่ยวชมให้เพลิดเพลินใจ”
เหยียนจื่อพยักหน้าและพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น พี่ต้องตั้งใจทำอาหารและเป็นแม่ครัวอันดับหนึ่งให้ได้นะ! เมื่อเวลานั้นมาถึง ครอบครัวของเราจะได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงด้วยกัน จะไม่แยกจากกันอีก!”
เหยียนอี้พยักหน้าอย่างจริงจัง
หญิงสาวทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ระหว่างนั้นรถม้าของฮ่องเต้ไม่ได้หยุดรอ กลับเดินทางต่อไปโดยไม่รอพวกนาง
เหยียนอี้กับน้องสาวขึ้นขับเกวียนลาทันทีและพยายามตามคนกลุ่มใหญ่ให้ทัน โชคดีที่กลุ่มใหญ่เคลื่อนที่ช้าและไล่ตามได้ไม่ยาก
เฉินฟู่เซินพยายามชะลอม้าให้เหยียนอี้ตามเขาทัน
องค์ชายแปดเป็นเจ้านายเฉินฟู่เซิน เขามีบุคลิกที่สดใสดั่งดวงอาทิตย์ ช่างแตกต่างกับเฉินฟู่เซินไม่น้อย เมื่อเห็นว่าเฉินฟู่เซินจงใจชะลอ เขาก็ไม่อยากจะนำหน้าไปก่อน จึงชะลอไปอยู่ข้าง ๆ และพูดคุยสองสามคำ
ไม่นานเหยียนอี้และเหยียนจื่อก็ใกล้ตามพวกเขาทัน
เหยียนจื่อกระซิบว่า “พี่เฉินเป็นคนดี เขารอพี่ด้วย ชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ค่อย ๆ ไป เขาก็เป็นคนดีเช่นกัน”
“แน่นอน พวกเขาสองคนเป็นคนดี เจ้ากล้ามาขวางทางขบวนเพื่อข้า เจ้าก็เป็นคนดีเช่นกัน”
ทันใดนั้น องค์ชายแปดก็หันกลับมามองพวกนางพลางคิดว่าภาพหญิงสาวสองคนขี่เกวียนลานั้นน่าสนใจมาก เขาจึงยิ้มอย่างสดใสให้พวกนาง
เหยียนจื่ออดไม่ได้ที่จะชื่นชม “ชายคนนั้นรูปงามเหลือเกิน เขาเป็นใครหรือ?”
เหยียนอี้ลูบจมูกของนางแล้วพูดว่า “เขาคือองค์ชายแปดในราชวงศ์ปัจจุบัน”
ระหว่างที่พวกนางคุยกันก็ไล่ตามเฉินฟู่เซินและหลี่หรงเฉิงทันในที่สุด
จากนั้นเหยียนอี้ก็บอกลาน้องสาว แล้วเหยียนจื่อก็ขับเกวียนกลับคนเดียว
หลังเกวียนลาไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้อง ลายกขาหน้าขึ้นด้วยความตกใจ ทำเกวียนหงายหลัง
เหยียนอี้ที่เพิ่งปีนขึ้นหลังม้าของโจวเจียหันกลับมาและอุทานว่า “เหยียนจื่อ!”
ปรากฏว่าลาตัวนั้นดันไปเหยียบกับดักหมูป่าของนายพราน
มันแปลกมาก จะมีกับดักหมูป่าอยู่บนถนนได้อย่างไร?
ก่อนที่เหยียนอี้จะทันได้กลับไปตรวจสอบว่าเหยียนจื่อปลอดภัยหรือไม่ ม้าที่อยู่ข้างหน้านางหลายตัวก็พากันกรีดร้อง ดูท่าพวกมันก็เหยียบกับเช่นกัน
เหล่าม้าร้องและวิ่งอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ขบวนแตกแถว
แม้ว่าสถานที่นี้จะเป็นถนนสายหลัก แต่ก็ห่างไกลและมีรถม้าวิ่งผ่านไม่กี่คัน จึงมีหญ้าเตี้ย ๆ มากมายบนถนน กับดักเหล่านี้มีขนาดเล็กกว่ากับดักทั่วไป พวกมันถูกวางซ่อนอยู่ในพื้นหญ้าเตี้ย ๆ และไม่เป็นที่สังเกต
ม้าของโจวเจียเป็นม้าฉลาด มันรู้วิธีหลีกเลี่ยงกับดัก อย่างไรก็ตาม ทั้งขบวนต่างก็สับสนวุ่นวาย หลายคนล้มลงกับพื้น และอีกหลายคนถูกม้าของคนอื่นล้มทับ เกิดเหตุการณ์โกลาหลชั่วขณะหนึ่ง
“เจ้าม้า รีบวิ่งไป!” โจวเจียขี่ม้าไปข้างหน้าขบวน
ม้าตกใจและควบคุมตัวเองไม่ได้ ขณะนั้นฮ่องเต้ยังนั่งอยู่ในรถม้า
องค์รัชทายาทรีบกระโดดขึ้นไปบนรถของฮ่องเต้และเปิดประตู แม้ว่าฮ่องเต้จะชรามากแล้วแต่เขาก็ยังแข็งแรง เขาใช้โอกาสนี้กระโดดออกไปและซวนเซอยู่สองก้าว
องค์รัชทายาทกระโดดลงจากรถและลงพื้นเช่นกัน
ในเวลานี้ กลุ่มชายสวมหน้ากากรายล้อมพวกเขาพร้อมอาวุธในมือ พวกเขาพร้อมลงมือฆ่าทุกคนที่เห็น
“นักฆ่า! นักฆ่า! คุ้มกัน!” ขันทีจ้าวอันตะโกนขึ้นและขอให้ทุกคนคุ้มกันฮ่องเต้และองค์รัชทายาท
[1] กินเต้าหู้ เป็นสำนวนแปลว่าอยากแตะเนื้อต้องตัว