ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 40 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ (รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 40 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ (รีไรท์)
บทที่ 40 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ (รีไรท์)
กิจการของเหยียนอี้เติบโตขึ้นจนนางมีชื่อเสียงในเมืองอวิ๋นเจี้ยน เมื่อพูดถึงภัตตาคารกุ้ยซาน ใครบ้างจะไม่รู้ว่ามีนายหญิงมีความสามารถอยู่ที่นั่น
เหยียนจื่อก็เริ่มโตขึ้นเช่นกัน นางเป็นคนเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แม้ว่านางไม่สามารถทำกิจการและเรียนรู้การเย็บปักถักร้อยได้ แต่นางชอบเต้นรำ
มีนางรำหลายคนจากภูมิภาคตะวันตกในเมืองอวิ๋นเจี้ยน เหยียนจื่อนับถือพวกนางในฐานะอาจารย์ นางตามไปที่ภัตตาคารต่าง ๆ เพื่อทำการแสดง
แน่นอนว่าเหยียนจื่อย่อมไม่กล้าบอกให้แม่ของนางรู้เกี่ยวกับการแสดงต่อหน้าสาธารณชนเช่นนั้น
แต่นางคิดว่านางคงไม่อาจซ่อนความลับจากเหยียนอี้ได้ นางสาบานว่านางไม่ได้เล่นไปเรื่อย นางชอบการเต้นรำจริง ๆ โชคดีที่เหยียนอี้ไม่ใช่พวกอนุรักษ์นิยมเหมือนคนอื่น ๆ นางเองก็ชอบสิ่งเหล่านี้จึงปล่อยให้น้องสาวทำ นางยังเชิญกลุ่มนางรำของเหยียนจื่อมาแสดงที่ภัตตาคารกุ้ยซานเป็นครั้งคราวอีกด้วย
เวลาผันผ่านไป หญิงสาวสองคนของตระกูลเหยียนถึงวัยแต่งงานแล้ว แม้ว่าเหอซื่อจะไม่ใช่ผู้เข้าสังคมนัก แต่ผู้คนที่มาขอแต่งงานในเมืองอวิ๋นเจี้ยนก็แห่แหนกันมาจนแทบจะพังประตู
ทุกคนรู้ดีว่าเหยียนอี้พี่สาวคนโตเก่งเรื่องค้าขายและฝีมือการทำอาหารเป็นเลิศ ทว่าพวกเขากลัวว่าครอบครัวของสามีจะควบคุมนางไม่ได้ ครั้นส่งแม่สื่อมาหาสองพี่น้องเหยียน สิบคนที่มาขอแต่งงาน จะมีเก้าคนมาสู่ขอเหยียนจื่อ
เหยียนจื่อไม่ชอบใจนัก “ท่านพี่ของข้ายังไม่ได้แต่งงาน แต่พวกเขาคิดจะมาสู่ขอข้าแล้ว!”
เหยียนอี้หัวเราะชอบใจ “ใครใช้ให้น้องสาวของข้าน่ารักกว่ากันเล่า”
เหอซื่อถอนหายใจ “หากเจ้ายังไม่แต่งงาน น้องสาวของเจ้าก็จะยังแต่งไม่ได้”
เหยียนอี้ฮัมเพลง “ข้าจะไม่แต่งงาน ข้าจะอยู่กับภัตตาคารกุ้ยซานเจ้าค่ะ!”
หลังจากเหยียนจื่อเดินออกไป เหอซื่อก็แอบจับมือของเหยียนอี้แล้วถามนางว่า “อี้เอ๋อร์ เหตุผลที่เจ้ายังไม่แต่งงาน เป็นเพราะเจ้ายังคิดถึงเฉินฟู่เซินอยู่หรือไม่”
เหยียนอี้ตกใจมาก “ท่านแม่กำลังพูดถึงอะไร ข้ายอมรับว่าบางครั้งข้าก็คิดถึงเขา แต่นั่นเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของข้าอย่างไรเจ้าคะ”
เมื่อเหอซื่อได้ยิน นางก็เพิ่งเข้าใจว่าตนเข้าใจผิดเรื่องความรู้สึกของลูกสาวที่มีต่อเฉินฟู่เซินมาตลอด นางโล่งใจและไม่กล่าวสิ่งใดอีก
บางครั้งเหยียนอี้ก็นึกถึงเฉินฟู่เซินจริง ๆ นางสงสัยว่าเขาหลบหนีการไล่ล่าสำเร็จไหม? เขายังแข็งแรงอยู่หรือไม่?
กระนั้นชีวิตของนางเองก็ยุ่งอยู่กับการทำอาหารทุกวัน นางเลยค่อย ๆ คิดถึงเขาน้อยลงเรื่อย ๆ
หญิงสาวไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งเฉินฟู่เซินจะกลับมาอีก
…
ในกลางดึกวันหนึ่ง จู่ ๆ ชายหนุ่มก็เคาะหน้าต่างห้องของเหยียนอี้ เขายิ้มให้นาง สภาพเขาไม่ได้แขนขาขาด ดูท่าเขาคงปลอดภัยดี ตอนนี้หญิงสาวง่วงนอนมาก เมื่อเห็นร่างของเขา นางจึงคิดว่ามันเป็นความฝันแล้วหันกลับพร้อมเข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
เฉินฟู่เซินเรียกนางเบา ๆ หลายครั้ง “เหยียนอี้! เหยียนอี้!”
เหยียนอี้จึงตระหนักได้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน
“เจ้ากลับมาแล้ว!” เหยียนอี้รีบสวมเสื้อคลุมแล้วลุกขึ้นนั่ง นางบอกไม่ได้ว่านางมีความสุขหรือเศร้าใจกันแน่ นางรู้สึกเพียงว่าการได้พบเพื่อนเก่าครั้งนี้อบอุ่นใจไม่น้อย
“เจ้าสบายดีหรือไม่” เฉินฟู่เซินถามนาง
“แน่นอน แล้วเจ้าล่ะ” เหยียนอี้ถามกลับ
“ข้าสบายดีเหมือนกัน”
หลังจากคำทักทายสองสามคำ ทั้งคู่รู้สึกประดักประเดิดเลยเงียบไป
จนกระทั่งอีกาข้างนอกทำลายความเงียบนั้น
เหยียนอี้แสร้งกระแอมแล้วพูดว่า “การที่เจ้าบุกเข้ามาในห้องของข้าเช่นนี้ มันผิดจารีตประเพณีนะรู้หรือไม่ ออกไปเร็ว หากมีสิ่งใดค่อยคุยกันวันพรุ่งนี้”
เฉินฟู่เซินขอโทษอย่างสุดซึ้ง “ข้าก็ไม่ได้คิดว่าจะได้พบเจ้าเช่นกัน แต่เหยียนอี้ ข้าจากไปเป็นเวลานาน เมื่อกลับมาที่นี่ ข้าอดไม่ได้จริง ๆ ที่จะมาพบเจ้า”
เหยียนอี้ถามว่า “เจ้าไปที่ใดตลอดปีครึ่งที่ผ่านมา”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “เมืองหลวง ป้อมปราการชายแดนอาณาจักรเหยียน ข้าเดินทางไปทั่วแคว้น”
เหยียนอี้กล่าวว่า “เจ้าไปหลายที่แล้ว แต่ยังมีนักฆ่าไล่ล่าเจ้าตลอดเวลาหรือไม่ เจ้าได้รับบาดเจ็บตรงไหนไหม”
เฉินฟู่เซินกล่าวพร้อมกับแย้มยิ้มมีเลศนัย “เจ้าเป็นห่วงข้าหรือ”
เหยียนอี้ตอบกลับทันควัน “เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เคยอาศัยและใช้ชีวิตด้วยกัน ข้าต้องห่วงใยเจ้าเป็นธรรมดา”
รอยยิ้มเฉินฟู่เซินล้ำลึกนัก เขาโน้มศีรษะลง ประทับรอยจูบตรงคอของเหยียนอี้อย่างแผ่วเบา
เหยียนอี้หลบทันควัน กระนั้นบนเตียงก็มีพื้นที่เพียงเท่านี้ นางจะซ่อนตัวได้ที่ใดได้?
เฉินฟู่เซินคลี่ยิ้มกว้าง แต่เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้เริ่มโกรธเคือง เขาก็รีบขอโทษ “หากเจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
เหยียนอี้ตอบว่า “หากเจ้าทำเช่นนี้… ทำเช่นนี้อีก… ข้าจะไม่คุยกับเจ้า”
เฉินฟู่เซินลุกขึ้นยืน เผยสีหน้าเศร้าสร้อยออกมา “ข้าต้องไปแล้ว ข้าจะรีบกลับมาหาเจ้าหลังจากที่ข้าล้างแค้นสำเร็จแล้ว”
พูดเสร็จเขาก็ทะยานออกจากหน้าต่างเร้นกายหายลับไป
เหยียนอี้ยังอยู่ในอาการสับสน แก้แค้น? เขาจะฆ่าบิดาตนเองงั้นหรือ?
เฉินฟู่เซินกลับมาอย่างลึกลับและจากไปอย่างลึกลับ เหยียนอี้จะคาดเดาอะไรได้? บุรุษผู้นี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
นางแตะคอของนาง ผิวหนังที่เขาเพิ่งสัมผัสนั้นเย็นชื้นเล็กน้อย นางรู้สึกสับสน ได้แต่บังคับให้ตัวเองหยุดคิดแล้วนอนซะโดยการดึงผ้าห่มมาคลุมศีรษะ
นางนอนหลับลงที่ไหนกัน?
…
นางไม่หลับเลยจนถึงรุ่งเช้า จากนั้นก็ลุกขึ้น ล้างหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานพร้อมที่จะเปิดร้าน
ในวันนั้นกิจการของภัตตาคารกุ้ยซานแย่มาก มีแขกมาเป็นกลุ่มเท่านั้น ลูกค้าประจำก็ไม่มีมาเลยสักคน แม้แต่แขกที่เคยอาศัยอยู่บนชั้นสามก็ออกจากห้องพักไปแล้ว
ในบรรดาแขกมีเพียงสามคนเท่านั้นที่เข้ามา เป็นชายชราหนึ่งและบุรุษสองคน พวกเขานั่งลงเพื่อกินอาหาร บุรุษทั้งสองแลดูเคารพชายชรามาก แม้ว่าพวกเขาจะเรียกว่า ‘พ่อ’ ทว่าก็ดูไม่เหมือนพ่อและลูกชายแม้แต่นิด
คนอื่น ๆ ก็ดูเหมือนคนรับใช้และผู้คุม หลังจากเข้ามาในภัตตาคาร พวกเขาไม่ได้นั่งลง แต่กลับยืนกระจัดกระจายอยู่ทุกซอกทุกมุม มีเพียงคนรับใช้ชราที่ไม่มีเครายืนอยู่ข้าง ๆ ชายสามคนนั้นที่ คอยนำอาหารมาให้
แม้ว่าคนในภัตตาคารจะไม่ได้ถูกทำอะไร แต่ใครจะกล้าหือกับพวกเขา? แม้แต่อาหารก็ถูกนำไปวางอย่างระมัดระวังให้กับคนรับใช้
เหยียนอี้กำลังทำอาหารในครัวด้านหลัง เมื่อนางได้ยินสิ่งที่ยอดเยี่ยมในห้องโถงด้านหน้า นางก็อยากรู้อยากเห็น หลังจากตุ๋นเป็ดหม้อสุดท้ายเสร็จ นางก็เดินไปด้านหน้าอย่างเงียบเชียบแล้วเปิดม่านเพื่อสังเกต
คนพวกนี้ไม่เหมือนตระกูลที่ร่ำรวยทั่วไป แต่ดูเหมือนเป็นคนใหญ่คนโตและขุนนางระดับสูง!
ชายชรากินสาคูใส่ผลไม้[1] ไปหนึ่งชามก่อนจะกล่าวชื่นชมออกมา เขาต้องการตอบแทนแม่ครัว เหยียนอี้จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อรับรางวัล กลายเป็นว่ามันคือแท่งทองคำหนักสองแท่ง
โอ้ เขาต้องใจกว้างเพียงใดกัน!
เหยียนอี้รีบขอบคุณเขาสำหรับรางวัลนี้
ความจริงแล้วนางไม่ค่อยชอบสถานการณ์เช่นนี้เท่าไรนัก เดิมทีนางทำอาหาร ส่วนลูกค้าก็กินอาหารนาง ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ การที่นางถูกเรียกมาที่ด้านหน้าเพื่อรับเงินรางวัลเช่นนี้ นางต้องทำเป็นหัวเราะยิ้มแย้ม แสร้งอ่อนน้อมถ่อมตน มันเพื่อสิ่งใดกัน?
อย่างไรก็ตามเพื่อประโยชน์อย่างทองคำ นางก็ต้องทนได้
สิ่งที่นางทำคือยิ้มการค้าเพื่อให้ได้เงินมา เพื่อเงินแล้ว ใครเล่าจะไม่ชอบ?
เหยียนอี้ได้รับรางวัลและเตรียมจะจากไป แต่ทันใดนั้นชายหนุ่มในชุดไหมสีดำหยุดนางแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าสตรีเช่นเจ้าจะมีทักษะการทำอาหารที่ดีเช่นนี้ ข้าอยากจะถามว่าของหวานชามนี้ทำมาจากอะไร? ข้าไม่เคยได้ยินหรือเห็นมันมาก่อน”
เหยียนอี้ตอบยิ้ม ๆ “นี่เป็นสูตรลับพิเศษของตระกูลข้า ไม่เคยถูกส่งต่อ หากข้าบอกสูตรแก่ผู้อื่น ข้าจะทำธุรกิจอะไรได้เล่าเจ้าคะ”
ชายหนุ่มแย้มรอยยิ้ม จากนั้นถึงพูดต่อ “ข้าไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ อภัยให้ข้าเถิด แต่ข้าเห็นว่าพ่อของข้าชอบมันมาก ดังนั้นข้าจึงอยากถามเจ้า เป็นการแสดงความกตัญญูต่อบิดาก็เท่านั้น”
เหยียนอี้พูดต่อว่า “หากท่านชอบมัน ท่านมาที่ภัตตาคารกุ้ยซานของเราบ่อย ๆ แล้วข้าจะทำให้ท่านทานเจ้าค่ะ”
ก่อนที่ชายชราจะได้ตอบ ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งในชุดสีน้ำเงินเข้มก็กล่าวว่า
“เราจะอยู่ที่นี่เพียงหนึ่งถึงสองวันเท่านั้น หากท่านพ่อพอพระทัยกับฝีมือสตรีนางนี้ อาจขอให้นางไปกับเราแล้วทำอาหารให้ท่านทุกวัน ข้าคิดว่าฝีมือดีกว่าไห่เทียนอี้อีก ข้าชอบปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวาน[2] จานนี้ที่สุด”
จากนั้นเขาก็หยิบตะเกียบมากินมันอีกคำ
เหยียนอี้ไม่พอใจนักหลังฟังจบ ตอนนี้นางเป็นถึงผู้ถือหุ้นของภัตตาคารอันดับหนึ่งในเมืองอวิ๋นเจี้ยน แต่ชายผู้นี้กลับบอกว่าเขาจะพานางกลับไปประหนึ่งเก็บลูกหมาแมวข้างถนน ช่างเสียมารยาทยิ่ง
อย่างไรก็ตามเพื่อเงิน เหยียนอี้ต้องฝืนยิ้ม “นายน้อยอย่าล้อเล่นเลยเจ้าค่ะ มีผู้คนมากมายในเมืองที่ชอบอาหารฝีมือของผู้น้อย ข้าเองก็ไม่เคยเห็นใครพากลับบ้านมาก่อน”
“น้องแปด กินเถอะ อย่าล้อเล่น” ชายหนุ่มที่พูดกับเหยียนอี้ก่อนหน้านี้กล่าวว่า “แม่นาง น้องชายของข้าพูดไม่ทันคิด โปรดอย่าเก็บมาใส่ใจ”
ในเวลานี้ชายชราผู้นิ่งเงียบมาตลอดได้เปิดปากถาม “เจ้าชื่ออะไร”
ทันทีที่เขาพูดก็มีรังสีแห่งความมั่นใจแผ่ออกทั่วร่าง เหยียนอี้เกือบจะคุกเข่าลงแสดงความเคารพแล้ว
นางตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าชื่อเหยียนอี้ ข้าเป็นแม่ครัวของภัตตาคารแห่งนี้และเป็นผู้ถือหุ้นของที่นี่เจ้าค่ะ”
นางประกาศตัวตนของนางในฐานะผู้ถือหุ้นเพียงเพื่อเตือนพวกเขาว่านางไม่ใช่ผู้หญิงยากจนธรรมดา แต่เป็นคนที่ร่ำรวยและไม่สามารถดูหมิ่นได้
“อายุเพียงเท่านี้แต่เจ้ามีกิจการ พูดจาเหมาะสม ไม่เลว” ชายชราพยักหน้า บอกคนรับใช้ชราข้าง ๆ ว่า “จ้าวอัน จัดการให้ข้าด้วย”
คนรับใช้รับคำ
เหยียนอี้ตกใจเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ‘พวกเขาเป็นครอบครัวแบบไหนกัน? น้องชายบอกว่าจะพานางกลับบ้าน ผู้เฒ่ากล่าวว่า ‘จัดการ’ นี่มันเรื่องบ้าอะไร!’
ชายทั้งสามคนกินอาหารเสร็จและพร้อมที่จะจากไป ก่อนไปคนรับใช้ที่ชื่อ ‘จ้าวอัน’ จึงเรียกเถ้าแก่เจิ้งและมอบทองคำชิ้นหนึ่งให้เด็กในร้านทุกคน
ทุกคนปลาบปลื้มกันมาก ต่างพากันส่งแขกผู้มีเกียรติออกไป
เหยียนอี้เดินออกมาส่งแขกด้วยตนเอง แล้วก็เห็นว่ามีรถม้าหลายคันรออยู่ที่ประตู
ชายชราเดินอยู่ด้านหน้า ได้รับความช่วยเหลือให้ก้าวเข้าไปในรถม้า แต่ชายหนุ่มสองคนไม่ได้ขึ้นรถม้า พวกเขากระโดดขึ้นหลังม้าอย่างสง่างาม อยู่หน้ารถม้าขนาบทั้งสองฝั่ง
เหยียนอี้เห็นผู้คนเข้าประจำที่แล้วจึงเตรียมหันหลังกลับ แต่จ้าวอันกลับพูดกับเหยียนอี้ว่า “แม่นางเหยียน เชิญเจ้าขึ้นรถม้าคันนี้”
เหยียนอี้เลิกคิ้วขึ้น ที่พวกเขาบอกว่าต้องการให้นางไปเป็นแม่ครัวที่บ้าน พวกเขาพูดจริงหรือ?
จ้าวอันเห็นความไม่เต็มใจของเหยียนอี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงเนิบนาบว่า “แม่นางเหยียน เจ้ากลายเป็นคนที่นายท่านสนใจแล้ว ในวันที่เจ้าขึ้นสู่จุดสูงสุด โปรดอย่าลืมคนรับใช้เช่นข้า”
เสียงของเขาแหลมเล็กทว่าชัดเจน ฟังดูเหมือนผู้หญิง
ไม่ว่าเหยียนอี้จะโง่แค่ไหนนางก็รู้ได้ว่าเขาเป็นขันที
ดังนั้นชายในรถม้าเป็นคนในราชวงศ์และขุนนางหรือ? ดูความฟุ่มเฟือยแล้ว อย่างน้อยก็ต้องเป็นองค์ชาย!
นางกำลังจะปฏิเสธ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงม้าสองตัวร้องขึ้นเสียก่อน จากนั้นนายน้อยสองคนตะโกน หนึ่งในชุดสีน้ำเงินเข้มกระโจนจากหลังม้าขึ้นไปบนหลังคารถ ส่วนคนในชุดสีดำก็กระโจนลงมายืนข้าง ๆ เหยียนอี้
ก่อนที่เหยียนอี้จะร้องออกมา ดาบเล่มยาวก็ส่องแสงวาบพุ่งตรงไปทางใบหน้าของคนที่อยู่ข้างนาง
[1] หยางจือซีหมี่ลู่ (杨枝西米露) ของหวานสาคูผสมมะม่วงและสัปปะรด
[2] ปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวาน (松鼠桂鱼) เป็นหนึ่งในสิบจานคลาสสิกจากมณฑลเจียงซู เนื้อปลาถูกหั่นให้เป็นชิ้นแบบดอกไม้ ขณะเสิร์ฟอาหาร เมื่อพ่อครัวราดซอสเปรี้ยวหวานลงบนปลา จะได้ยินเสียง ‘จี๋ จี๋ จี๋’ ของกระรอก