ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 43 นักฆ่ามาจากหนานโจว(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 43 นักฆ่ามาจากหนานโจว(รีไรท์)
บทที่ 43 นักฆ่ามาจากหนานโจว(รีไรท์)
องค์ชายแปดปลื้มใจมากที่ได้รับผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังและเก่งกาจเช่นนี้ เขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จพ่อส่งองครักษ์มาปกป้องข้าทันทีที่เห็นว่าข้าได้รับบาดเจ็บ แต่องครักษ์คนใหม่ของข้าก็ได้รับบาดเจ็บด้วย หากเกิดอะไรขึ้น เราจะกลายเป็นคู่ที่ไร้ประโยชน์อย่างสมบูรณ์แบบเชียวพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทอดหัวเราะไม่ได้ “เจ้านี่นะ เลือดออกเช่นนี้ยังทำอะไรปากเจ้ามิได้เลย เกรงว่าหากมีมือสังหารมาอีกในภายหลัง ข้าคิดว่าเจ้าสามารถฆ่าได้อีกสิบคนแปดคนเลยทีเดียว”
องค์ชายแปดทำหน้ามุ่ย “เสด็จพ่อ ฟังที่พี่รองพูดสิ เห็นข้าบาดเจ็บอยู่แท้ ๆ แต่พี่รองยังจะให้ข้าต่อสู้เพื่อเขา ไม่เมตตาข้าแม้แต่น้อย”
ใบหน้าที่สง่างามของฮ่องเต้ประดับด้วยความขบขันจากบุตรชายทั้งสอง เขายิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าแค่ต้องรู้กำลังของตัวเอง อย่าผลีผลามทำสิ่งใดแล้วเจ้าจะได้แผลน้อยลง เจ้าขี้เกียจเรียนศิลปะการต่อสู้ พอเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่เก่งเท่าผู้อื่นเขา แล้วยังทำตัวเก่งกาจอีก ดูเจ้าตอนนี้สิ!”
ในขณะนี้ บาดแผลถูกพันผ้าเรียบร้อยด้วยฝีมือหมอหลวง องค์ชายแปดลุกขึ้นยืน กระโดดไปที่ด้านข้างขององค์รัชทายาทแล้วพูดกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ หากใบมีดไม่ตัดข้า พวกมันจะพุ่งไปที่เสด็จพ่อและพี่รองนะพ่ะย่ะค่ะ ข้าน่ะทำผลงานแล้ว”
องค์รัชทายาทพูดอย่างจริงจังว่า “หรงเฉิง เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร!”
องค์ชายแปดรีบตบปากตัวเองและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าควบคุมปากของตัวเองไม่ได้ แต่ถ้าหากพี่รองบาดเจ็บ เสด็จพ่อจะมาตีข้าไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยื่นนิ้วจิ้มไปที่หน้าผากบุตรชาย ตรัสอย่างเอือมระอา “เจ้านี่มัน!”
ด้วยเสียงหัวเราะขององค์ชายแปด บรรยากาศที่ตึงเครียดเลยผ่อนคลายลง
พ่อและลูกชายคุยกันโดยไม่สนใจเฉินฟู่เซินผู้บาดเจ็บ
เขากำหมัดอย่างเงียบ ๆ จนบาดแผลในมือฉีก เลือดไหลลงพื้นทีละหยด
…
หลังจากนั้น พวกเขาสามคนก็ทยอยขึ้นไปชั้นบน ในไม่ช้าทุกคนที่อยู่ด้านล่างก็แยกย้ายกันไป
เหยียนอี้กำลังยุ่งอยู่กับการกำกับเด็กในร้านให้จัดโต๊ะและเก้าอี้หัก ๆ อีกทั้งจัดการกับกลุ่มทหารที่ใต้เท้าจี้ให้คุ้มกันทั้งภายในและภายนอกภัตตาคาร
ไม่นานท้องฟ้าก็มืดลง แต่สถานที่ที่เกิดการต่อสู้ที่อยู่ชั้นล่างนั้นไม่อาจรับการซ่อมแซมทันเวลา
เพราะฮ่องเต้ประทับอยู่ในภัตตาคารกุ้ยซาน นางจึงไม่สามารถทำกิจการใด ๆ ได้ไปอีกสองสามวัน
…
หลังจากนั้น มีรายงานต่อเจ้าเมืองอวิ๋นเจี้ยน แม้เขาจะได้รับคำสั่งไม่ให้ไปเข้าเฝ้าและรบกวนการพักผ่อนของฮ่องเต้และองค์ชาย ทว่าเขากลับวุ่นวายคัดคนรับใช้จากในจวนเพื่อมาที่ภัตตาคารกุ้ยซานแทน
แต่ฮ่องเต้ไม่เคยให้คนแปลกหน้ามารับใช้พระองค์ ดังนั้นทุกคนที่เจ้าเมืองหวังจัดหามาจึงถูกจัดให้อยู่ในสวนข้างหลังและห้องครัวแทน
เหยียนอี้มีความสุขที่ได้มีช่วงเวลาที่ดี นางให้เสี่ยวเอ้อทุกคนในร้านได้รับค่าจ้างและแยกย้ายไปพักผ่อน แม้แต่เถ้าแก่เจิ้งก็กลับบ้านไปเลี้ยงลูก
แต่นางกลับไปไม่ได้ ทั้งนี้เพราะฮ่องเต้รับสั่งให้นางรับผิดชอบอาหารการกินในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา
ทำอาหารให้ฮ่องเต้ ต้องมีสิ่งใดเป็นพิเศษบ้าง?
แน่นอนว่าทุกอย่างต้องดีที่สุด ดีถึงขั้นที่สามารถยกอาหารจานใดก็ได้มาวางในงานเลี้ยงของวัง
แต่กฎเกณฑ์ในวังนั้นมีมากมาย คนใช้ต้องรวบรวมและซื้อวัตถุดิบด้วยตนเอง อาหารทุกจานจะต้องทดสอบด้วยเข็มเงิน
ไม่อาจวางจานทอดบนโต๊ะได้ทันที ต้องมีคนรับใช้สามคนคอยชิมทดสอบก่อน หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป พวกเขาจึงจะสามารถนำไปถวายฮ่องเต้ แล้วต้องทดสอบพิษด้วยเข็มเงินอีกครั้ง
เนื่องจากเหตุลอบสังหารเพิ่งเกิดขึ้น ผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังยังคงลอยนวล และไม่มีใครรู้ว่ายังมีนักฆ่าอยู่อีกหรือไม่ ทุกคนจึงระมัดระวังอย่างยิ่ง
เหยียนอี้ยังคงกังวล
สำหรับนาง อาหารทอดนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการให้น้ำมันเดือดในกระทะร้อน ปรุงเสร็จแล้วต้องรับประทานทันที หากต้องวางมันลงบนโต๊ะเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม รอคนใช้ทดสอบแล้วพอถึงฮ่องเต้ ยังจะเหลือรสชาติอะไรอีก?
นางกลัวว่าอาหารจะเย็นชืดเสียรสชาติจึงต้องคอยอุ่นในเตา
ตอนนี้เหยียนอี้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดรายการอาหารในวังถึงมีแต่น้ำแกง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหยียนอี้ต้องเปลี่ยนรายการอาหารเพื่อทำให้ฮ่องเต้และองค์ชายพอใจ
“ฝ่าบาท นี่คือซุปเป็ดแปดสมบัติ”*[1]
“นี่คือพระกระโดดข้ามกำแพง”*[2]
“นี่เป็นซุปหวานปากปลา”*[3]
“นี่คือน้ำค้างเข็มทองกุ้ง”*[4]
“นี่คือ…”
นางมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของนาง
ตามที่คาดไว้ ฮ่องเต้ก็พอใจกับอาหารที่นางจัดเตรียมให้
พระองค์เสวยเช่นนี้ทั้งสามวัน
…
สามวันต่อมา จี้กงจื้อคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้
แม้นักฆ่าเหล่านั้นจะตายหมด ไม่มีผู้เหลือรอดสักคน ไม่มีร่องรอยบนร่างของนักฆ่า และพวกเขาก็ไม่พบสิ่งใดเป็นพิเศษที่บ่งบอกถึงที่มา เมืองอวิ๋นเจี้ยนสงบสุข ไม่เคยมีการจับโจรสักคน
ทว่าในที่สุดพวกเขาก็พบว่านักฆ่ามาจากที่ใด
“หนานโจว! พวกมันมาจากหนานโจว!”
ระหว่างนั้นเหยียนอี้มาส่งอาหารให้ฮ่องเต้พอดี นางพลันได้ยินเสียงแจกันแตกอยู่ข้างใน
หัวใจของเหยียนอี้เต้นรัว นั่นคือของโบราณของราชวงศ์ก่อนเชียวนะ!
ฮ่องเต้ยังคงเดินไปมาอยู่ในห้อง พร้อมด้วยองค์ชายแปด หวังอี้จือ และจี้กงจื้อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ขณะที่องค์รัชทายาทยืนเคียงข้างด้วยท่าทางจริงจัง
จ้าวอันขันทีชราเดินออกจากห้องอย่างเงียบ ๆ และโบกมือให้เหยียนอี้รวมถึงคนอื่น ๆ ออกไป
เหยียนอี้โค้งคำนับให้เขา และกำลังจะจากไป แต่นางกลับได้ยินองค์ชายแปดคร่ำครวญอยู่ข้างใน “เสด็จพ่อ! อย่างไรก็ต้องสอบสวนเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ หนานโจว… หนานโจวจะคิดขบถเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้ยกมือขึ้นตบหน้าองค์ชายแปดฉาดใหญ่ เขาพูดอย่างโกรธเคืองว่า “เป็นแค่อาณาจักรเล็ก ๆ ช่างเนรคุณเสียจริง!”
ขนาดเหยียนอี้ยืนอยู่นอกประตูยังได้ยินเสียงตบชัดเจน นางหวาดกลัว รีบไปจากตรงนี้ทันที
นางได้ทำอาหารของฮ่องเต้เป็นเวลาสองถึงสามวัน ระหว่างนั้นนางเคยพูดคุยกับองค์ชายแปดอยู่บ้าง พระองค์เป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายมาก
นางมักเห็นฮ่องเต้และองค์ชายพูดคุยกันตลอดเวลา แม้ว่าองค์ชายแปดศักดิ์และเกียรติมิอาจเทียบเท่าองค์รัชทายาท แต่เขาก็ฉลาดพอที่จะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นฮ่องเต้ถึงโกรธมากเพียงนั้น?
หลังจากเหยียนอี้อ่านหนังสือหลายสิบหน้าเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน นางก็เห็นหวังอี้จือและจี้กงจื้อเดินออกมาด้วยกัน
เนื่องจากพวกเขาได้รู้ที่มาของผู้ลอบสังหารแล้ว ฮ่องเต้จะไม่สอบสวนความผิดฐานละเลยหน้าที่ หมวกผ้าแพรบางบนศีรษะเลยยังคงอยู่
ไม่ว่าฮ่องเต้จะโกรธเพียงใด แต่มันเป็นเรื่องทางการเมืองที่ต้องกังวล พระองค์จึงจะกลับไปในอีกไม่กี่วัน ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นในใจกลางเมืองหรือชายแดน มิใช่เรื่องที่ขุนนางท้องถิ่นอย่างพวกเขาต้องกังวล
ทั้งสองมาที่ห้องภัตตาคารกุ้ยซานทุกวันเพื่อรายงานความคืบหน้าด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว แต่วันนี้พวกเขาอารมณ์ดีและเริ่มทักทายเหยียนอี้
เหยียนอี้สนใจเรื่องซุบซิบอยู่แล้ว นางถามเสียงต่ำ “นายท่านทั้งสอง ใครคือผู้ลอบสังหาร เหตุใดพวกเขาถึงกล้าหาญนักเจ้าคะ?”
จี้กงจื้อลดเสียงลงแล้วพูดว่า “พวกมันมาจากหนานโจว”
หวังอี้จือดึงแขนเสื้อจี้กงจื้อออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าหนู อย่าพูดเหลวไหล!”
จี้กงจื้อตอบอย่างเฉยเมยว่า “อาณาจักรหนานโจวช่างอุกอาจยิ่งนัก พอฝ่าบาทกลับไปยังเมืองหลวง เขาต้องส่งกองทัพใหญ่ไปจัดการแน่ หลังจากทำลายอาณาจักรนั้นแล้ว พวกมันจะไปซ่อนที่ไหนได้อีก”
“ยิ่งไปกว่านั้น ฮ่องเต้ชอบเหยียนอี้มากตอนนี้ หากหลังจากนี้นางได้เข้าวัง นางย่อมสนับสนุนพี่น้องของเราใช่หรือไม่?”
“ฝ่าบาทชอบอาหารที่ข้าปรุง ไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย เหตุใดต้องพาข้าไปที่วัง ไม่สิ เขามาพาข้าออกไปครั้งก่อน… เขาต้องการให้ข้าทำงานในห้องเครื่องในวังจริง ๆ หรือ?”
เหยียนอี้ไม่เพียงแต่กังวลว่าจะถูกบังคับนำตัวไปที่วังหรือไม่ แต่ยังสงสัยเกี่ยวกับความโกรธของฮ่องเต้ด้วย นางรีบถามอีกว่า “แล้วเหตุใดพระองค์จึงโกรธเคืองแล้วทุบตีองค์ชายแปดล่ะเจ้าคะ?”
จี้กงจื้อมองไปรอบ ๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครแล้ว เขาก็พูดกับเหยียนอี้ว่า “แม่นางเหยียน ข้าบอกเจ้าแล้ว อย่าบอกใครล่ะ”
นางตบที่คอเสื้อของนาง “เชื่อใจข้าได้เลยเจ้าค่ะ!”
จี้กงจื้อกระซิบกระซาบ “สนมจ้าว พระมารดาขององค์ชายแปดมาจากหนานโจว”
“อา นางเป็นองค์หญิงแห่งหนานโจว ถ้าทั้งสองประเทศเป็นปฏิปักษ์กัน องค์ชายแปดจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หวังอี้จือกล่าว
“ไม่ใช่อะไร!” จี้กงจื้อแทรกขึ้น “สนมจ้าวเป็นเครื่องบรรณาการจากหนานโจว นางด้อยกว่าสนมคนอื่น ๆ ในวัง หากไม่ใช่เพราะฮองเฮา วันนี้นางจะร่ำรวยและมีอำนาจมากขนาดนี้ได้อย่างไร?”
“ฮองเฮา?” เหยียนอี้สงสัย
จี้กงจื้อเกาหัว แลดูเหมือนจะจำอะไรบางอย่างได้ ทว่าตอนเขากำลังจะพูดอะไรมากกว่านี้ หวังอี้จือก็ดึงเขากลับมา
“เราไม่อาจเผยแพร่ความลับของราชวงศ์ได้ หุบปากซะ!”
จี้กงจื้ออับอายเล็กน้อย เหยียนอี้จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่อยากรู้แล้ว หากมีคนเห็นท่านสองคนซุบซิบกับข้าที่นี่ เกรงว่าจะไม่ใช่ผลดีต่อตัวข้าเอง ข้าจะไม่ถามแล้วเจ้าค่ะ”
ทั้งสองยิ้มและกล่าวคำอำลา หลังจากกำชับเหยียนอี้ว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องวันนี้เป็นอันขาด พวกเขาก็จากไป
สักพัก จ้าวอันก็ลงไปชั้นล่างและสั่งให้คนใช้ไปส่งอาหาร เหยียนอี้รีบกลับไปที่ห้องครัว หยิบจานในหม้อและขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับขันทีจ้าวอัน
ในห้องนอนของฮ่องเต้ องค์ชายแปดยังคงคุกเข่าอยู่ องค์รัชทายาทก็เช่นเดียวกัน ส่วนฮ่องเต้นั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ ในมือถือภาพวาดโบราณ
หลังจากจ้าวอันและเหยียนอี้เข้าไป นางก็หยิบจานออกมาแล้วพูดว่า “ขอพระองค์โปรดเสวยพระกระยาหารเพคะ”
จ้าวอันเข้าไปช่วยพยุงองค์ฮ่องเต้ “วันนี้แม่นางเหยียนได้ทำอาหารจานใหม่มา ฝ่าบาท ได้โปรดลองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
เหยียนอี้รู้ว่าฮ่องเต้ยังโมโหอยู่ นางจึงฝืนยิ้มแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท วันนี้เป็นซุปฝูหรงเพคะ[5]”
จากนั้น จ้าวอันก็เปิดฝาหม้อ
ฮ่องเต้ดมกลิ่นหอมที่ลอยมาแตะจมูกแล้วถามว่า “เจ้าปรุงอาหารสดใหม่ทุกวัน เหตุใดวันนี้ถึงมีเพียงจานเดียวเล่า?”
“แม้มีจานเดียว แต่ก็มีร้อยพันรสชาติ เชิญชิมเถิดเพคะ ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้พ่นลมออกจมูก “มันก็แค่ซุปฝูหรง ข้าเคยกินจากพ่อครัวหลวงมาหลายคนแล้ว”
“ข้าได้ยินจากท่านจ้าวว่าพระองค์ชอบซุปฝูหรง ข้าปรุงมันขึ้นมาเป็นพิเศษ รสชาตินั้นแตกต่างจากในวังนัก ฝ่าบาทโปรดชิมดูก่อนเถิดเพคะ”
ฮ่องเต้หยิบชามใบเล็กในมือของจ้าวอันแล้วตักขึ้นมาหนึ่งช้อน ไข่เนียนนุ่ม และเต้าหู้ละลายในปากทันที มีเนื้อบางอย่างผสมอยู่ ให้รสชาติที่นุ่มละมุน สดชื่น อร่อยไปทั่วปาก
แม้ว่ามันจะยังคงเป็นรสชาติของซุปฝูหรง แต่ก็แตกต่างจากซุปทั่วไปจริง ๆ ความแตกต่างอยู่ที่ใดกัน? ยากที่จะเข้าใจใดใด บอกได้แค่คำเดียวว่า ‘อร่อย’
[1] ซุปเป็ดแปดสมบัติ (八宝老鸭汤) คืออาหารยัดไส้เป็ด ไส้ที่ยัด เช่น ข้าวเหนียว เม็ดบัว แฮม หอยเชลล์ หอยเป๋าฮื้อ ไป่เหอ ไข่แดงเค็ม เกาลัด
[2] พระกระโดดข้ามกำแพง (山鬼佛跳墙) เป็นซุปเข้มข้นหอมหวานที่เน้นการใช้วัตถุดิบอย่างดี หลากหลายประเภท
[3] ซุปหวานปากปลา (吻鱼千丝羹) มีส่วนประกอบได้แก่ ลูกปลา เห็ดเข็มทอง แครอท ใบกะหล่ำปลีหั่นฝอย เห็ดหูหนู ไข่ลวก น้ำผงไท่ไป่ และเกลือ
[4] น้ำค้างเข็มทองกุ้ง (明虾金针花露) เป็นอาหารที่ประกอบด้วยกุ้งและเห็ดเข็มทอง
[5] ซุปฝูหรง (芙蓉羹) มีวัตถุดิบหลักได้แก่ ซานเย่า หน่อไม้ เห็ด แครอท ไข่เป็ด