ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 34 ข้อกล่าวหาเท็จที่ไร้ยางอาย(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 34 ข้อกล่าวหาเท็จที่ไร้ยางอาย(รีไรท์)
บทที่ 34 ข้อกล่าวหาเท็จที่ไร้ยางอาย(รีไรท์)
เหยียนอี้และเถ้าแก่เจิ้งสรุปว่าสาเหตุที่ภัตตาคารหว่านซิงสามารถดึงแขกได้นั้นเป็นเพราะราคาอาหารถูกลงและการแจกจ่ายข้าวของ แม้กำไรจะน้อยแต่ก็มียอดขายมาก ทว่านั่นไม่ใช่วิธีระยะยาวที่จะแข่งขันกับคนอื่นได้
อาหารนึ่งของภัตตาคารหว่านซิงมีราคาเพียงยี่สิบเหวิน เหล้าสองไหมีราคาเพียงหนึ่งเหลียงก็อยู่รอด อย่างไรก็ตามปลาลิ้นหมาในตลาดขายในราคาสิบเจ็ดเหวินต่อกิโลกรัม แล้วภัตตาคารหว่านซิงจะทำกำไรได้อย่างไร?
อาหารที่ขายไม่ใช่น้ำชาที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่ใช่ว่ายิ่งมีแขกมากเท่าไร ทางร้านก็จะยิ่งเสียเงินมากขึ้นเท่านั้นหรือ?
ไม่เคยเห็นภัตตาคารหว่านซิงทำธุรกิจเช่นนี้เลย
แน่นอนว่าหากลูกค้าคุ้นเคยกับรสชาติของอาหารในภัตตาคารหว่านชิง และเมื่อทางร้านมีลูกค้าประจำมากขึ้น ก็สามารถค่อย ๆ ปรับราคาขึ้นโดยที่ไม่ให้ลูกค้ารู้สึกตัว แล้วเหล่าลูกค้าจะกลับไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานทำไมอีก?
เหยียนอี้กลับไปคิดเรื่องนี้ทั้งคืน และนางก็มีความคิดผุดขึ้นมา หากภัตตาคารหว่านซิงขายอาหารในราคาประหยัด เช่นนั้นภัตตาคารกุ้ยซานก็จะไปในทิศทางตรงกันข้ามโดยการขายในราคาที่สูงเท่านั้น!
หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง เหยียนอี้ก็คิดว่าแผนนั้นยอดเยี่ยมมาก นางตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ และวิ่งตรงไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานแต่เช้าตรู่ทันที
เถ้าแก่เจิ้งอาศัยอยู่ในร้านมาโดยตลอด แต่ก่อนที่จะถึงเวลาที่เขาจะตื่นกลับถูกปลุกโดยเหยียนอี้ที่มาเคาะประตูแล้วบอกว่านางต้องการขึ้นราคาอาหาร
ดวงตาของเถ้าแก่เจิ้งหรี่ลงเมื่อเขาได้ยินสิ่งนี้ “เราขายอาหารราคาแพงกว่าภัตตาคารหว่านชิงถึงสองส่วนยังไม่มีลูกค้า หากจู่ ๆ เจ้าขึ้นราคาอีกใครจะซื้อมัน”
เหยียนอี้แสร้งทำเป็นส่ายหัว “เถ้าแก่เจิ้งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้คือฉกฉวยผลประโยชน์จากคนอื่นต่างหากเล่า”
เหยียนอี้ไปที่เคาน์เตอร์ เขียนเมนูใหม่ ไม่สนใจสายตางุนงงของเถ้าแก่ร้าน
“ซุปใสเห็ดสน – ราคาเดิมสามสิบห้าเหวิน ราคาปัจจุบันเจ็ดสิบเหวิน
กุ้งหลงจิ้ง – ราคาเดิมยี่สิบห้าเหวิน ราคาปัจจุบันห้าสิบเหวิน
เนื้อย่าง – ราคาเดิมแปดสิบห้าเหวิน ราคาปัจจุบันสามตำลึง
น้ำแกงปลากะพงใส่เห็ดหูหนูขาว – ราคาเดิมห้าสิบเหวิน ราคาปัจจุบันหนึ่งร้อยเหวิน
ปลากระรอกทอดเปรี้ยวหวาน – ราคาเดิมแปดสิบเหวิน ราคาปัจจุบันสองตำลึง
เอ้อร์ฉือซื่อเฉียวหมิงเยว่เย่ – ราคาเดิมสองเหลียง…”
เถ้าแก่เจิ้งถือเมนูไว้ในมือและรู้สึกว่ามันไม่น่าเชื่อ “แม่นาง จะมีใครสามารถจ่ายราคานี้ได้นอกจากคนใหญ่คนโตกัน?”
เหยียนอี้ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าแค่อยากให้คนใหญ่คนโตทุกคนในเมืองกินอาหารของข้า”
เถ้าแก่เจิ้งไม่เข้าใจ “มีผู้สูงศักดิ์มากมายมาที่ภัตตาคารของเราอยู่หรอก แต่นั่นมันเมื่อก่อน”
เหยียนอี้ยังคงพยายามบอกความคิดของนาง “เถ้าแก่เจิ้ง โปรดไปขอให้ใครสักคนเตรียมพร้อมและซื้อเสื้อผ้าไหมสำหรับเสี่ยวเอ้อทุกคนในภัตตาคารกุ้ยซาน ในอนาคตเสี่ยวเอ้อทุกคนในร้านจะสวมผ้าไหม”
เถ้าแก่เจิ้งถามว่า “แล้วสิ่งนี้มันมีไว้เพื่ออะไรหรือ”
เหยียนอี้หยิบป้ายขนาดใหญ่ออกมาจากใต้โต๊ะ นางเขียนมันในตอนเช้า มันถูกเขียนขึ้นด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่
‘คนที่ไม่สวมผ้าไหมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป’[1]
หลังจากเหยียนอี้คิดถึงวิธีนี้ นางได้นำป้ายไปแขวนไว้นอกประตูทั้งเช้า แต่ก็ไม่มีใครมา
เดิมทีมีลูกค้าเก่าหลายคนที่ต้องการเข้ามาดื่มชา แต่เพราะพวกเขาสวมเสื้อผ้าฝ้ายและผ้าลินิน จึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป ทำให้พวกเขาพากันสาปแช่ง
วิธีการของเหยียนอี้ทำให้แขกที่เหลือทยอยออกไป เมื่อเห็นเช่นนี้ เถ้าแก่เจิ้งก็เริ่มเป็นกังวล
แต่ในช่วงบ่าย ฮูหยินของผู้ตรวจการมาที่นี่ พร้อมเชื้อเชิญสตรีท่านอื่นมาพูดคุยกัน นางกินอาหารราคายี่สิบเหลียง
วันรุ่งขึ้น อู๋ซานเว่ย เศรษฐีในเมืองก็มาเช่นกัน เขาสั่งอาหารไม่มาก แต่สั่งสุราชั้นดี หลังจากนั้นเขาก็ทิ้งแท่งทองคำไว้และบอกว่าไม่ต้องทอน
เถ้าแก่เจิ้งมีความสุขมาก
ด้วยวิธีนี้แม้ว่าจะขายได้เพียงไม่กี่ครั้งต่อวัน แต่รายได้ต่อวันก็มากกว่าเมื่อก่อน
ชื่อของภัตตาคารกุ้ยซานซึ่งให้บริการแก่บุคคลสำคัญค่อย ๆ แพร่กระจายออกไป ไม่เพียงแต่อาหารรสเลิศ แต่ยังบริการเป็นเลิศอีกด้วย แม้แต่เสี่ยวเอ้อก็สวมผ้าไหมดูงามตา
นอกจากนี้ในร้านก็ไม่ได้มีแขกมากมายชวนให้อึดอัด เสี่ยวเอ้อบริการด้วยท่าทางสบาย ๆ กิริยาสง่างาม บางคนที่มีเงินทองก็ภูมิใจที่ได้รับประทานอาหารในภัตตาคารกุ้ยซาน
เมื่อเหยียนอี้เห็นว่าชื่อเสียงของนางกระจายไปมาก นางก็ภาคภูมิใจ ป่าวประกาศไปว่าตอนนี้นางทำอาหารเพียงห้าโต๊ะต่อวันและต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น เมื่อโต๊ะถูกจองเต็มแล้ว แม้แต่ฮ่องเต้ นางก็ไม่รับเพิ่ม
ดังนั้นทุกคนจึงแย่งกันจับจอง และในที่สุดก็ถูกจองล่วงหน้าถึงสามเดือน
เมื่อเวลาผ่านไปทุกคนต่างกล่าวขานกันว่าภัตตาคารกุ้ยซานเป็นสถานที่คุ้มค่าที่จะไป หากคนรวยคนใดไม่ได้มาที่นี่เพื่อรับประทานอาหารเย็น พวกเขาเหล่านั้นจะล้าสมัยอย่างมาก
ด้วยวิธีนี้ทั้งภัตตาคารหว่านซิงและภัตตาคารกุ้ยซานจึงทำการค้าต่อไปได้
เหยียนอี้มีความสุขมาก แต่เจ้านายของภัตตาคารหว่านซิงกลับไม่พอใจ
เขามีลูกค้าประจำจำนวนมากเนื่องด้วยราคาอาหารถูก แต่ราคาต่ำเกินไปทำให้ขาดทุน ตอนนี้เขาต้องการขึ้นราคา ทว่าผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขาขูดเลือดขูดเนื้อลูกค้า อีกทั้ังรสชาติก็ไม่ดีเท่าของภัตตาคารกุ้ยซาน
ทุกคนจึงอยากไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานที่ต้องต่อคิวยาวมากกว่าไปที่ภัตตาคารหว่านซิง
ในตอนนี้ แม้แต่ร้านอาหารอื่น ๆ ในเมืองก็มีธุรกิจที่ดีกว่าภัตตาคารหว่านซิง
เจ้าของภัตตาคารหว่านซิงไม่ได้ตำหนิร้านอาหารอื่น ๆ ที่แย่งลูกค้าไป เขาเกลียดเพียงภัตตาคารกุ้ยซานที่ได้ตัดแหล่งทำเงินของตัวเอง เขาขบฟันด้วยความเกลียดชังและยังคิดแผนร้ายทำลายอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตามเหยียนอี้ไม่ได้คาดคิดถึงภัยพิบัติที่กำลังมา
…
คืนวันหนึ่งที่พายุกำลังโหมกระหน่ำ
ที่พรมแดนทางตอนเหนือระหว่างอาณาจักรเหยียนและอวี๋ ทหารได้ก่อกบฏขึ้น
ความไม่สงบครั้งนี้ไม่ได้ขยายไปมากนัก ความขัดแย้งภายในของราชวงศ์เหยียนส่งผลกระทบต่อทหารชายแดน และในไม่ช้าทหารกบฏก็ถูกปราบปรามโดยกองกำลังภายในของอาณาจักรเหยียน
เหล่าทหารภายในอาณาจักรอวี๋ได้ยินเสียงแตรและเสียงต่อสู้กันกลางดึก พวกเขาคิดว่ามันเป็นการรุกรานของศัตรู แต่เมื่อไปที่กำแพงพรมแดน พวกเขาก็พบว่ามันเป็นการต่อสู้ภายในของกองทัพเหยียน
แม้พวกเขาจะสงสัยในใจ แต่พวกเขาก็คอยระวังอย่างแน่นหนา ในท้ายที่สุดก็ไม่ได้เกิดปัญหาใดเพิ่ม
เนื่องจากมันไม่ใช่เรื่องใหญ่และทหารของอาณาจักรอวี๋ไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น จึงใช้เวลามากกว่าสิบวันในการส่งรายงานไปยังเมืองหลวง
เมืองอู่ซานซึ่งอยู่ห่างจากชายแดนเหยียนและอวี๋มากกว่าสองร้อยลี้นั้นเงียบสงบราวกับหมึกสีดำ
คนที่มีตำแหน่งสูงเสียดฟ้าอย่างฮ่องเต้ก็อยู่ในที่ที่ห่างไกล แม้อาณาจักรอวี๋จะเปลี่ยนฮ่องเต้ แต่ผู้คนในเมืองอู่ซานก็ไม่สนใจ นับประสาอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอันไกลโพ้นเช่นอาณาจักรเหยียน
ไม่มีใครคาดคิดว่าในความโกลาหลเล็ก ๆ น้อย ๆ นั้น เชื้อพระวงศ์พระองค์หนึ่งของอาณาจักรเหยียนถูกใส่ร้ายป้ายสี จนจำต้องหนีเป็นระยะทางหลายร้อยลี้ไปถึงเมืองอู่ซาน
ต่อมามีทหารไล่ตามเขาไป เขาต้องการหลบหนีอย่างรวดเร็ว จึงข้ามพรมแดนของทั้งสองอาณาจักร แต่เพราะเขาไม่รู้ทิศทางเขาจึงไปทางใต้จนสุดทาง
เขามีบาดแผลตามร่างกายของเขาและสวมชุดเกราะ เพราะกลัวว่าจะมีใครจำเขาได้จึงปล่อยผมและถอดชุดออก
ในที่สุดเขาก็ล้มลงบนถนน
โชคดีที่เส้นทางนี้เป็นทางที่เสี่ยวเอ้อของภัตตาคารกุ้ยซานใช้เพื่อไปซื้อวัตถุดิบ
เสี่ยวเอ้อคนนั้นคือหวังอันซิน เขาช่วยชายหนุ่มที่หายใจรวยริน และพาเขากลับไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานพร้อมรถเข็นลา
ซานกู่จื่อเจ้านายของภัตตาคารกุ้ยซานได้ออกเดินทางไกล ทุกวันนี้ ภัตตาคารแห่งนี้เลยอยู่ในความดูแลของเถ้าแก่เจิ้งเสียส่วนใหญ่
เถ้าแก่เจิ้งเห็นว่าชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บ เถ้าแก่ไม่ต้องการสร้างปัญหา เขาจึงแค่ขอให้หวังอันซินพาชายคนนี้ไปโรงหมอ เลยให้เหรียญเงินสามหรือห้าเหรียญแก่เขา
หวังอันซินช่วยชีวิตผู้คน แต่ไม่กล้าที่จะเปิดเผยให้ผู้ใดรู้ เขาจึงนั่งรถม้าไปเชิญหมอประจำจากหอโช่วอันในเมืองอวิ๋นเจียนมารักษาชายบาดเจ็บอย่างเงียบ ๆ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่านักบัญชีของภัตตาคารหว่านซิงแอบมองอยู่ทุกฝีก้าว
นักบัญชีรู้ว่าเจ้านายเกลียดคนในภัตตาคารกุ้ยซานมากจนเขาบอกให้ทุกคนจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของภัตตาคารกุ้ยซาน ดังนั้นเขาจึงติดตามหวังอันซินไปตลอดทางและบอกเจ้านายทุกอย่าง
เจ้านายหันมา ดวงตาของเขาฉายแววเจ้าเล่ห์ คิดแผนร้ายขึ้นมาได้ เขาหันหลังกลับ ออกเดินทางไปพบผู้ตรวจการเพื่อฟ้องร้องภัตตาคารกุ้ยซาน
ข้อกล่าวหาคือ ภัตตาคารกุ้ยซานเป็นร้านที่ไม่โปร่งใส ไม่เห็นค่าชีวิตมนุษย์และได้ลงมือฆ่าคน
เมื่อผู้ตรวจการได้ยินเรื่องนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะรับฟ้อง เมื่อมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้น ก็ต้องมีการลงโทษ
ดังนั้นด้วยคำฟ้องร้อง ภัตตาคารกุ้ยซานจึงถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คน
ทันทีที่เอกสารถูกส่งลงมา เจ้าหน้าที่ก็ไปค้นภัตตาคารกุ้ยซาน ตามที่คาดไว้ชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บถูกพบในห้องฟืน
ดังนั้นทุกคนจึงถูกนำตัวขึ้นศาล
เนื่องจากไม่มีใครรู้จักชายหนุ่มคนนั้น และชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บอยู่ เจ้านายของภัตตาคารหว่านซิงจึงพูดอย่างไร้ยางอาย อ้างว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างไกลของเขา เขามาที่นี่เพื่อตามหาญาติ แต่เขาดันเข้าไปในภัตตาคารกุ้ยซานโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ลูกพี่ลูกน้องของข้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกใบนี้เลยขอรับ เวลามีคนถามเขาว่าเขาเป็นใคร เขาก็จะตอบว่าเขาเป็นญาติของข้า ใครจะไปคาดคิดว่าภัตตาคารกุ้ยซานซึ่งเป็นคู่แข่งกับภัตตาคารหว่านซิงมาโดยตลอดจะไม่พอใจข้าที่แย่งลูกค้า เลยทุบตีลูกพี่ลูกน้องของข้าเจียนตายเช่นนี้!”
ผู้ช่วยชีวิตหวังอันซินคุกเข่าและโขกศีรษะของเขาหลายครั้ง เขาร้องไห้พลางอธิบาย “ใต้เท้า ข้าช่วยผู้ชายคนนี้มาจากข้างถนนจริง ๆ ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เรื่องการฆ่าคนนั้นไม่ใช่ความจริงเลยขอรับ!”
ทว่าผู้ตรวจการรับผลประโยชน์จากภัตตาคารหว่านซิงและปฏิเสธที่จะฟังคำอธิบาย เขาตัดสินแล้วกล่าวว่า “ไร้สาระ! เจ้าจะช่วยผู้คนได้อย่างไรในเมื่อเจ้าไม่เคยพบเขามาก่อน? ข้าคิดว่าเจ้านั่นแหละที่ทุบตี!”
เจ้าของภัตตาคารหว่านซิงบีบน้ำตา “ลูกพี่ลูกน้องของข้า เจ้าน่าสงสารมาก ชายคนนั้นทำร้ายเจ้า! ดูบาดแผลพวกนี้สิ… ใต้เท้าข้าไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มนี่จะทำสิ่งที่โหดร้ายเช่นนี้ได้ เขาต้องได้รับคำสั่งจากการคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าแน่ขอรับ!”
ผู้ตรวจการยังกล่าวอีกว่า “จริงสิ เจ้านายของภัตตาคารกุ้ยซานอยู่ที่ใด? เหตุใดเขาไม่มาที่ศาลเล่า”
เถ้าแก่เจิ้งคุกเข่าลงกับพื้นและพูดว่า “เจ้านายของเราออกไปท่องเที่ยว ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วขอรับ”
ผู้ตรวจการพ่นลม “ท่องเที่ยวงั้นรึ? ไม่ใช่หรอก ข้าคิดว่าเขาทำผิดพลาดและหนีไปเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดเสียมากกว่ากระมัง!”
เหยียนอี้มองไปยังตราศาลที่ถูกแขวนในห้องโถง ก่อนจะยิ้มเยาะเย้ย
เมื่อผู้ตรวจการได้ยินเสียงนี้ เขาก็ให้ความสนใจกับเหยียนอี้ที่คุกเข่าอยู่ตรงมุมห้อง
ในอดีต เขาเคยไปเยี่ยมชมภัตตาคารกุ้ยซานบ่อยครั้ง เขาโลภอยากได้ตัวนาง ยิ่งรู้ว่าเหยียนอี้เป็นแม่ครัวที่มีฝีมือ เกิดมาพร้อมกับความฉลาดหลักแหลมอีก หากเขาไม่ได้เป็นผู้ตรวจการ เขาคงจะคว้าใครสักคนให้เป็นอนุคนที่ยี่สิบสามของเขา
เมื่อเขาเห็นเหยียนอี้ ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่แฝงอันตรายไว้ เขาบอกท่านอาจารย์ของเขาว่า “แม่นางเหยียนอี้เป็นสตรี จะคุกเข่าบนพื้นเย็นเช่นนี้ได้อย่างไร? รีบไปเอาเก้าอี้ให้นางหน่อยสิ”
เหยียนอี้คุกเข่าอยู่นานจนขาของนางชาไปทั่ว นางเองก็ไม่ได้อยากทนเจ็บเข่า จึงลุกไปนั่งเก้าอี้ด้วยความเต็มใจ
“เหยียนอี้ เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าใช่หรือไม่” ผู้ตรวจการยิ้ม
เหยียนอี้รู้สึกขยะแขยง นางหันหน้าไปทางอื่น “มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าและไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับภัตตาคารกุ้ยซาน ข้าหวังว่าผู้ตรวจการจะถือถุงเงินให้แน่น และอย่าเผลอเทขยะลงไปในถุงเสียล่ะ”
ผู้ตรวจการถูกทำให้ขายหน้า ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีหน้าน่าเกลียด เขาแสร้งกระแอมไอ ก่อนจะดำเนินการสอบสวนต่อไป
[1] หลังจากหลิวปังขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่น ทรงเน้นการเกษตรและปราบปรามการค้าขาย โดยกำหนดว่าพ่อค้าจะไม่ได้รับอนุญาตให้สวมผ้าไหมและนั่งรถม้า คนโบราณมักใช้สิ่งนี้เป็นหลักฐานเพื่อแยกแยะความแตกต่างทางฐานะของผู้คน ต่อมาในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง สถานะของพ่อค้าสูงขึ้น สามารถซื้อที่ดิน กลายเป็นเจ้าของที่ดิน รวมถึงชนชั้นขุนนาง ทำให้พวกเขาสามารถนั่งรถม้าและใส่ผ้าไหมได้