ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 37 มิอาจหนีจากการถูกตามล่า(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 37 มิอาจหนีจากการถูกตามล่า(รีไรท์)
บทที่ 37 มิอาจหนีจากการถูกตามล่า(รีไรท์)
เหยียนอี้รู้มาตลอดว่าเจ้าของภัตตาคารคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา เขาเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน แม้ตอนนี้เขาจะใช้ชีวิตอย่างสงบในเมืองอู่ซานแห่งนี้ แต่ในใจเขากลับมุ่งมั่นที่จะพิชิตโลก
บางทีพวกเขาอาจเป็นคนแบบเดียวกันกับขงเบ้ง?
เหยียนอี้ต้องการพาซานกู่จื่อกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน ทว่าเขากลับปฏิเสธ คว้าข้อมือของเหยียนอี้ไว้ ก่อนจะกระซิบข้างหูของนาง
“วันพรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่นิกายเพื่อฝึกฝน! ก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าจะบอกความจริงกับเจ้า เฉินฟู่เซินไม่ใช่คนดี หากเจ้าคบหากัน วันหนึ่งเขาจะทิ้งเจ้า”
เหยียนอี้คิดแค่ว่ามันเป็นเรื่องตลก “ดูเหมือนท่านจะคิดถึงข้าและเฉินฟู่เซินตลอดทั้งวันเลยนะ ทะเล้นเสียจริง”
ซานกู่จื่อไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรเพราะเขาเมามากจนล้มลงบนโต๊ะแล้วหลับไป
เหยียนอี้เพิ่งดึงสติกลับมา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีข้อมูลสำคัญในประโยคที่เขาพูดไป “เดี๋ยวก่อนเมื่อครู่ท่านพูดถึงอะไร? ท่านพูดถึงเรื่องที่ท่านจะกลับไปที่นิกายเพื่อฝึกฝน”
แต่ซานกู่จื่อได้ไปเข้าเฝ้าโจวกง[1] เสียแล้ว
เหยียนอี้ไม่สามารถอุ้มชายที่หลับเหมือนศพเช่นนี้ได้ นางทำได้เพียงเรียกหาคนมาช่วยพาเขากลับไปที่ห้องเท่านั้น
ซานกู่จื่อชอบการเรียนรู้ปรัชญาลัทธิเต๋ามาโดยตลอด ห้องยังเต็มไปด้วยยันต์แปดทิศ เหยียนอี้มองไปเรื่อย ๆ จนเห็นบันทึกการประดิษฐ์ตัวอักษรบนโต๊ะ มันเป็น ‘ฎีกาออกศึก’ ถูกเขียนขึ้นด้วยตัวขงเบ้ง
“ข้าเป็นชาวนา ทำนาที่หนานหยาง เพียงแค่หวังว่าจะอยู่รอด ไม่ต้องการชื่อเสียงหรืออำนาจ ฮ่องเต้ไม่ได้รังเกียจชาติกำเนิดของข้า แต่มองที่ความรู้ และพระองค์มาเยี่ยมข้าถึงสามครา ถามไถ่ข้าถึงเรื่องราวบ้านเมือง”
เหยียนอี้อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน
นางเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจ คนธรรมดาอย่างนางจะรู้ถึงความทะเยอทะยานของคนมักใหญ่ใฝ่สูงได้อย่างไร?
…
ในวันที่สองของงานแต่งงาน เหอซื่อและหลิวจูจะกลับไปที่โหย่วหยางบ้านเกิดของหลิวจูเพื่อบูชาวัดบรรพบุรุษและเข้าร่วมลำดับวงศ์ตระกูล เหยียนจื่อนั้นอยากไปจึงหวังให้เหยียนอี้ตามไปด้วยกัน
อย่างไรก็ตามเหยียนอี้ไม่อาจทิ้งภัตตาคารกุ้ยซานไว้ได้ ดังนั้นนางจึงให้เหอซื่อ ลุงหลิวจู และเหยียนจื่อไปกันสามคน ส่วนนางอยู่ต่อเพียงลำพัง
โหย่วหยางอยู่ไกลจากเมืองอู่ซาน เกรงว่าพวกเขาจะไม่สามารถกลับมาได้ภายในสองเดือนโดยรถเข็นลา เมื่อถึงเวลาออกเดินทาง เหยียนอี้ไปส่งพวกเขาถึงนอกเมืองอวิ๋นเจี้ยน เมื่อส่งคนทั้งสามเสร็จนางก็เดินกลับบ้านอย่างช้า ๆ
เฉินฟู่เซินติดตามมานางโดยไม่พูดอะไรสักคำ เขาก้าวเดินช้า ๆ หันมองซ้ายขวา ไม่รู้ว่ากำลังมองหาสิ่งใด
พักหลังมานี้ พฤติกรรมของผู้ชายคนนี้ยิ่งดูน่าสงสัยมากขึ้นเรื่อย ๆ เหอซื่อเคยถามเขาหลายครั้ง แต่เขาไม่ได้ตอบสิ่งใด
เหยียนอี้รู้สึกแปลก ๆ ในใจ แต่เมื่อคิดถึงศิลปะการต่อสู้ของเฉินฟู่เซินที่ยอดเยี่ยม นางก็วางใจว่าคงไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
นางค่อย ๆ เดินและกลับไปถึงภัตตาคารกุ้ยซานตอนเที่ยงวัน หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งนางยังคงรู้สึกว่านางควรบอกซานกู่จื่อเกี่ยวกับจุดที่น่าสงสัยของเฉินฟู่เซิน และถามเขาว่าเขาคิดอย่างไร
เห็นได้ชัดว่าซานกู่จื่อไม่ได้รู้จักเขาดีนัก เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็เงียบไป ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบเฉินฟู่เซินสักเท่าไร
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้นกัน?
เหยียนอี้คิดว่าต้องถามเขาให้ได้วันนี้
แต่เมื่อนางเคาะประตูห้องของซานกู่จื่อกลับไม่มีใครตอบ นางลงไปชั้นล่างเพื่อถามเถ้าแก่เจิ้ง ถึงได้รู้ว่าซานกู่จื่อจากไปตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว
เหยียนอี้พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ช่วยไม่ได้ รอจนกว่าเขาจะกลับมาก็แล้วกัน!”
เถ้าแก่เจิ้งกล่าวว่า “ข้ากลัวว่าครั้งนี้นายท่านจะไม่กลับมาแล้ว!”
“ทำไม?”
เถ้าแก่เจิ้งตอบว่า “เมื่อเช้านี้เจ้านายพูดว่าโลกภายนอกไม่ดี และแม้แต่เมืองอู่ซานก็ไม่สะอาด เขาอยากนอนสักสองร้อยปีแล้วค่อยออกมาจากภูเขาเหมือนเฉินตวน[2]”
เหยียนอี้รู้สึกงงงวย “เขาเป็นอะไรไปแล้ว?”
ในทางกลับกัน เฉินฟู่เซินกำลังเจอกับสถานการณ์อันตราย
ในอดีตเขาถูกไล่ฆ่า และจนถึงตอนนี้เขาได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวของเหยียนอี้เป็นเวลาสองปีแล้ว เขาคิดว่าตัวเองจะค่อย ๆ ถูกลืมและสามารถอยู่อย่างสงบสุขนับจากนี้ไป
อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการให้จี้ชิงเฟิงที่หลบหนีจากอาณาจักรเหยียนถูกเจอตัว คนของสำนักเทียนจีหรือสำนักลึกลับ ยามนี้ไม่พบเงาของจี้ชิงเฟิง ทว่าพวกเขาจำใบหน้าของเฉินฟู่เซินได้
หากข่าวถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง ศัตรูของเขาไม่ปล่อยเขาไว้แน่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เบื้องบนได้ส่งนักฆ่าจากสำนักเทียนจีมาเอาชีวิตเขาแล้ว!
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เฉินฟู่เซินถูกซุ่มโจมตี เขาต้องการหนี แต่นักฆ่าจับตามองเขามานานแล้ว เขาต้องรู้จักเหยียนอี้แน่นอน และแม้ตัวเขาเองจะหนีไปได้ แต่เหยียนอี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?
ตอนแรกเขาโล่งใจเพราะคิดว่าในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมให้หลิวจูพาครอบครัวเหอกลับไปที่บ้านเกิดของเขาเพื่อบูชาบรรพบุรุษได้สำเร็จ ทำให้ครอบครัวของเหยียนอี้ออกไปจากที่นี่ได้ชั่วคราว แต่ไฉนเลยจะรู้ว่าเหยียนอี้จะไม่จากไปเพราะเห็นแก่ภัตตาคารกุ้ยซาน
เขาวิตกกังวลมากจนไม่สามารถอธิบายได้ เขาจำต้องติดตามเหยียนอี้อย่างเงียบ ๆ พลางคิดหาโอกาสจับนางใส่รถเข็นลาของหลิวจู
แต่เขาไม่คิดว่าเมื่อพวกเขาออกจากบ้าน พวกเขาก็ถูกจับตามองแล้ว
ในขณะนี้ เฉินฟู่เซินมีความคิดเดียวคือหนี ต้องหลบหนีอีกครั้ง!
ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาเริ่มกังวลมากขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับความปลอดภัยของเหยียนอี้หรือ?
ขณะนี้เขาอยู่ในช่วงเวลาระหว่างความเป็นและความตาย เฉินฟู่เซินไม่มีเวลาให้คิด
ตอนนี้เขาเหมือนกำลังเผชิญกับทางตัน
เฉินฟู่เซินพยายามกระโดดขึ้นไปบนกำแพงด้วยทักษะตัวเบา แต่ถูกใครบางคนหยุดไว้ จังหวะนั้นเองเขาดึงดาบออกมาฟันทันที แต่นักฆ่าคนนั้นหลบทัน ทำให้มีแต่รอยฉีกขาดของเสื้อผ้าเท่านั้น
หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า
ศัตรูทั้งห้าคนยืนล้อมเขาไว้ห้าทิศ โดยที่หลังของเขาติดกำแพง
นี่คือตำแหน่งของยันต์แปดทิศ แน่นอนว่าพวกเขาเป็นคนจากเทียนจี
“ไม่คิดจะปล่อยข้าไปเลยสินะ” เฉินฟู่เซินยิ้มขมขื่น
แม้ว่าเขาจะแย้มยิ้ม แต่ในดวงตาของเขามีเพียงความเกลียดชังและความเย็นชา
“ฝ่าบาทจงตายและไปร้องไห้ในนรกเสียเถอะ!” หัวหน้านักฆ่าออกคำสั่ง เมื่อสิ้นเสียงอีกสี่คนก็พุ่งเข้าโจมตีทันที
คนทั้งห้านี้มีท่าทางเคลื่อนไหวที่คล้ายกันมาก อาวุธทั้งหมดของพวกเขาคือหอกสั้น
หอกสั้น เดิมเป็นใบมีดสั้นซึ่งเหมาะสำหรับการโจมตีระยะใกล้เท่านั้น ดาบยาวของเฉินฟู่เซินได้เปรียบกว่ามาก
แต่มีชายตั้งทั้งห้าคนล้อมเขาไว้ ทำให้ไม่ว่าดาบยาวของเฉินฟู่เซินจะคมแค่ไหน มันก็ไม่อาจช่วยให้เขาได้เปรียบขึ้นมาเลย
หลังจากการเคลื่อนไหวหลายสิบครั้ง ไหล่ซ้ายของเฉินฟู่เซินก็ถูกแทง
เขาทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงกล้าหาญ เขาเหวี่ยงดาบยาวตัดแขนข้างหนึ่งของนักฆ่าคนหนึ่งขาดอย่างรวดเร็ว
การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ตอนนี้ต้นขาของเฉินฟู่เซินถูกแทง ดาบยาวหักไปแล้ว แต่ดาบที่หักนั้นแทงทะลุหน้าอกของนักฆ่าอีกคนหนึ่ง
นักฆ่าสองคนจะถูกฆ่าตายติดต่อกัน เฉินฟู่เซินก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย เขาไม่มีอาวุธในมือ ไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป
เมื่อสบโอกาส เขาพลันรีบกระโดดหนีไป
นักฆ่าทั้งสามที่เหลือมองหน้ากันและกัน ก่อนจะพร้อมใจยิงลูกดอกใส่เฉินฟู่เซิน ชายหนุ่มคว้านักฆ่าที่ถูกแทงตายเมื่อครู่ขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง จากนั้นรีบคว้าหอกสั้นของนักฆ่าที่ตายแล้วพุ่งแทงเข้าใส่หน้าอกของนักฆ่าอีกคน
“พี่ใหญ่!” นักฆ่าอีกสองคนสูญเสียกระดูกสันหลังของกลุ่ม ต่างยืนตื่นตระหนก เฉินฟู่เซินใช้โอกาสนี้กระโดดขึ้นไปบนกำแพงแล้วหลบหนีทันที
ชายสองคนโกรธมาก หมายไล่ตามไป แต่ก็ตามไม่ทัน
เฉินฟู่เซินได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่มีที่ไป เขาจึงไปที่ประตูหลังของภัตตาคารกุ้ยซาน
คนกวาดประตูหลังจำเฉินฟู่เซินได้จึงรีบไปบอกเหยียนอี้โดยพลัน
เมื่อเหยียนอี้เห็นเฉินฟู่เซินเลือดเต็มตัว นางก็ตกใจมาก “เกิดอะไรขึ้น!”
เฉินฟู่เซินกัดฟันส่ายหัว คว้าคอเสื้อของคนกวาดประตูแล้วขู่ว่า “อย่าบอกใคร!”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เขาช่วยเหยียนอี้พยุงไปที่ห้องพักแล้วรีบออกไป
เหยียนอี้มองไปที่เลือดบนร่างเฉินฟู่เซิน ช่างคล้ายกับตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก ตอนนั้นเขาก็บาดเจ็บหนักเช่นนี้
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าเขาไปสร้างความโกรธเคืองให้ใครไว้ แต่ผ่านมาแล้วสองปีก็ยังไม่คิดจะปล่อยเขาไปเชียวหรือ?
“ข้าจะไปตามหมอให้เจ้า” เหยียนอี้กล่าว
“อย่า…” เฉินฟู่เซินจับมือเหยียนอี้ไว้ เหยียนอี้ไม่ทันตั้งตัวจึงล้มตกอยู่ในอ้อมแขน นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับแตะโดนของร้อน ก้าวถอยหลังไปในทันที
เฉินฟู่เซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “เจ้าไม่อาจหาหมอได้ มีคนกำลังไล่ตามข้าข้างนอก”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าก็ไม่ได้อยากถามเกี่ยวกับเรื่องของเจ้าหรอกนะ แต่ข้าอยากรู้จริง ๆ เฉินฟู่เซิน เจ้าเป็นใคร”
เขายิ้มอย่างขมขื่น “ข้าคือเฉินฟู่เซิน”
เหยียนอี้ส่ายหัวอย่างเอือมระอา
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “ข้าไม่ควรมาพบเจ้าในสภาพเช่นนี้เลย แต่พวกเขา… พวกเขาจะฆ่าข้า ข้าไม่มีที่ไปจริง ๆ”
เหยียนอี้ฉีกเสื้อผ้าของเขาออก นำผ้าสะอาดมากดแผลเอาไว้ “คนทั้งเมืองรู้ว่าเจ้ามาจากครอบครัวของข้า มันสายเกินไปที่เจ้าจะไม่รบกวนข้าแล้ว!”
เฉินฟู่เซินโอดโอยด้วยความเจ็บปวด เค้นเสียงพูดต่อว่า “มีคนห้าคนไล่ตามข้า ข้าฆ่าพวกเขาไปแล้วสามคน เหลืออีกสองคน… ข้าคิดว่าท่านซานกู่จื่อเป็นคนที่มีศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม หากนักฆ่ามาที่นี่เขาคงจะจัดการพวกมันได้”
เหยียนอี้นิ่งงันไปชั่วขณะก่อนโพล่งออกไปว่า “แต่มันสายเกินไป เขาไปแล้ว!”
“อะไรนะ” หลังจากได้ยิน เฉินฟู่เซินก็พลิกตัวและลุกขึ้นนั่งทันที เนื่องจากเขาลุกขึ้นกะทันหัน แผลที่ต้นขาเขาเลยเลือดออกอีกครั้ง
แต่เขายังคงยืนเช่นนั้นก่อนจะพูดว่า “แย่แล้ว ที่นี่อันตรายเกินไป ข้าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว…”
ยังไม่ทันขาดคำ หน้าต่างก็แตกกระจาย
นักฆ่าสองคนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำพุ่งผ่านหน้าต่างเข้ามา หนึ่งในนั้นถือหอกสั้นส่องแสงอยู่คู่หนึ่ง เมื่อเห็นเฉินฟู่เซิน เขาก็โจมตีทันทีโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
เหยียนอี้กรีดร้อง ถูกเฉินฟู่เซินผลักไปที่มุมห้อง
เกิดการต่อสู้ระหว่างสายฟ้ากับหินเแกร่ง เฉินฟู่เซินได้นำตะเกียบทั้งสองอันที่หัวเตียงเป็นอาวุธและแทงเข้าที่ใบหน้าของนักฆ่าโดยตรง
ชายคนนั้นสามารถหลบได้ในขณะที่ชายอีกคนพุ่งเข้าหาเขา
เฉินฟู่เซินต่อสู้กับคนสองคนนั้นอยู่นาน ทั้งสองฝ่ายต่างบาดเจ็บ
หัวใจของเหยียนอี้แทบจะหยุดเต้นเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ยามนี้นางเสียดายยิ่งนักที่ไม่ได้เรียนวรยุทธ์ใด ซานกู่จื่อต้องการสอนให้เหยียนอี้ แต่นางขี้เกียจและปฏิเสธที่จะเรียนรู้มัน ตอนนี้เมื่อเกิดการปะทะกันตรงหน้า นางทำได้เพียงยืนดูเท่านั้น
เฉินฟู่เซินมีตะเกียบเพียงสองอันเป็นอาวุธ แต่อีกด้านหนึ่งใช้หอกสั้นที่ทำจากเหล็กชั้นดี แล้วเขาจะสู้มันได้อย่างไร?
ชายสองคนที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าแข็งแกร่งเกินไป
เหยียนอี้มองไปรอบ ๆ และเห็นดาบปากั้ว[3] ห้อยอยู่บนผนัง
ซานกู่จื่อมีความเชี่ยวชาญในยันต์แปดทิศ หลักปรัชญาไท่จี๋ว่าด้วยเรื่องหยินหยาง ดังนั้นในทุกห้องของภัตตาคาร จึงมีดาบปากั้วและยันต์แขวนอยู่
ในขณะที่นักฆ่าทั้งสองไม่ทันระวัง เหยียนอี้ก็ไถลไปที่กำแพงหยิบดาบและโยนมันไปข้างหน้าด้วยแรงทั้งหมดที่มี “เฉินฟู่เซิน! รับดาบไป!”
เฉินฟู่เซินก็เคยเห็นดาบบนผนังเมื่อนานมาแล้ว ก่อนหน้านี้เขาเพียงแค่มองมัน แต่ตอนนี้เขาหยิบดาบมาไว้ในมือ คมดาบเปรียบดังเสือที่บังคับให้ศัตรูถอยห่างออกไปสองสามก้าว
นักฆ่าทางด้านซ้ายเห็นว่าเฉินฟู่เซินมีอาวุธ จึงรีบหยิบอาวุธลับในมือของเขาออกมา แต่ดูเหมือนเฉินฟู่เซินจะจับการเคลื่อนไหวได้ทัน เขาตวัดดาบไปที่คอนักฆ่าคนนั้นทันที
[1] โจวกง เป็นพระอนุชาของพระเจ้าโจวอู่หวาง ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โจว ได้ชื่อว่าเป็นผู้สำเร็จราชการแทนที่มากความสามารถและจงรักภักดี
[2] เฉินตวน เป็นปราชญ์ลัทธิเต๋าที่ถูกยกย่องในฐานะคนที่สร้างระบบวรยุทธ์ และการบ่มเพาะปราณ
[3] ดาบปากั้ว คือดาบที่มีความยาวและน้ำหนักมากกว่าดาบทั่วไป