ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 42 ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 42 ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี(รีไรท์)
บทที่ 42 ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี(รีไรท์)
ทุกคนในภัตตาคารกุ้ยซานตะลึงพรั่นพรึงไปตาม ๆ กัน เว้นแต่เฉินฟู่เซินที่มองไปที่ฮ่องเต้ด้วยนัยน์ตาขุ่นเคือง
เหยียนอี้เป็นคนแรกที่ตอบโต้ นางรีบคุกเข่าลงแล้วตะโกนว่า “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”
คนของภัตตาคารกุ้ยซานพากันคุกเข่าตามอย่างรีบร้อน แต่พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องแสดงความเคารพแบบใด ด้วยความวิตก ทั้งหมดจึงคุกเข่าลงร้องตะโกน ‘ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี’ กันอย่างสับสน
มีเพียงเฉินฟู่เซินที่ยังคงจ้องฮ่องเต้ด้วยดวงตาที่แข็งกร้าว และไม่ยอมคุกเข่า
เหยียนอี้เห็นว่าเฉินฟู่เซินไม่ได้คุกเข่า นางรีบดึงชายเสื้อให้เขาคุกเข่าลง
เฉินฟู่เซินทำเป็นไม่รับรู้ จ้องมองฮ่องเต้ด้วยสีหน้าทะมึน
โชคดีที่ฮ่องเต้และองค์ชายทั้งสองหันหลังให้กับเฉินฟู่เซินอยู่ จึงไม่มีใครสนใจพฤติกรรมอันหยาบคายของเขา
เหยียนอี้รีบร้อนดึงเฉินฟู่เซินอย่างแรงจนเกือบจะดึงกางเกงของเขาไปด้วย เฉินฟู่เซินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหมอบลง
แต่ก่อนที่จะได้คุกเข่าลง ฮ่องเต้ก็ตรัสขึ้นว่า “ลุกขึ้น!”
ผู้คนแสดงความเคารพและลุกขึ้นยืนทีละคน
มีเพียงจี้กงจื้อเท่านั้นที่คุกเข่าลงบนพื้นและคลานไปหาฮ่องเต้ เขาโขกศีรษะกับพื้นสามครั้งจนหนังศีรษะของเขาแทบถลอก
เขาร้องไห้ด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “กระหม่อมมาช้าจนเกือบจะช่วยพระองค์ไว้ไม่ทันการ โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมไม่รู้มาก่อนว่าฮ่องเต้ องค์รัชทายาท และองค์ชายแปดจะมาถึงที่แห่งนี้ โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงสงบของฮ่องเต้ไม่ได้แฝงร่องรอยของความสุข ความโกรธ หรือความโศกเศร้าแต่อย่างใด “ข้ามาเป็นการส่วนตัว ข้าไม่ต้องการให้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร แม้ว่าเจ้าจะรับผิดชอบการดูแล แต่ข้าก็ไม่อาจตำหนิเจ้าได้ เจ้าทำผลงานได้ดีที่ช่วยชีวิตข้า!”
จี้กงจื้อร้องไห้ด้วยความดีใจและโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อขอบคุณฮ่องเต้
แต่องค์รัชทายาทกลับตรัสว่า “ท่านจี้ ท่านมีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ในการปกป้องแผ่นดิน คอยจับกลุ่มคนร้ายและแก้ไขสถานการณ์ แต่วันนี้มีคนร้ายไม่รู้ที่มาปรากฏตัวในเมืองของเจ้า เจ้ารู้ข้อผิดพลาดของตัวเองหรือไม่”
จี้กงจื้อรีบโขกศรีษะ “ข้าน้อยไร้ความสามารถในการปกป้องบ้านเมือง ปล่อยให้ผู้ร้ายเข้ามาทำให้พระองค์ทรงตกใจ ไม่อาจชดใช้ความผิดของข้าน้อยได้พ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายตรัสต่อว่า “ภายในสามวัน เจ้าต้องค้นหาที่มาของนักฆ่าเหล่านี้และผู้บงการเบื้องหลังทั้งหมดให้ได้ มิฉะนั้นเจ้าเตรียมตัวออกจากตำแหน่งของเจ้าและกลับไปปลูกฝ้ายที่โช่วหยางได้เลย”
แล้วเขาจะไม่รับปากได้อย่างไร?
เหงื่อเย็นซึมออกจากแผ่นอก เขาเป็นเพียงพลทหารขั้นห้าจากต่างแดนมาประจำการในเมืองนานกว่าสิบปี นอกเหนือจากการเข้าพบครั้งหนึ่งในเมืองหลวงเพื่อเข้ารับตำแหน่งแล้วเขาก็ไม่เคยเห็นฮ่องเต้อีกเลย นับประสาอะไรกับองค์ชายรัชทายาทที่เพิ่งถูกสถาปนาเมื่อปีก่อน
แต่เมื่อองค์รัชทายาทได้ยินชื่อของเขา เขากลับรู้ว่าบ้านเกิดของเขาคือโช่วหยาง และครอบครัวของเขาทำการเกษตรมาหลายชั่วอายุคน ก่อนที่จี้กงจื้อจะผ่านการสอบทางทหาร เขาเคยเป็นคนปลูกฝ้ายจริง ๆ!
นี่คือองค์รัชทายาทหรือเทพกัน! ช่างรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง
เขาคิดหนักจนเหงื่อไหลซึมเต็มหน้าผาก นอกจากโขกศีรษะแล้วเขาจะพูดอะไรได้อีก?
องค์ชายหัวเราะเยาะ “เอาล่ะ ๆ ท่านจี้อย่าโขกศีรษะอีกเลย เจ้าทำพื้นเป็นหลุมหมดแล้ว ข้าได้ยินมาว่าภัตตาคารกุ้ยซานเป็นร้านอาหารที่แพงที่สุดในเมืองของเจ้า ข้าคิดว่าที่ดินในสวนหลังบ้านก็มีค่าเช่นกัน เช่นนั้นจงอย่าทำลายมัน”
เหยียนอี้รู้สึกขบขันที่ได้ยินเรื่องนี้
ศิลปะการต่อสู้ขององค์รัชทายาทนั้นยอดเยี่ยมมาก เขาเป็นคนละเอียดอ่อน สง่างามกว่าเฉินฟู่เซินเล็กน้อย ยิ่งเปิดเผยตัวก็ดูมีความน่าเกรงขาม ทำให้คนหวาดกลัว ถึงกระนั้นเขาก็ยังมีอารมณ์ขัน
หูขององค์ชายนั้นดีมาก เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของสตรี เขาก็หันไปมองเหยียนอี้ “เจ้ากำลังหัวเราะอะไรอยู่”
เหยียนอี้รีบถวายอวยพร แต่นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สามัญชนเช่นหม่อมฉันน่ะหรือจะกล้าหัวเราะองค์ชาย หม่อมฉันเพียงแต่เห็นว่าพระองค์รู้สึกเสียใจกับการโขกศีรษะของใต้เท้าจี้ แต่กลับบอกว่ากลัวหม่อมฉันเสียใจเรื่องดินในสวน”
ทันทีที่เหยียนอี้พูดแบบนี้ จี้กงจื้อก็รู้สึกผ่อนคลายแล้วหัวเราะออกมา
ฮ่องเต้โบกมือให้คนไปทำความสะอาดสถานที่ที่โกลาหลไปเมื่อครู่แล้วให้ลากศพออกมาเรียงบนพื้น
เมื่อองค์ชายเห็นว่าน้องชายของเขาได้รับบาดเจ็บ เขาก็รีบตรัสกับฮ่องเต้ว่า “ท่านพ่อ น้องแปดได้รับบาดเจ็บ เราอาจต้องหาที่พักรอฟังใต้เท้าจี้ค้นหาภูมิหลังของนักฆ่านะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายแปดตรัสอย่างเฉยเมยว่า “พี่รอง อาการบาดเจ็บของข้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก แต่ข้าคิดว่าภัตตาคารแห่งนี้ช่างหรูหรา อาหารก็รสชาติดี การอยู่ที่นี่สักสองสามวันคงจะดีกว่าการอยู่ในเรือนรับรองของทางการไม่น้อย”
จี้กงจื้อกล่าวว่า “ฮ่องเต้เสด็จมาถึง ทว่ากระหม่อมมิได้เตรียมตำหนักประทับได้ทัน ภัตตาคารกุ้ยซานนี้เป็นร้านอาหารที่สวยงามที่สุดในเมืองของเรา ฝ่าบาทประทับที่นี่ได้ชั่วขณะหนึ่ง ข้าน้อยจะคุ้มครองพวกท่านอย่างเข้มงวดและไม่ปล่อยให้คนร้ายมีโอกาสอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย เขาตรัสเพียงว่า “ข้าไม่อยากรบกวนผู้คน เจ้าไม่ต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่หรือประจบข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องส่งคนจำนวนมากมาคอยคุ้มครองข้าหรอก”
คนของภัตตาคารสัญญาว่าจะให้ฮ่องเต้พักในห้องที่ดีที่สุด
เหยียนอี้ขยิบตาใส่เถ้าแก่เจิ้ง แต่เขาไม่กล้าพูดกับฮ่องเต้โดยตรง เหยียนอี้จึงดึงแขนเสื้อของขันทีอย่างเงียบ ๆ แล้วพูดอะไรบางอย่าง
ขันทีจ้าวอันไปหาฮ่องเต้แล้วพูดว่า “ฝ่าบาท ชั้นบนสุดของอาคารนี้เป็นห้องสุดหรู แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าในวัง แต่ก็สามารถพักผ่อนได้สักพัก เชิญพักผ่อนที่นั่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนี้กลุ่มคนกำลังขนศพไว้ที่ห้องโถงด้านหน้า มีศพหนึ่งนอนอยู่ที่โถง ก่อนที่พวกเขาจะมีเวลาจัดการกับร่างไร้วิญญาณ ทันใดนั้น ‘ศพ’ ก็เคลื่อนไหว หอกพุ่งปราดไปที่หน้าอกของฮ่องเต้ในพริบตาเดียว!
เพราะตอนนี้ทุกคนคิดว่าเหตุการณ์สงบแล้ว เลยไม่มีใครกล้าเดินนำหน้าฮ่องเต้ องค์รัชทายาทกำลังสั่งจี้กงจื้อให้ทำอะไรบางอย่าง ส่วนองค์ชายแปดได้รับบาดเจ็บเลยเดินช้ามาก
ในช่วงเวลาที่สำคัญต่อชีวิตเช่นนี้จึงไม่มีใครคุ้มครองฮ่องเต้ได้ทัน!
“ฝ่าบาท!” ขันทีจ้าวอันรู้ศิลปะการต่อสู้เช่นกัน แต่เขากำลังเดินตามเถ้าแก่เจิ้งอยู่ ศัตรูโจมตีกะทันหันเช่นนี้ เขาจะเข้าไปช่วยทันได้อย่างไร?
ทันใดนั้นเลือดก็สาดกระเซ็นไปทุกที่
“เฉินฟู่เซิน!” เหยียนอี้อุทาน
เฉินฟู่เซินไม่รู้ว่าเขามาถึงตัวฮ่องเต้ตั้งแต่เมื่อใด เขาผลักฮ่องเต้ออกไปด้วยมือทั้งสองข้างแล้วรับการโจมตีอุกอาจเสียเอง!
เขาไม่มีอาวุธในมือ ดังนั้นจึงต้องจับหอกด้วยมือเปล่า ปลายหอกนั้นคมมาก มือของเขาถูกเฉือน ชุ่มโชกเลือดในทันที
ในช่วงเวลาที่สำคัญระหว่างชีวิตและความตาย เขาไม่สามารถปล่อยได้แม้ว่าจะเสียฝ่ามือไปก็ตาม!
โชคดีที่นักฆ่าได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้โจมตีต่อ จ้าวอันรีบเข้าไปปลิดชีวิตนักฆ่าคนนั้นทันที
เฉินฟู่เซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ มือค่อย ๆ คลายจากคมหอก
ฮ่องเต้ถูกผลัก ล้มลงบนบันได องค์รัชทายาทเข้าไปช่วยพยุงขึ้นมา
มือของเฉินฟู่เซินเต็มไปด้วยเลือด หลังจากที่เขารับคมหอก ชายหนุ่มก็รู้สึกสับสน
เขารู้ว่ามีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
แต่การแก้แค้นที่เขาต้องการไม่ใช่แค่การตายของฮ่องเต้
“เสด็จพ่อเจ็บตรงไหนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!” องค์ชายถามอย่างรีบร้อน
ฮ่องเต้เคยเห็นเหตุการณ์ของพายุและคลื่นลูกใหญ่มานักต่อนัก แม้ว่าเขาจะล้มลงอย่างน่าอึดอัดใจ แต่เขาก็ยังคงสงบสติอารมณ์ได้
เฉินฟู่เซินคุกเข่าลง ไม่อาจพูดคำใดออก
ฮ่องเต้เดินมาหา พยุงเขาขึ้น เมื่อเห็นว่ามือได้รับบาดเจ็บสาหัส สายตาก็กลายเป็นความเห็นใจ ถามเขาว่า “ผู้มีพระคุณ! เจ้าชื่ออะไร”
เฉินฟู่เซินตอบกลับ “ข้าน้อยมีนามสกุลตามแม่ของข้า นามสกุลคือเฉิน และชื่อคือฟู่เซินพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้า “วันนี้เจ้าทำผลงานได้ดีมาก ข้าจะตอบแทนเจ้า!”
เฉินฟู่เซินส่ายหัวอย่างรีบร้อน “คนรากหญ้าอย่างข้าน้อยไม่ต้องการรางวัลหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
“โฮ่?” ฮ่องเต้ส่งเสียงประหลาดใจ
“นั่นเป็นสิ่งที่ดี แต่เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าเป็นฮ่องเต้ที่ให้รางวัล ลงโทษตามความเป็นจริง ไม่ว่าเจ้าจะต้องการอะไร จะเป็นเงิน ความมั่งคั่ง หรือยศระดับสูง ข้าก็จะเห็นด้วยกับเจ้า”
เฉินฟู่เซินถาม “ท่านพูดจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นเขาก็เอ่ยต่ออย่างเคร่งขรึม “เงินและชื่อเสียงไม่ใช่ความตั้งใจของข้าน้อย มันเป็นหน้าที่ของข้าน้อยที่จะช่วยคน เหตุใดต้องได้รับรางวัลเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หัวเราะและพูดว่า “เจ้าคงมีชื่อเสียงดวงดีสิท่า แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าต้องให้อะไรบางอย่างแก่เจ้า”
เฉินฟู่เซินดูเหมือนจะคิดอยู่พักหนึ่งและตัดสินใจได้ในที่สุด เขาคุกเข่าลง ตอบไปว่า “ข้าน้อยได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้มากมายจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเมื่อตอนยังเด็ก แต่ข้าน้อยไม่มีคุณสมบัติสำหรับการสอบขุนนางเพราะชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของข้า ข้าน้อยมีความปรารถนาที่จะรับใช้ประเทศ แต่ไม่มีหนทางไปสู่จุดนั้นได้”
ฮ่องเต้สรรเสริญซ้ำแล้วซ้ำอีก “ข้าเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น! ข้าจะให้เจ้าเป็นข้อยกเว้นและให้เจ้าเป็นองครักษ์ เป็นอย่างไร”
องครักษ์คือคนที่ปกป้องพระราชวัง โดยทั่วไปองค์รัชทายาทเป็นผู้สั่งการ พวกเขามีหน้าที่ปกป้องความสงบสุขในวัง แม้ว่ายศของพวกเขาไม่สูงส่ง แต่ก็เป็นเรื่องยากสำหรับคนธรรมดาที่จะได้เป็น
หากในอนาคต พวกเขาสร้างผลงานโดยไปสู้รบแถบชายแดนก็จะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ทัพ เป็นความภาคภูมิใจของวงศ์ตระกูล วิธีเลื่อนขั้นเช่นนี้จะเร็วกว่าการเป็นทหารธรรมดา
เฉินฟู่เซินส่ายหัวพลางพูดว่า “ข้าน้อยคิดว่าทักษะของข้าน้อยเพียงพอที่จะสามารถเป็นองครักษ์จินอู๋ได้พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์จินอู๋ เป็นลำดับสูงสุดของผู้ที่ปกป้องวัง อีกทั้งยังเป็นผู้ติดตามส่วนตัวของฮ่องเต้ ไม่เพียงแต่ต้องเก่งในศิลปะการต่อสู้และมีท่าทางองอาจเท่านั้น แต่ยังต้องมาจากครอบครัวที่เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ด้วย เฉพาะผู้ที่ได้รับรางวัลสามอันดับแรกในการสอบศิลปะการต่อสู้ประจำปีเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือก
คนที่เป็นองครักษ์จินอู๋มักได้รับการเลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วเพราะพวกเขาติดตามฮ่องเต้ทุกวัน ในช่วงสามร้อยปีที่ผ่านมา ในบรรดาสามอันดับแรกของแม่ทัพ มีคนใดบ้างที่ไม่ได้มาจากองครักษ์จินอู๋?
อาจกล่าวได้ว่าการเป็นองครักษ์จินอู๋นั้นเทียบเท่ากับการปีนเส้นทางที่เร็วที่สุดในหน้าที่การงาน ตำแหน่งขุนนางใหญ่โตก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ทันทีที่เฉินฟู่เซินพูดแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนในที่นั้นตกใจ เหยียนอี้เองก็คิดว่าเขากำลังพูดเรื่องไร้สาระเลยตั้งใจจะเข้าไปห้ามเขา
นางกำลังจะเดินไปข้างหน้าเพื่อดึงเฉินฟู่เซินกลับมาและอธิบายต่อฮ่องเต้ว่าเขาพูดไม่เก่ง ให้ลืมเรื่องที่เขาพูดไปเสีย
ทว่าองค์ชายตรัสขึ้นมาเสียก่อน “ชายหนุ่มผู้นี้ช่วยฮ่องเต้ให้พ้นจากอันตรายในวันนี้ เขามีส่วนช่วยรักษาความมั่นคงอาณาจักรไว้ เขาสมควรได้รับรางวัล”
ใบหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ เขากล่าวว่า “ชายคนนี้เป็นพรสวรรค์รุ่นเยาว์ มีความกล้าหาญ เข้าใจอะไรหลายอย่าง มีความทะเยอทะยานดี ข้าจะปฏิเสธได้อย่างไร? ข้าจะทำข้อยกเว้นและบันทึกเจ้าเป็นองครักษ์จินอู๋ เจ้าติดตามองค์ชายแปดก็แล้วกัน”
องค์ชายแปดได้รับบาดเจ็บ แพทย์ประจำวังที่มาพร้อมกันกำลังคุกเข่าลงพื้นรักษาเขาอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินพ่อของเขาบอกว่าชายหนุ่มเองก็ได้รับบาดเจ็บ เขาเงยหน้าขึ้นและพูดว่า “มือของเขาก็เจ็บสาหัสเช่นกัน ไปเช็ดเลือดให้เขาด้วย โอ๊ย เบา ๆ หน่อย!”
หมอหลวงที่กำลังพันผ้าพันแผลให้องค์ชายแปดมือสั่นเล็กน้อย เลยทำองค์ชายเจ็บอย่างเห็นได้ชัด
เฉินฟู่เซินก้มศีรษะ คุกเข่าต่อหน้าฮ่องเต้แล้วพูดว่า “ขอบพระคุณสำหรับความเมตตาของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” กระนั้น ขณะที่เขาพูด ก็ไม่มีความปีติยินดีในน้ำเสียงนั้นแม้แต่น้อย
แม้ว่าองครักษ์จินอู๋จะมีชื่อและตำแหน่งอย่างเป็นทางการเหมือนกัน แต่ก็แบ่งออกเป็นขั้นสาม หก และเก้า โดยธรรมชาติแล้วผู้ที่มาจากฮ่องเต้คัดเลือกเป็นที่นิยมมากที่สุด ถัดลงมาเป็นผู้ที่ติดตามองค์รัชทายาทซึ่งเทียบเท่ากับการช่วยเหลือฮ่องเต้องค์ใหม่ในอนาคต ถือเป็นตำแหน่งที่ดีไม่น้อย
ทว่าองค์ชายแปด หลี่หรงเฉิงเป็นเพียงลูกของนางสนมเท่านั้น แม่ของเขาจาวผิน เกิดในตระกูลที่ไม่ได้มีอำนาจใหญ่โตเท่าไร แม้ว่าเขาจะเป็นมิตรกับองค์รัชทายาทมาโดยตลอดและเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ แต่เขาก็ไม่มีผู้สนับสนุนในราชสำนัก เช่นนี้เฉินฟู่เซินจะมีอนาคตมากแค่ไหนกันในฐานะองค์รักษ์ขององค์ชายแปด?