ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 44 น้ำแกงฝูหรง(รีไรท์)
บทที่ 44 น้ำแกงฝูหรง(รีไรท์)
ฮ่องเต้ตักคำแล้วคำเล่า และท้ายที่สุดพระองค์ก็ยกดื่มทั้งชาม
เขามองลงมาที่เหยียนอี้ จากนั้นพูดกับองค์รัชทายาทและองค์ชายแปด “ลุกขึ้นทั้งสองคน มาชิมน้ำแกงนี้สิ”
องค์รัชทายาทยืนขึ้นอย่างเงียบ ๆ แต่เข่าขององค์ชายแปดเหน็บชาเพราะคุกเข่าเป็นเวลานาน เมื่อเขายืนขึ้นจึงเดินโซเซเล็กน้อย องค์ชายรัชทายาทเอื้อมมือไปช่วยเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนั้น ฮ่องเต้ก็ขมวดคิ้วก่อนชมว่า “เป็นการดีที่เจ้าทั้งสองช่วยเหลือกัน แต่องค์รัชทายาท เจ้าเป็นองค์รัชทายาท และทุกสิ่งในโลกนี้จะถูกส่งต่อให้เจ้าในอนาคต เจ้าไม่อาจปกป้องน้องชายของเจ้าได้ตลอดไปหรอก”
องค์รัชทายาทตอบรับ แต่แล้วก็ตรัสขึ้นว่า “แต่ว่า…น้องแปดมิผิดนะพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อมองดูคราบน้ำตาบนใบหน้าขององค์ชายแปด ฮ่องเต้ก็พลันรู้ได้ว่าตนเย็นชากับเขามาโดยตลอด วันนี้เขาโดนดุ เขาคงรู้สึกแย่ ฮ่องเต้คิดได้ดังนั้นเลยทำใจให้อ่อนลงและเอื้อมมือไปเรียกเขา
“ข้ารู้ว่ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรือแม่ของเจ้า มันเป็นความผิดของข้าเอง” ฮ่องเต้ตรัส
องค์ชายแปดขมวดคิ้วด้วยความคับข้องใจแล้วตรัสเสียใหม่ “มันเป็นความผิดของลูกเองพ่ะย่ะค่ะ ลูกควรจะรู้สถานการณ์บ้านเมือง กลับกล่าวแก้ตัวให้หนานโจวเสียได้”
องค์รัชทายาทเสริม “สนมจ้าวอยู่ในวังมากว่ายี่สิบปี นางขาดการติดต่อกับหนานโจวไปนานแล้ว น้องแปดเองก็มิใช่คนไม่มีเหตุผลเช่นนั้น หนานโจวกระทำการอุกอาจเช่นนี้ ข้าคิดว่าคงมิอยากจะปรองดองกันอีกต่อไป และเมื่อเป็นเช่นนั้น ลูกยินดีที่จะนำกองทัพหนึ่งแสนนายเพื่อกวาดล้างพวกคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายแปดยังตรัสอีกว่า “ท่านพี่เป็นถึงองค์รัชทายาท จะไปด้วยตนเองได้อย่างไร เสด็จพ่อ หากหนานโจวชั่วร้าย ลูกขอเป็นทัพหน้าต่อสู้เองพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “สมกับเป็นลูกชายของข้า”
จ้าวอันดึงเก้าอี้ออกมาให้องค์รัชทายาทและองค์ชายแปดนั่งลง
ฮ่องเต้ชี้ไปที่หม้อน้ำแกงฝูหรง “รสชาติดีมาก พวกเจ้าลองชิมดู”
ทั้งสองกล่าวขอบคุณและก้มหน้าชิมน้ำแกง
ฮ่องเต้แตะเข่าขององค์รัชทายาท ถามไปว่า “หรงอวี่ ขาของเจ้ายังชาอยู่หรือไม่”
องค์รัชทายาทวางชามลงแล้วพูดว่า “ลูกไม่ได้คุกเข่านานเท่าน้องแปด ไม่รู้สึกชาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายแปดดื่มน้ำแกงก่อนจะตรัส “เมื่อครู่ลูกรู้สึกคับข้องใจอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ได้ดื่มน้ำแกงที่ปรุงโดยแม่นางเหยียนแล้ว มันอร่อยมาก ขาของลูกไม่ชาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอี้มองดูทั้งสามคน เมื่อครู่ราวกับพายุโหมกระหน่ำ ยามนี้ท้องฟ้ากลับสดใสไร้เงาเมฆเสียแล้ว ช่างเหมือนยามที่นางเล่นกับแม่และเหยียนจื่อที่บ้านไม่มีผิด
แม่ของนางก็เหมือนกัน บางครั้งแม่ก็ดุเพราะนางซนเกินไป ในเวลานี้ ตราบใดที่นางปรุงอาหารแสนอร่อยเพื่อเกลี้ยกล่อมเหอซื่อ หรือเกลี้ยกล่อมน้องสาวของนางด้วยถังหูลู่หนึ่งไม้ ครอบครัวก็รักใคร่กลมเกลียวกัน
แต่ตอนนี้ เมื่อเหยียนจื่อโตขึ้น นางไม่สามารถเกลี้ยกล่อมน้องสาวได้อีกแล้ว แต่ยังโชคดีที่นางสร้างปัญหาน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก
เมื่อคิดถึงเหยียนจื่อ นางก็นึกขึ้นได้ว่าน้องสาวไปเต้นรำที่เมืองข้าง ๆ เมื่อสองสามวันก่อนและยังไม่กลับมา ช่วงนี้นางยุ่งอยู่กับการรับใช้ฮ่องเต้ทำให้ไม่ได้กลับบ้านมาหลายวัน ไม่รู้ว่าเหยียนจื่อจะกลับมาแล้วหรือยัง
อีกทั้งสงสัยว่าแม่ของนางจะเป็นห่วงนางตอนอยู่คนเดียวที่บ้านหรือไม่?
หลังจากที่ฮ่องเต้รับประทานอาหารเสร็จแล้ว เหยียนอี้ก็ลงไปชั้นล่างพร้อมกับชามเปล่า นางทำงานในครัวอยู่พักหนึ่งก่อนจะทำชามข้าวสำหรับตัวเอง
หลังจากกินไปไม่กี่คำ เฉินฟู่เซินก็เข้ามา
ตอนนี้เขาดูภูมิฐานมากโขในฐานะองครักษ์จินอู๋ เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นขั้นห้า หากหวังอี้จืและจี้กงจื้อเห็นจะต้องหยอกล้อเป็นแน่ องค์ชายแปดยังให้ดาบที่ฮ่องเต้พระราชทานให้แก่เขา ซึ่งตอนนี้มันถูกเหน็บอยู่ข้างเอว ทำให้เขาเหมือนวีรบุรุษที่โดดเด่นเข้าไปอีก
ทว่าใบหน้าของเขากลับดูครึ้มทะมึน ดูไม่มีความสุขมากกว่าแต่ก่อน
เมื่อนางเห็นเขา นางรู้ว่าเขามาที่นี่เพื่อกินอาหารเย็น
หน้าที่องครักษ์ฟังดูดีไม่น้อย แต่เขาต้องรับใช้อยู่ข้างกายองค์ชายทุกวัน ไม่มีเวลาพักที่แน่นอน
หากเขาอยู่ในวัง พวกเขาสามารถผลัดกันรับใช้ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่นอกวัง
เดิมทีองค์ชายแปดพาองครักษ์จินอู๋ที่ไว้ใจได้สองคนติดตามมาด้วย แต่คนหนึ่งถูกนักฆ่าสังหารไปแล้ว ส่วนอีกคนแขนหัก ไม่อาจอารักขาองค์ชายได้ จึงเหลือเพียงเฉินฟู่เซินคนเดียว
เมื่อเห็นว่ามือของเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลหนา ไม่สะดวกที่จะหยิบตะเกียบ เหยียนอี้จึงให้ช้อนแก่เขา แต่มือของเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ใช้ช้อนไม่ถนัดนัก
เมื่อเห็นว่าเขากินอย่างงุ่มง่าม เหยียนอี้จึงยิ้มแล้วพูดว่า “มานี่สิ ข้าจะป้อนเจ้าเอง”
แล้วเขาก็นั่งข้างนาง ยอมอ้าปากอย่างเชื่อฟัง
เฉินฟู่เซินแลดูเหมือนหมาป่าที่เชื่อฟัง ทำเหยียนอี้ขบขันยิ่ง นางจึงอดไม่ได้ที่จะสัมผัสหัวของเขา
เขาเอียงศีรษะไปข้างหนึ่ง พยายามหลบ แต่ก็ล้มเหลว มือของนางสัมผัสหน้าผากของเขาได้ในที่สุด
นางป้อนเขาด้วยช้อน ยัดอาหารเข้าไปในแก้มจนป่อง นั่นยิ่งขับให้เฉินฟู่เซินน่ารักน่ามองขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบวิธีกินเช่นนี้นัก เขาได้แต่เคี้ยวอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวกำลังจะสำลัก เหยียนอี้ก็หยุดป้อนแล้วหยอกเย้าดู “ดูเหมือนว่าองค์ชายจะไม่อนุญาตให้เจ้ากินเลยสินะ”
เฉินฟู่เซินพึมพำ เคี้ยวอย่างแรงอีกรอบ
“เจ้าอยากเป็นองครักษ์จริง ๆ หรือ”
เฉินฟู่เซินนิ่งไปเมื่อได้ยินคำถาม
เหยียนอี้มองรอบกาย หลังแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้ นางก็พูดว่า “ข้าไม่คิดว่าการที่เจ้าได้เป็นองครักษ์จินอู๋จะทำให้เจ้ามีความสุขจริง ๆ แต่เหตุใดเจ้าถึงร้องขอต่อฮ่องเต้เช่นนี้”
หลังเฉินฟู่เซินได้ยิน เขาก็กลืนอาหารอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มกระแอมก่อนจะพูดว่า “คนขึ้นสูง น้ำไหลลง”
“แล้วอยากสูงแค่ไหนล่ะ”
เขาเย้ยหยัน “สูงมาก ๆ”
นางก็ตักข้าวอีกช้อนป้อนเข้าปากเขา “ถ้าเช่นนั้น เจ้าควรกินมากกว่านี้ อิ่มแล้ว เจ้าจะได้มีแรงปีนขึ้นไป”
เฉินฟู่เซินคว้ามือของเหยียนอี้ที่ถือช้อนไว้ก่อนจะกล่าวว่า “หากเจ้าป้อนข้าเช่นเมื่อครู่อีก ข้าก็คงสำลักตาย ไม่มีโอกาสปีนอีกแล้ว”
ตอนที่ทั้งสองกำลังคุยกัน องค์รัชทายาทก็เข้ามาจากด้านนอก ตรัสกับเหยียนอี้ว่า “ขอโทษนะ องครักษ์เฉิน น้องแปดถามหาเจ้าอยู่”
“เหตใดองค์รัชทายาทถึงมาในครัวเพคะ?” เหยียนอี้ตกตะลึง
ทั้งสองโค้งคำนับองค์รัชทายาทอย่างรวดเร็ว
องค์รัชทายาทสัมผัสท้องของเขาด้วยความอับอาย กะพริบตาให้เหยียนอี้ก่อนจะสารภาพว่า “ตอนนั้นท่านพ่อโกรธมาก ข้ากับน้องแปดได้ดื่มชามน้ำแกงเพียงเล็กน้อย เรายังไม่อิ่มเลยมาหาอะไรเติมท้องที่นี่”
จากนั้นเขาก็ตรัสกับเฉินฟู่เซิน “องครักษ์เฉิน ข้าคิดว่าน้องแปดก็คงหิวเหมือนกัน เจ้านำอาหารไปให้เขาสักหน่อยเถิด ตอนที่เขาคุกเข่าลงแรง ๆ เหมือนบาดแผลบนตัวจะเปิด เจ้าช่วยเรียกหมอหลวงมาตรวจดูอีกครั้ง”
เฉินฟู่เซินรับคำ ขอให้เหยียนอี้ยกข้าวหนึ่งชามและกับสองจานมาวางก่อนจากไป
องค์รัชทายาทถามเหยียนอี้ว่า “เจ้ายังมีน้ำแกงฝูหรงที่เจ้าเพิ่งทำหรือไม่? ข้าอยากลิ้มรสมันอีก”
“ท่านจ้าวบอกเราว่าอาหารในครัวควรเป็นไปตามมาตรฐานห้องเครื่องของฮ่องเต้ หากอาหารที่ปรุงเหลือต้องเททิ้งเพคะ”
องค์รัชทายาทมองดูที่ประตูหลังและถอนหายใจ “ไม่น่าเลย! น่าเสียดายจริง ๆ!”
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทผิดหวัง นางก็อ้าปากกว้าง ชี้ไปที่ปากของตัวเองแล้วพูดว่า “ไม่น่าเสียดายหรอก เพราะข้าทิ้งลงในนี้เพคะ”
องค์รัชทายาทอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้ากล้าดียังไงที่ไม่เชื่อฟังกฎ”
เหยียนอี้ยังยิ้มร่า “องค์ชายรัชทายาท พระองค์กล้าดีอย่างไรถึงมาบอกแม่ครัวว่าฝ่าบาทไม่อนุญาตให้กินอาหารที่เหลือเพคะ?”
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกล้าล้อเล่นเช่นนี้ เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทที่มีสถานะสูงส่ง แท้จริงแล้วนางควรปฏิบัติตามกฎ
แต่เมื่อเขาหยอกล้อกับนางเช่นนี้ นางก็ไม่อยากทำตามกฎใด ๆ
องค์รัชทายาทแสร้งทำเป็นโกรธ “ข้าเพิ่งเห็นเจ้าป้อนอาหารองครักษ์เฉิน เจ้าทำอาหารให้เขาด้วยหรือ”
เหยียนอี้หัวเราะคิกคัก “องครักษ์เฉินโชคดีกว่าฝ่าบาทนักเพคะ แม้ว่าวันนี้เขาจะไม่ได้กินน้ำแกงฝูหรง แต่ข้าเคยปรุงให้เขาหลายครั้งตั้งแต่สองปีก่อนเพคะ!”
องค์รัชทายาทถามว่า “โอ้ รู้จักองครักษ์เฉินมาก่อนอย่างนั้นหรือ”
“อา องค์รัชทายาทไม่รู้เรื่องนั้นหรือ ทุกคนในเมืองรู้เรื่องนี้ดี องครักษ์เฉินเคยอาศัยอยู่ในบ้านของข้า แล้วเขาก็ออกไปเป็นเวลานานเพราะมีเหตุผลบางอย่าง”
“เขาอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้า เช่นนั้นเขาเป็นญาติของเจ้าหรือ” องค์รัชทายาทถามอย่างใคร่รู้
เมื่อเหยียนอี้กำลังจะปฏิเสธ แต่แล้วนางก็นึกถึงความลับน่าสงสัยของเฉินฟู่เซิน ตอนนี้เขาทำหน้าที่ให้ราชวงศ์ คงดีกว่าหากไม่ทำให้องค์รัชทายาทสงสัย
นางจึงพูดว่า “เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าเพคะ แต่พ่อกับแม่เขาหย่าร้างกันนานแล้ว เขาไม่มีพ่อและมีเพียงแม่ของเขาที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก เราจึงมีนามสกุลเหมือนกัน”
“เขาอาศัยอยู่ในบ้านของเจ้า เขาช่างโชคดีที่ได้กินอาหารดี ๆ จริง ๆ ” องค์รัชทายาทตรัส
“แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เจ้าจะกลับไปกับพวกเราและทำน้ำแกงให้ข้าทุกวัน แม้ว่าเสด็จพ่อจะชอบเจ้า หากข้ายืนกรานที่จะขอให้เจ้าไปที่ห้องเครื่องของตำหนักของข้า เสด็จพ่อคงไม่ว่ากระไร”
“กลับวัง? ใครจะอยากกลับกับฝ่าบาทเพคะ” เหยียนอี้พูดอย่างกังวล
องค์รัชทายาทตรัส “เจ้าได้ทำอาหารให้ราชวงศ์มาสามวันแล้วเสด็จพ่อพอใจยิ่งนัก แน่นอนเจ้าต้องกลับไปที่วังกับเรา”
“ในเวลากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ ราชวงศ์จะจับแม่ครัวไปได้อย่างไรกันเพคะ!” ดวงตาของเหยียนอี้เต็มไปด้วยความไม่พอใจ
องค์รัชทายาทคลี่ยิ้ม ตรัสต่อว่า “บรรดาพ่อครัวที่มีชื่อเสียงในโลกหล้าล้วนต้องการเข้าไปยังห้องเครื่องหลวง เจ้ามีโอกาสนี้ทั้งที เหตุใดเจ้าถึงยังไม่เต็มใจล่ะ?”
“ข้าไม่เต็มใจเพคะ!”
“มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” องค์รัชทายาทกล่าว
“ข้า… ข้ามีช่วงเวลาที่ดีในเมืองอวิ๋นเจี้ยน เหตุใดถึง…”
หลี่หรงอวี่ไม่ต้องการโต้เถียงกับเหยียนอี้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ในความเห็นของเขา แน่นอนว่าเสด็จพ่อจะพานางเข้าไปในวังแน่ ทั้งนี้เพราะถูกใจฝีมือการทำอาหารของนาง
แม้เขาต้องการให้นางไปที่ตำหนักตน แต่เกรงว่าฮ่องเต้จะไม่พอใจ เขาไม่อาจโต้แย้งสิ่งใดได้ นับประสาอะไรกับเหยียนอี้สาวน้อยผู้นี้?
แต่เขาก็ยังเตือนนางด้วยความหวังดีว่า “หากเจ้าอยากพูดอะไรเช่นนั้น ก็พูดต่อหน้าข้า จงอย่าพูดต่อหน้าเสด็จพ่อ หากพระองค์กริ้วเกรงว่าเจ้าจะกระทำความผิดร้ายแรง โทษฐานขัดคำสั่งราชวงศ์ นับเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่หลวง”
เหยียนอี้รู้ว่าเป็นการยากที่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้ หากฮ่องเต้ต้องการเชิญนางไปที่ห้องเครื่องของพระองค์จริง ๆ นางก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แม้ว่านางจะพยายามอย่างดีที่สุดแล้วก็ตาม
แม้นางจะไม่เต็มใจ แต่นางจะทำอะไรได้บ้างในฐานะหญิงสาวที่อ่อนแอคนหนึ่ง? นางไม่อาจหนีพ้น เพียงเพราะนางไม่ต้องการเป็นแม่ครัวหรอก
ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปลอบตัวเองในตอนนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องดีที่จะเป็นแม่ครัวของฮ่องเต้ ได้เงินเดือนและยศสูงส่ง เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล
ในตอนแรก นางจะพยายามปลอบใจตัวเอง วังหลวงก็เป็นเพียงพื้นที่สี่เหลี่ยมเท่านั้น ทว่าเมื่อได้เข้าไป เพียงแค่ทางเข้าด้านหน้าก็ลึกราวกับมหาสมุทร คนอย่างนางอาจจะไม่รอดในสองวันหลังจากเข้าวังก็ได้
มีนิยายมากมายที่เขียนเกี่ยวกับแผนการและกลอุบาลต่าง ๆ ในวัง
นางสนมวางยาพิษองค์ชาย หรือนางสนมวางแผนทำร้ายนางสนมด้วยกันเอง หากเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกินขึ้นมา คนในห้องอาหารของวังจะมิถูกฆ่าตายในไม่กี่นาทีหรือ?
นางไม่อยากเข้าวังไปเป็นแพะรับบาปจริง ๆ