ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 41 ความหวาดกลัวในห้องใต้ดิน(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 41 ความหวาดกลัวในห้องใต้ดิน(รีไรท์)
บทที่ 41 ความหวาดกลัวในห้องใต้ดิน(รีไรท์)
ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำหลบไปด้านข้าง ดาบพลันเฉี่ยวผ่านใบหูปักลงที่ประตู
นักฆ่าถือดาบอีกเล่มพุ่งเข้ามา ชายหนุ่มคว้าดาบด้วยมือเดียว ดันนักฆ่าถอยปราดกลับไปราวสี่ก้าว
นักฆ่าพลาดการโจมตี หมายจะดีดตัวพุ่งขึ้นไปข้างบน แต่เขาถูกชายหนุ่มอีกคนคว้าเท้าไว้ได้ข้างหนึ่ง ทำให้ต้องหันกลับไปต่อสู้ทันที
“องค์ชายแปดระวังตัวด้วย!” ผู้คนรอบตัวเหยียนอี้ตะโกน
ตอนนี้นักฆ่ากำลังต่อสู้กับชายในชุดสีน้ำเงินเข้ม
ฝีมือการต่อสู้ของนักฆ่านั้นสูงมาก ชายหนุ่มในชุดสีน้ำเงินโดนโจมตีอย่างต่อเนื่อง เห็นได้ชัดว่านักฆ่าคนนั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่จะล้มได้ง่าย ๆ
คนอื่น ๆ ก็ถูกศัตรูขวางไว้ ไม่สามารถออกไปช่วยได้
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เลวร้าย เหยียนอี้จึงรีบไปซ่อนตัวในภัตตาคาร
โชคดีที่เป้าหมายของนักฆ่าอยู่ที่รถม้าของชายชรา ไม่มีใครสนใจเหยียนอี้เลย นางแอบเข้าไปในประตูอย่างเงียบ ๆ แล้วปิดประตู
ทันทีที่ประตูถูกปิด นางได้ยินเสียงตะโกนข้างนอก ปรากฏว่า ‘ชายชรา’ ไม่อาจต้านทานได้ เขาพยายามจะเข้ามาซ่อนตัวอยู่ในภัตตาคารกุ้ยซาน แต่ไม่สามารถเข้ามาได้เพราะเหยียนอี้ปิดประตูอยู่
ขณะนี้แผ่นหลังของเขาแนบอยู่กับประตู เผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาจะไม่โกรธเหยียนอี้ได้อย่างไร?
เหยียนอี้ตื่นตระหนก แม้นางจะเพิ่งปิดประตู แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าจะทิ้งชีวิตของผู้ที่อยู่ภายนอก
แต่ยิ่งตื่นกลัวมากเท่าไร นางก็ยิ่งงุ่มง่ามมากขึ้นเท่านั้น นางพยายามเปิดประตูทั้งที่ยังไม่ได้ถอดสลักเกลียวออก ไม่รู้ว่าตอนปิดประตูนางมีสติลงกลอนได้อย่างไร?
ในที่สุดนางก็เปิดประตูออก ทว่าจังหวะนั้นก็มีลูกศรพุ่งมาปักที่ประตู นางตกใจสุดตัว รีบหนีไปที่สวนหลังภัตตาคารโดยเร็ว
คนในภัตตาคารกุ้ยซานได้ยินมาว่าสถานการณ์ข้างนอกไม่ดี พวกเขาทั้งหมดจึงซ่อนตัวอยู่ในสวนข้างหลัง เมื่อเห็นเหยียนอี้วิ่งมาพวกเขาก็รีบคว้านางไว้
“แม่นางเหยียน เราจะทำอย่างไรดี” เถ้าแก่เจิ้งตกใจมาก เหงื่อกาฬขับออกเต็มหน้าผาก
เขาเป็นเพียงพ่อค้า เขาจะเคยเห็นฉากการต่อสู้และการเข่นฆ่าเช่นนี้ได้อย่างไร? เด็กในร้านก็เป็นคนธรรมดา เคยเห็นจอมยุทธ์ต่อสู้กันเสียที่ไหน
ต่างคนต่างหวาดกลัว พาลพากันร้องไห้
“ออกประตูหลังกันเถอะ เราต้องซ่อนตัวก่อน” เหยียนอี้กล่าว
“ประตูหลังถูกปิด ข้าว่าพวกมันคงซ่อนตัวอยู่หลังประตู ขนไม้ในตรอกด้านนอกมากั้นประตูไว้แล้วกระมัง” หนึ่งในนั้นกล่าวพร้อมกับสะอึกสะอื้น
เหยียนอี้มองไปตามทิศทางของนิ้ว เห็นร่องรอยของการทุบตีที่ประตูหลัง
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ต้องการออกไปเพื่อเอาชีวิตรอดและพยายามทำลายประตู แม้แต่สลักก็หัก กระนั้นพวกเขาก็ไม่อาจเปิดประตูได้
เหยียนอี้มองไปที่กำแพงภัตตาคารอีกครั้ง สมัยที่ที่แห่งนี้ยังคงเป็นร้านผ้าไหม เจ้าของเดิมได้สร้างกำแพงให้สูงขึ้นเป็นพิเศษเพื่อป้องกันขโมย มันสูงกว่าสวนหลังบ้านของคนธรรมดา หากไม่มีบันไดก็ปีนออกไปไม่ได้
“ไปที่ห้องใต้ดิน ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดินกัน!” เหยียนอี้รีบพูด “เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ตราบใดที่เราซ่อนตัวก็จะไม่มีใครทำอะไรเรา!”
ราวกับว่าพวกเขาเห็นแสงสว่าง พวกเขารีบขนย้ายตะกร้าผักนานาชนิดในลานบ้านออก เห็นประตูห้องใต้ดินขนาดใหญ่อยู่ตามพื้น
ตอนที่เด็กในร้านสองคนเปิดประตูห้องใต้ดินขึ้น ก็มีคนสามคนจากห้องโถงด้านหน้าวิ่งเข้ามา เป็นชายชราและบุตรชายที่ถูกซุ่มโจมตีพร้อมกับคนรับใช้
เสื้อผ้าของชายชรายับย่นเล็กน้อย เครื่องหัวหลุดออกมา เสื้อคลุมฉีกขาด กระนั้นใบหน้าก็ยังคงสงบนิ่ง
แม้เห็นได้ชัดว่านักฆ่าต้องการปลิดชีพเขา แต่เขาก็ไม่ได้ประหม่านัก ถึงสภาพตอนนี้จะดูไม่งาม แต่ก็ไม่ได้สูญเสียความสงบไปเลย
ฝั่งลูกชายเห็นว่าคนของภัตตาคารกุ้ยซานได้เปิดประตูห้องใต้ดิน เขาก็รีบแหวกฝูงชน ดึงผู้เป็นบิดาเข้าไปในนั้นทันที
ชายชราไม่ใส่ใจ พูดอย่างโกรธเคืองออกมา “ศัตรูทำให้พวกเจ้ากลัวมากไม่พอ ยังต้องการให้ข้าไปใต้ดินเพื่อหลบหนีอีกงั้นหรือ? น่าขันสิ้นดี!”
คนรับใช้ชราก็อยู่ในความตื่นตระหนกเช่นกัน เขาเห็นด้วยกับการกระทำของเหล่าบุตรชาย “นายท่าน พวกศัตรูกำลังบุกมา คนของเราไม่อาจต้านทานพวกเขาได้ ได้โปรดหลบซ่อนตัวก่อน!”
ชายชราสะบัดแขนเสื้อ ยืนยันว่าจะไม่เข้าไป แม้ว่าคนรับใช้ชราจะวิตกกังวลขนาดไหน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่สามารถทำได้อีก
จะให้ฟังเสียงทะเลาะอยู่ได้อย่างไร? เขาได้รับบาดเจ็บที่ไหล่ เสียเลือดไปมาก พี่รองของเขาก็ยังคงต่อสู้กันอยู่ในห้องโถงด้านหน้า มีกี่คนที่ยอมเสี่ยงอันตรายเพื่อที่จะส่งพ่อของเขามาที่แห่งนี้ ศัตรูกำลังจะเข้ามาอยู่รอมร่อ แต่เขากลับมาสำแดงอำนาจที่นี่เนี่ยนะ!
เขาเห็นด้วยกับคำแนะนำของคนรับใช้ชรา แต่บิดาของเขาปฏิเสธ แล้วพวกที่อยู่ในภัตตาคารกุ้ยซานล่ะ? ใครสนใจว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่หรือตาย? ทุกคนกำลังมุดเข้าไปในห้องใต้ดินแล้วด้วยซ้ำ
“เลิกไร้สาระกันสักที!” เขากังวลมากจนไม่สนใจอะไรเลย เขาเพียงแค่ดึงบิดาไปที่ประตูห้องใต้ดินด้วยกำลังทั้งหมดที่มีแล้วตะโกนใส่คนด้านล่าง “ดึงเขาลงไป!”
คนในร้านไม่รู้ว่าชายชราในชุดไหมผู้นี้ชื่ออะไร แต่ก็รีบขึ้นไปลากลงมา
ชายชราลงไปที่ห้องใต้ดิน รู้สึกละอายใจ ตัดสินใจพ่นลมแล้วนั่งลง
ใจเขาไม่ต้องการให้เหยียนอี้และเถ้าแก่เจิ้งลงมาตอนนี้ เหยียนอี้ลงไปก่อน นางเหยียบบันไดแขวนถอยหลังลงไปด้านล่างและเกือบจะเหยียบหัวชายชรา
นี่มัน ‘กระตุกหนวดเสือ’ ชัด ๆ ชายคนนั้นลุกพรวดขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยอะไรออกมา เหยียนอี้ก็ปิดปากของเขาแล้วกระซิบ “ซ่อนตัวเงียบ ๆ!”
ทันทีที่ทุกคนเงียบลงก็มีเสียงกรีดร้องของคนที่ถูกเข่นฆ่า รวมถึงเสียงวิ่งของเหล่านักฆ่าที่กรูกันเข้ามาถึงสวนข้างหลัง
โชคดีที่ผู้คนที่อยู่ด้านบนได้นำแผ่นหินมาบังประตูไว้ นักฆ่าจึงไม่เห็น
เหยียนอี้และคนอื่น ๆ ฟังการเคลื่อนไหวข้างบนด้วยความหวาดกลัว พวกเขาได้ยินแค่เสียงดาบกระทบกันและเสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นมาเป็นระลอก
ใต้ดินมืดสนิท มองไม่เห็นสิ่งใด ยิ่งทำให้ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอกชัดเจนขึ้น
เหยียนอี้คิดว่าถ้านักฆ่าได้ฆ่าคนที่อยู่ข้างบนหมดแล้วจริง ๆ ห้องใต้ดินไม่ใช่กลไกลับอะไรเลย อย่างไรคงมีคนหาตัวทุกคนเจอได้ง่าย ๆ หากพวกมันเข้ามา คนไม่รู้เรื่องศิลปะการต่อสู้อย่างพวกนางจะต่อต้านได้อย่างไร?
ดูการแต่งตัวของชายชราคนนี้ ไม่รู้ว่าเขามาจากที่ใด? เหตุใดจึงนำไปสู่ความอาฆาตพยาบาทเช่นนี้?
หากเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ แล้วใครกันคือนักฆ่าข้างนอก?
‘ภัตตาคารกุ้ยซานมีเรื่องเช่นนี้ ข้าสงสัยเหลือเกินว่าเราจะซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้ไหม’ เหยียนอี้คิดพลางทอดถอนใจ
ห้องใต้ดินทั้งแคบและมืด มองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือตัวเอง ทุกคนอยู่กันอย่างแออัด ไม่มีใครกล้าพูด บรรยากาศเงียบงันราวกับไม่มีใครอยู่ที่นี่
ตรงกันข้ามกับเสียงตะโกนข้างนอกที่ดังกึกก้อง
บางทีพวกนางควรสวดอ้อนวอนในใจอย่างเงียบ ๆ ให้เสียงตะโกนข้างนอกไม่จบสิ้น เพราะเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ?
หากฝ่ายมีชัยเป็นคนรับใช้และลูกชายของชายชราที่เปิดประตูก็ไม่เป็นไร แต่หากมันเป็นศัตรูแล้วละก็ พวกนางจะทำอย่างไร?
ในความมืดมิด แสงจากเปลวไฟสว่างวาบ ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือผู้ใด แต่ผู้นั้นเอาเทียนและไฟติดตัวมาด้วย
แม้ว่าดวงไฟจะเล็กริบหรี่ แต่ก็เพียงพอที่จะให้ความสว่างไปครึ่งห้องใต้ดิน
แสงนั้นสะกดทุกสายตาเอาไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงไฟไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่จุดจากเทียนเท่านั้น แต่ยังเป็นดั่งความหวังของทุกคนในยามนี้ด้วย
เหยียนอี้เองก็มองไปที่แสงเทียนเช่นกัน มันถูกถือไว้สูงเหนือศีรษะของนาง เปลวเทียนสั่นไหว ตรงมาหานางเรื่อย ๆ
นางแปลกใจ อดไม่ได้ที่จะขยี้ตา
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา หากไม่ใช่เฉินฟู่เซิน แล้วจะเป็นใครได้?
“อ่า… เฉิน…” เหยียนอี้ไม่อาจเงียบอีกต่อไปได้
นางยังพูดไม่ทันจบ ฝ่ามืออุ่นก็แนบลงทาบริมฝีปากเอาไว้ เฉินฟู่เซินส่งเสียง “ชู่..” พยายามบอกเหยียนอี้ว่าไม่ให้เอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาในเวลานี้
เหยียนอี้พยักหน้า
นางประหลาดใจมากจนเกือบร้องไห้ จะเกิดอะไรขึ้นหากนักฆ่าได้ยินนาง?
“เหตุใดเจ้าถึงอยู่ที่นี่” เหยียนอี้ลดเสียงลงแล้วถามเขา
“ข้าลืมบอกเจ้าว่าข้านอนที่นี่” เฉินฟู่เซินหัวเราะเบา ๆ
ปรากฏว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน เขากลับไปที่เมืองอู่ซานเพื่อตามหาเหยียนอี้ พบว่าครอบครัวของเหยียนอี้ได้ย้ายออกไปนานมากแล้ว เขาผิดหวัง ไม่รู้จะไปที่ใด เลยนั่งอยู่ที่ประตูบ้านของเหยียนอี้ด้วยความสับสน เหอจวงลุงของเหยียนอี้เห็นเขาพอดี เมื่อพูดคุยกันสักพัก ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่าพวกนางย้ายไปอยู่ที่เมืองอวิ๋นเจี้ยนแล้ว
บัดนี้ครอบครัวเหยียนเป็นครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองอวิ๋นเจี้ยน ภัตตาคารกุ้ยซานเป็นหนึ่งในร้านอาหารที่ดีที่สุดในเมือง เฉินฟู่เซินจึงพบครอบครัวของเหยียนอี้ได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามเขายังมีความบาดหมางที่ต้องจัดการ รู้ตัวว่าตนไม่อาจอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลานาน เขากลัวว่าเขาจะไม่เต็มใจที่จะจากไปหากเขาเห็นเหยียนอี้ เลยเอาแต่เดินอยู่แถวบ้านนางเป็นเวลาหลายวัน คืนวันหนึ่ง ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดไปที่ห้องของนาง
เฉินฟู่เซินคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องได้เจอเหยียนอี้ แค่ได้พบนาง เขาก็คงพอใจและคงจากไปโดยไม่ต้องกังวลใด ๆ
แต่หลังจากพบ เขาไม่อาจจากไปได้
และในตอนนี้ เขาก็พบว่าสำนักเทียนจีที่ไล่ล่าเขามาเป็นเวลานานปรากฏตัวในเมืองอวิ๋นเจี้ยน
นักฆ่าพวกนี้ต้องตามหาเขาแน่นอน เขาเลยไม่กล้าปรากฏตัวอีก จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้ดิน
กลางวันแสก ๆ เขากำลังนอนหลับอยู่ในห้องใต้ดิน ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
เขาได้ยินความเคลื่อนไหว ประตูห้องใต้ดินถูกเปิดออก มีคนปีนลงมาทีละคนเพื่อหลบหนี
ในห้องใต้ดินมืดสนิท ไม่มีใครรู้ว่าเฉินฟู่เซินอยู่ในนั้น
ทว่าตอนที่เหยียนอี้ลงมาแล้วเปล่งเสียงออกมานั้น เฉินฟู่เซินจำเสียงนางได้ทันที เขาเลยจุดเทียนตามหานาง
ได้พบกันแล้วยังไม่ทันที่เหยียนอี้จะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นข้างนอก ประตูห้องใต้ดินก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
เฉินฟู่เซินดึงเหยียนอี้ไปไว้ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว
ศีรษะของคนแปลกหน้าชะโงกเข้ามาจากภายนอก เฉินฟู่เซินคิดว่าเป็นศัตรูจึงขว้างเทียนในมือออกไป
ชายข้างนอกนั้นรวดเร็วยิ่ง เขาเบี่ยงศีรษะหลบทัน
เฉินฟู่เซินไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นอย่างไรกันแน่ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหวใด ๆ มือข้างหนึ่งจับเหยียนอี้ ส่วนมืออีกข้างหนึ่งดึงหินก้อนเล็ก ๆ ออกจากกำแพงมากำมันไว้ในฝ่ามือพร้อมใช้เป็นอาวุธ
เขาเจ็บใจตัวเองนัก เป็นเพราะเมื่อได้ยินเสียงของเหยียนอี้ เขาจึงชะล่าใจวางดาบไว้ แล้วตามมาด้วยเทียนเล่มเดียว ตอนนี้เขาไม่มีอาวุธป้องกันตัวเองด้วยซ้ำ
“ฝ่าบาท! ฝ่าบาท! ท่านเป็นอย่างไรบ้าง” นอกห้องใต้ดินเป็นเสียงโหยหวนของคนรับใช้ชรา
เฉินฟู่เซินและเหยียนอี้เต็มไปด้วยความสงสัย พวกเขาไม่รู้ว่า ‘ฝ่าบาท’ ในที่นี้หมายถึงใคร
ชายชราที่ถูกกดลงในห้องใต้ดินไอแห้ง ถามด้วยน้ำเสียงติดความโกรธเคืองออกมา “ข้างนอกถูกกำจัดเรียบร้อยหรือไม่”
“ฝ่าบาท องค์ชายทรงฉลาดและทรงพระปรีชายิ่งพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ส่งคนไปแจ้งทูตฝึกทหารของเมืองอวิ๋นเจี้ยน จี้กงจื้อ หลังจากที่เขานำกองทหารลาดตระเวนเข้าเมืองมาถึง คนร้ายทั้งหมดก็ถูกสังหารเสียสิ้น” ขณะรายงาน ขันทีชราก็ปีนลงห้องใต้ดินแล้วพาชายชราออกไปด้วยความนอบน้อม
ต่อมาเฉินฟู่เซิน เหยียนอี้ และผู้คนในภัตตาคารกุ้ยซานก็ปีนขึ้นไปจากห้องใต้ดิน
สวนเล็ก ๆ ของภัตตาคารกุ้ยซานเต็มไปด้วยผู้คน บางคนเป็นข้ารับใช้ที่พวกเขาเพิ่งเห็น มีผู้ถูกสังหารมากกว่ายี่สิบคนในชุดดำ ทหารกลุ่มหนึ่งยืนอยู่รอบ ๆ ผู้สั่งการ เหยียนอี้สามารถรับรู้ได้ทันทีว่าเขาคนนั้นคือ จี้กงจื้อ ผู้บัญชาการกองทหารรักษาการณ์ของเมือง
พวกเขาทั้งหมดคุกเข่าลงเพื่อทักทายและคารวะ “ถวายพระพรฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี!”