ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 39 เฉินฟู่เซิน เจ้าเป็นใคร (รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 39 เฉินฟู่เซิน เจ้าเป็นใคร (รีไรท์)
บทที่ 39 เฉินฟู่เซิน เจ้าเป็นใคร? (รีไรท์)
เหยียนอี้ตอบว่า “ข้าเป็นลูกสาวของฟางเอ๋อร์ พี่สาวของเหยียนจื่อ ผู้มีพระคุณของเจ้า แม่ครัวและผู้ถือหุ้นของภัตตาคารกุ้ยซาน ข้ามีตัวตนมากมาย แต่เฉินฟู่เซิน นอกจากชื่อแล้ว ข้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับตัวตนของเจ้า”
เฉินฟู่เซินครุ่นคิดหนัก ตอบกลับไปว่า “อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นผู้หลบหนีจากความตาย”
เหยียนอี้ถามว่า “ความตายคืออะไร? ใครอยากฆ่าเจ้า”
เฉินฟู่เซินตอบว่า “พ่อของข้า”
เหยียนอี้ตกใจมาก “พ่อของเจ้า?!”
“พ่อของข้าเป็นผู้มีเกียรติและมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองหลวง แต่แม่ของข้าเป็นคนรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุด คืนหนึ่งเขาเมามาก เห็นแม่ของข้าเป็นตัวแทนฮูหยินใหญ่ที่เสียชีวิตมาหลายปีแล้ว เป็นเพราะคืนนั้น ข้าจึงเกิดมา”
“อา เจ้าเป็นลูกนอกสมรสนี่เอง” เหยียนอี้โพล่ง เลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าของเฉินฟู่เซิน นางรู้สึกว่าเขาถูกฝังอยู่ในเงามืด แลดูเลือนราง
“เขามีภรรยาและอนุมากมายอยู่แล้ว แม่ของข้าไม่ใช่คนเดียว อย่างไรก็ตาม วันหนึ่งแม่ของข้าก็ค้นพบความลับอันยิ่งใหญ่ของเขาเข้า”
“ความลับอะไร?” เหยียนอี้ถาม
เฉินฟู่เซินส่ายหัว เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ยังคงพูดต่อไป “ขณะที่ท่านแม่กำลังตั้งท้องข้า นางก็ถูกไล่ล่าและตามฆ่าโดยลูกน้องของเขา โชคดีที่นางได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มคนลึกลับที่เป็นศัตรูของพ่อข้า พวกเขาบังคับให้แม่ของข้าบอกความลับ จากนั้นเลี้ยงดูข้าและสอนศิลปะการต่อสู้ให้”
“แต่ต่อมาพวกเขาก็ถูกพ่อของข้าสังหารโดยนักฆ่าที่พ่อส่งมา แม่ของข้าเสียชีวิตคาดาบเพื่อปกป้องข้า ข้าถึงได้หนีมาที่นี่คนเดียว…”
เฉินฟู่เซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ปลดปล่อยอดีตที่ซ่อนอยู่ในใจของเขาออกมา
เขาหาเหตุผลที่จะปิดบังเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่สดใสของเหยียนอี้ เขากลับอยากจะเปิดเผยความจริงขึ้นมา
เขาพูดมากเกินไปแล้ว เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครฟังเขาเช่นนี้
แม้ตอนที่แม่ของเขายังอยู่ เขาก็รู้เพียงว่านางร่ำไห้ทุกวัน เฉินฟู่เซินไม่กล้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจนอกเสียจากปลอบโยนนาง
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าชีวิตของเขาน่าสังเวชนัก นางพลันรู้สึกขมขื่น
ขนาดเสือยังไม่กินลูกตัวเอง เหตุใดถึงมีคนเลวทรามเช่นนี้อยู่บนโลกได้?
แต่ในอีกความคิดหนึ่ง พ่อของนางเองก็เคยทุบตีและเตะลูกสาวตัวเองทุกวันที่บ้าน แตกต่างกันแค่ตรงที่พ่อของนางเป็นชายธรรมดาผู้ไม่มีความสามารถและไม่กล้าฆ่าคน
“คนเลวทรามบนโลกนี้เป็นเหมือนกันหมดหรือไม่” เหยียนอี้ถอนหายใจ
เฉินฟู่เซิน ปรากฏว่าคำว่า ‘ฟู่เซิน’ คือการทำให้เขารื้อฟื้นความบาดหมางที่อยู่ในสายเลือดของเขา!
เฉินฟู่เซินรู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกเมื่ออธิบายเรื่องราว แม้แต่บาดแผลบนร่างกายของเขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดเพียงนั้นแล้ว
เหยียนอี้ถามอีกครั้งว่า “นี่ เฉินฟู่เซิน ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ป้าของข้าบอกว่าคนจากทางการมาเมื่อวานนี้ แม้เจ้าจะฆ่าคนเพราะป้องกันตัวเอง แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็ฆ่าคน พวกเขาจะไม่จับเจ้าได้อย่างไร”
เฉินฟู่เซินมองไปที่ป้ายบนอกของเขา “ข้าแสดงให้พวกเขาเห็นสัญลักษณ์นี้และพวกเขาก็จากไป”
เหยียนอี้หยิบป้ายขึ้นมา มันเป็นป้ายสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ทำจากเหล็กชั้นดี ด้านหน้าถูกสลักด้วยคำว่า ‘เทียนจี’ และด้านหลังเป็นอักษรตัวเล็ก ๆ ที่เปื้อนเลือด ซึ่งพอมองออกอย่างคลุมเครือว่า ‘แต่งตั้งโดยฮ่องเต้ กองกำลัง…’
“นี่มันอะไรกัน” เหยียนอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน นางถือมันไว้ในมือและชั่งน้ำหนักอย่างระมัดระวัง
“เจ้ารู้ไหมว่ามีสายลับที่ถูกเรียกว่าสำนักเทียนจี” เฉินฟู่เซินกล่าว
เหยียนอี้ส่ายหัว มันเป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้
“คนเหล่านั้นเมื่อวานนี้เป็นนักฆ่าที่สำนักเทียนจีส่งมา” เฉินฟู่เซินกล่าว
“ข้าพบป้ายนี้จากพวกเขา เมื่อผู้ตรวจการมาถามข้า ข้าจึงยื่นให้เขา และกล่าวว่าข้าเป็นสายลับของสำนักเทียนจี เมื่อวานนี้คนเหล่านี้เป็นกองกำลังที่เหลืออยู่ของอ๋องหย่งผู้ก่อกบฏเมื่อสามปีก่อน ข้าพบว่าพวกเขากำลังหลบหนี ข้าจึงกำจัดพวกเขา”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “ผู้ตรวจการไม่เคยเห็นคนจากเมืองหลวง พวกเขาเลยคิดว่าเจ้าคือคนที่ถูกส่งมาดูแลที่นี่ คงสายเกินไปที่จะโค้งคำนับให้เจ้า แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกเขากำลังจัดการกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ พวกเขาไม่กล้าถามอะไรเพิ่มเติมจากเจ้าแน่”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “ใช่ นักฆ่าเหล่านั้นมีฝีมือและถูกส่งมาฆ่าข้าอย่างลับ ๆ พวกเขาจึงไม่มีอะไรยืนยันตัวตนนอกจากป้ายนี้ ข้าเอาป้ายของนักฆ่าทุกคนมาหมดแล้ว คนตายเถียงไม่ได้ ดังนั้นข้าพูดอย่างไรก็ย่อมเป็นเช่นนั้น”
เหยียนอี้กล่าวต่อ “เจ้าต้องบอกผู้ตรวจการด้วยว่าการกำจัดกบฏที่หลงเหลืออยู่เป็นเรื่องใหญ่และลับขั้นสุด ดังนั้นควรเก็บเรื่องนี้เป็นความลับและไม่ควรส่งเรื่องนี้ขึ้นศาล”
เฉินฟู่เซินพยักหน้าอย่างจริงจัง
โชคดีที่แม้เหยียนอี้จะฉลาด แต่นางก็ไม่รู้สถานการณ์ในเมืองหลวง มิฉะนั้นถ้านางรู้ว่าสำนักเทียนจีเป็นสำนักของราชวงศ์ ไม่มีใครสามารถสั่งการได้ยกเว้นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน นางจะต้องซักถามต่อและเกิดข้อสงสัยเป็นแน่
ตอนแรกเหยียนอี้ต้องการขับไล่เฉินฟู่เซินออกไปหลังจากที่เขาได้อธิบายอย่างชัดเจน แต่เมื่อนางได้ยินเขาเล่าเรื่องราวในอดีต นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสาร
เมื่อจำได้ว่าเหอซื่อและน้องสาวของนางเองก็ถูกรังแกในครอบครัวเหยียน นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจกับเรื่องราวของเขาด้วย
ไม่ว่านางจะพูดอะไรนางก็ยังมีแม่และน้องสาวอยู่ ตอนนี้แม่ของนางได้พบการแต่งงานที่ดี ครอบครัวอยู่ดีมีสุข แต่เฉินฟู่เซินไม่มีแม่และตัวคนเดียว นางจะโหดร้ายพอที่จะขับไล่เขาออกไปได้อย่างไร?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เหยียนอี้ก็ถอนหายใจ
นางเปลี่ยนใจไม่พูดความคิดของนางกับเฉินฟู่เซิน แต่เฉินฟู่เซินจากไปในเช้าวันรุ่งขึ้นโดยไม่แม้แต่จะทิ้งจดหมายไว้
นางบาดเจ็บ แม้นางต้องการออกไปหาเขา แต่นางก็ไม่อาจลุกจากเตียงได้ ลุงและป้าที่อยู่ติดกันไม่เป็นมิตรกับเฉินฟู่เซินมากนัก พวกเขาจึงไม่สนใจว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
แต่เฉินฟู่เซินได้รับบาดเจ็บมากกว่านาง เขาจะไปที่ใดได้อีก?
เขาจะถูกพบและโดนฆ่าหรือไม่?
ทันใดนั้นความคิดนี้ก็แวบเข้ามาในใจของเหยียนอี้ นางพลันหวาดกลัวขึ้นมา
แต่โลกใบนี้กว้างใหญ่มากนัก นางจะหาเขาเจอได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้ครึ่งหนึ่งของคนในเมืองรู้ว่าเฉินฟู่เซินฆ่าคน ผู้ตรวจการต้องการปกปิดเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ นางกลัวว่าแม้เฉินฟู่เซินจะกลับมา เขาก็จะไม่ได้รับการยอมรับจากชาวบ้านอีกต่อไป
เหยียนอี้ไม่ได้ออกไปข้างนอกมากนักในช่วงพักฟื้น นางนอนอยู่บนเตียงทั้งวันพลางคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ
บางครั้งคนของภัตตาคารกุ้ยซานก็นำอาหารและเสื้อผ้ามาให้นาง เถ้าแก่เจิ้งก็มาพบนางเป็นครั้งคราวและบอกนางเกี่ยวกับปัญหาทางธุรกิจล่าสุด
หลายคนเห็นว่าร่างของคนแปลกหน้าสองคนถูกนำตัวออกไปจากภัตตาคารกุ้ยซาน กลางวันแสก ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ใครกล้ากินอาหารที่นี่อีก?
เหยียนอี้ก็ไม่ได้ไปทำงาน ดังนั้นจึงไม่มีแม่ครัวและลูกค้าก็เริ่มห่างหายไป
สองเดือนต่อมา เมื่อเหอซื่อ หลิวจู และเหยียนจื่อกลับมาถึงบ้าน พวกเขาจึงพบว่าภัตตาคารกุ้ยซานไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานานแแล้ว
บาดแผลของเหยียนอี้เกือบจะหายเป็นปกติ นางไม่ต้องการให้ครอบครัวของนางกังวลจึงเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเหอซื่อเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าอกของนาง คนเป็นแม่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
“เจ้าเป็นผู้หญิงแต่กลับมีรอยแผลเป็นบนร่างกายทั้งที่ยังไม่ได้ออกเรือน มันจะดีได้อย่างไร” เหอซื่อร้องไห้ออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง
หลิวจูกอดไหล่ของนาง ปลอบโยนนางต่อไป ส่วนเหยียนอี้ตกอยู่ในภวังค์
ทุกคนคิดว่าเหยียนอี้เสียใจเพราะการจากไปของเฉินฟู่เซิน แต่ในความเป็นจริงนางกำลังคิดเกี่ยวกับวิธีการเริ่มต้นธุรกิจใหม่ของภัตตาคารกุ้ยซาน
นางคิดเกี่ยวกับมันเป็นเวลาหลายวัน และคิดดึงดูดลูกค้าโดยการออกอาหารใหม่และมีการจับรางวัลใหญ่ แต่ไม่มีใครสนใจ
ในหนึ่งเดือนพวกเขาขายได้น้อยกว่าร้านอาหารอาจวนและร้านอาหารซุปเนื้อถนนตะวันออกเสียอีก
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป แม้แต่ค่าจ้างของเด็กในร้านก็คงมิอาจจ่ายไหว
เหยียนอี้จ้างรถม้าไปที่เมืองอวิ๋นเจี้ยน นางต้องการดูว่าภัตตาคารที่ทำธุรกิจได้ดีในเมืองใหญ่นั้น พวกเขาทำได้อย่างไร นางจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์
หลังจาก ‘ขโมย’ วิธีการทำธุรกิจจากเมืองแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งวัน เหยียนอี้ก็เกิดความคิดขึ้นทันที เหตุใดข้าไม่เปิดภัตตาคารกุ้ยซานที่เมืองอวิ๋นเจี้ยนเล่า?
เนื่องจากผู้คนในเมืองอู่ซานคงไม่ต้องการกลับมาอีกเนื่องจากการตายของผู้คนในภัตตาคาร เช่นนั้นแล้วก็ไปเปิดภัตตาคารใหม่ในสถานที่อื่นก็สิ้นเรื่อง
เมืองอวิ๋นเจี้ยนเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดภายในระยะทางหนึ่งร้อยลี้ มันไม่เพียงแต่เป็นเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่ยังเป็นศูนย์กลางการขนส่ง ไม่ว่าจะไปยังอาณาจักรเหยียนทางตอนเหนือหรือไปยังเมืองหลวงทางตอนใต้ แม้แต่พ่อค้าทางทะเลในภาคตะวันออกที่ต้องการทำธุรกิจในภูมิภาคตะวันตกก็ต้องผ่านเมืองอวิ๋นเจี้ยน ทั้งการเดินทางและระดับเศรษฐกิจสูงกว่าเมืองอู่ซานมาก
เฉกเช่นผู้คนขึ้นไปบนที่สูงและน้ำไหลไปยังที่ต่ำ ร้านค้าก็ย่อมเปิดให้บริการเป็นธรรมดา!
เหยียนอี้คิดถึงเรื่องนี้ระหว่างทางกลับบ้านอย่างเบิกบานใจ นางขอให้คนขับหันหัวม้าเปลี่ยนเส้นทางแล้วตรงไปที่ภัตตาคารกุ้ยซาน
ในวันนี้ภัตตาคารกุ้ยซานไม่เปิดดำเนินการ เถ้าแก่เจิ้งเป็นคนปิดร้านแต่เช้าตรู่และเตรียมกลับบ้านเพื่อไปหาภรรยาและลูกๆ ของเขา
เหยียนอี้ลงมาจากรถม้าที่แล่นมาไวดังสายลม ดึงเขากลับไปที่โต๊ะ ก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เถ้าแก่เจิ้ง ไปเมืองอวิ๋นเจี้ยนกันเถอะ!”
เถ้าแก่เจิ้งรู้สึกงงงวย “เจ้าเพิ่งกลับมาจากเมืองอวิ๋นเจี้ยนไม่ใช่หรือ”
เหยียนอี้ร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น “ข้าหมายถึงพวกเราทุกคนไปกันเถอะ!”
นางรีบเรียกหาเด็กในร้านและผู้ช่วยบางคนที่มีความพร้อมและพูดว่า “ย้ายภัตตาคารกุ้ยซานไปยังเมืองอวิ๋นเจี้ยนกัน!”
การกระทำของเหยียนอี้นั้นรวดเร็วมาก พอคิดได้นางก็จะทำมันทันที นางวางแผน ส่งคนไปเลือกดูทำเลและต่อรองราคา นางยังเรียกผู้คนที่รู้เรื่องธุรกิจมาประเมินราคาและขายภัตตาคารกุ้ยซานในราคาตลาด
ปรากฏว่ามีร้านผ้าไหมบนถนนชิงเชวี่ยในเมืองอวิ๋นเจี้ยน เป็นร้านค้าขนาดใหญ่ที่มีสี่ชั้น เนื่องจากลูกชายเล่นการพนันและสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด เขาจึงต้องขายในราคาที่ต่ำ
เถ้าแก่เจิ้งรีบเจรจาราคา เซ็นสัญญาและรื้อซ่อมอาคารในอีกไม่กี่วันต่อมา
การตกแต่งภายในร้านผ้าไหมนี้สวยงามไม่น้อย ต้องรื้อแผงประตูหลายบานที่ชั้นหนึ่งเพื่อสร้างห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับคลังสินค้าในสวนหลังบ้านและท่อระบายน้ำ อีกทั้งต้องสร้างเตาปรุงอาหารสามเตาเพื่อทำห้องครัวอย่างรวดเร็ว
ชั้นสองเดิมเป็นห้องแยกธรรมดา เถ้าแก่เจิ้งขอให้ช่างปรับเปลี่ยนเล็กน้อยและทำให้มันกลายเป็นห้องกินอาหารแบบส่วนตัว
สำหรับชั้นสามและชั้นสี่พวกเขาปรับปรุงลำบากกว่า เหยียนอี้ตัดสินใจเปลี่ยนสองชั้นนี้เป็นห้องพัก ชั้นสามเป็นห้องพักมาตรฐานและชั้นสี่เป็นห้องสวีตวีไอพีซึ่งหรูหรามาก
ช่างไม้รู้สึกงุนงง ‘วีไอพีคืออะไร’
เหยียนอี้ตอบว่า “เจ้าสามารถทำให้มันหรูหราที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หรูหราเสียจนกระทั่งฮ่องเต้ก็มาพำนักได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้จ่ายเงิน”
หลังจากการปรับปรุงใหม่อย่างอุตสาหะ สองเดือนต่อมาภัตตาคารกุ้ยซานก็เปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมการแสดงที่ยิ่งใหญ่
วิธีการและประสบการณ์การชักชวนลูกค้าในเมืองอู่ซานมีประโยชน์มากต่อการดำเนินงานของภัตตาคารแห่งใหม่
ในเวลาเพียงหนึ่งปี ภัตตาคารกุ้ยซานกลายเป็นภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอวิ๋นเจี้ยน
นางซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในเมือง จากนั้นก็พาแม่ของนางและเหยียนจื่อไปอาศัยอยู่ด้วยกัน ธุรกิจค้าส่งของหลิวจูก็มาถึงเมืองอวิ๋นเจี้ยนเช่นกัน บัดนี้ครอบครัวของนางมีชีวิตที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมากขึ้นแล้ว
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่ง จากฮ่องเต้ยงเป็นอ๋องหย่ง ขออภัยมา ณ ที่นี้