ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 33 ดวลทำอาหาร (รีไรท์)
บทที่ 33 ดวลทำอาหาร (รีไรท์)
ซานกู่จื่อขมวดคิ้ว คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “คว้านเนื้อแฮมออกเป็นหลุมกลมยี่สิบสี่หลุม จากนั้นใส่เต้าหู้ลงในแต่ละหลุม แล้วนำไปนึ่ง”
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นั่นคือเหตุผลที่ข้าถาม จากนั้นข้าจะถามท่านอีกครั้ง ความหมายของ ‘อวี้ตี๋เฉวเจียทิงลั่วเหมย'[1] คืออะไร?”
ซานกู่จื่อเดินไปมาพลางครุ่นคิด
เขาคิดอยู่นาน ก่อนจะพูดว่า “ข้านึกสูตรขึ้นมาได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามันถูกต้องหรือไม่”
“ลองพูดมาสิ”
“ใช้เนื้อที่แตกต่างกันห้าอย่าง อย่างเนื้อหมู วัว แกะ ไก่ และเป็ดเพื่อทำเนื้อย่าง เป็นเรื่องปกติที่จะเคี้ยวเนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ เนื้อเป็ดด้วยกัน รสชาติย่อมคุ้นเคย แต่เมื่อทั้งหมดมารวมกัน มันจะให้รสชาติที่แตกต่างกันถึงยี่สิบห้าแบบ เหมือนกับดอกบ๊วยห้าดอกที่ให้ความรู้สึกต่างกัน ม้วนเนื้อเป็นเส้นยาว นำไปย่างจนกลายเป็นสีน้ำตาล รูปร่างดูเหมือนขลุ่ยหยกโบราณในสมัยราชวงศ์ฮั่น”
เหยียนอี้หัวเราะ “ท่านฉลาดจริง ๆ แต่มีชื่อที่ซับซ้อนเช่นนี้ทั้งที มันไม่หยาบคายเกินไปหน่อยหรือที่จะใช้เพียงเนื้อสัตว์ทั่วไป เช่น หมู วัว แกะ ไก่ และเป็ด? เป็นข้าจะใช้ขากวาง เอวกระต่าย ปลาหนีชิว[2] หางกวาง และครีบฉลาม”
“ยอดเยี่ยม! ช่างน่าประทับใจยิ่ง!” ซานกู่จื่อสรรเสริญครั้งแล้วครั้งเล่า
เหยียนอี้กล่าวต่อว่า “หากท่านคิดวิธีทำตรงกับข้าได้ แปลว่าท่านทำถูก สุดท้ายข้าขอถามท่านว่า ‘ชางซินเฉียวเซี่ยชุนโปลวี่’ คืออะไร?”
ซานกู่จื่อรู้สึกงุนงงไปสักพัก เขาคิดหนักอยู่นาน แต่สุดท้ายก็คิดไม่ออก เขาถามอย่างไม่แน่ใจว่า “ใช่จานที่นำผักกวางตุ้งมาทำหรือไม่”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “มันคือเป็ดแก่ต้มกับผักกาดหอมต่างหาก”
ซานกู่จื่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
มีสิ่งที่สร้างความสุขมากมายในโลก แต่การได้พบเพื่อนในอาชีพเดียวกันเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
ซานกู่จื่อไม่อาจซ่อนรอยยิ้มของเขาได้ เขาพูดว่า “เหยียนอี้ข้าแพ้การประลองความรู้กับเจ้า เจ้าอยากสู้อีกหรือไม่”
‘การต่อสู้’ ครั้งถัดไปนี้หมายถึงการแข่งขันในการปรุงอาหาร
เหยียนอี้เปรียบเหมือนลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือแม้แต่น้อย นางรับคำท้าทันที ก่อนจะม้วนแขนเสื้อขึ้นแล้วก้าวตรงเข้าไปในครัว
ห้องครัวของร้านอาหารแห่งนี้งดงามนัก มีผู้ช่วยหั่นผักประมาณสิบคน มีคนล้างจานอีกแปดคน อย่างไรก็ตามเนื่องจากไม่มีพ่อครัว ธุรกิจของร้านอาหารจึงดูสิ้นหวัง คนกลุ่มนี้ไม่มีอะไรให้ทำตลอดทั้งวัน
เมื่อพวกเขาเห็นเจ้านายเข้ามาในครัว พวกเขาก็ยืนตัวตรงทันที พร้อมกับหัวใจที่เต้นแรง ‘ไม่ใช่ว่าร้านอาหารจะปิดก็เลยจะไล่พวกเขาออกหรอกกระมัง’
โดยไม่คาดคิด ซานกู่จื่อเข้าไปในครัว เขายิ้ม สั่งให้เตรียมครัว ล้างจาน และทำรายการยาวเหยียด
จากนั้นเขาพูดกับเหยียนอี้ว่า “แม่นางเหยียนอี้ เจ้าสามารถใช้สิ่งของทั้งหมดในครัวของข้าได้ เจ้าสามารถหาวัตถุดิบทั้งหมดได้ในนี้ หากเจ้าขาดอะไรก็ขอให้พวกเขาซื้อให้ได้”
เหยียนอี้อ้าปากค้าง ก่อนมองไปรอบห้องครัว นางกล่าวว่า “นายท่านซาน หากยังมีวัตถุดิบใดที่ท่านไม่มี ข้าเกรงว่าภายในหนึ่งร้อยลี้จากที่นี่ก็คงไม่มีเช่นกัน”
ซานกู่จื่อภูมิใจในตัวเด็กสาวมาก เขาหยิบพริกเขียวมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เหล่าผู้ช่วยงุนงงไปตาม ๆ กัน
เขาตั้งใจจะแสดงทักษะของเขาต่อหน้าเหยียนอี้ นั่นคือการหั่นผักในขณะที่สายตามองไปทางอื่น เศษพริกเขียวที่ถูกหั่นออกมานั้นบางราวกับเส้นผม
เหยียนอี้กล่าวชมว่า “น่าทึ่งมาก” เมื่อนางเห็นทักษะนั้น
งานมีดของนางไม่ได้งดงามและซับซ้อน นางให้ความสนใจกับลัทธิปฏิบัตินิยม[3] นางเพียงแค่ใช้เครื่องมือในครัวปอกเปลือกมันฝรั่ง ไม่ได้มีอะไรพิเศษ
ครึ่งชั่วยามต่อมา อาหารของทั้งสองฝ่ายก็พร้อม
สิ่งที่เหยียนอี้ทำคือซุปไข่ปลากระบอกรสเปรี้ยวเผ็ดที่ทำสุดฝีมือและห่านทอดกับปลิงทะเลในน้ำราดหอยเป๋าฮื้อ ส่วนฝั่งซานกู่จื่อนั้นเป็นอาหารที่เรียบง่ายและธรรมดาสุด ๆ นั่นคือไข่กวนใส่มะเขือเทศ หมูหั่นฝอย และพริกเขียว
อาหารของเหยียนอี้นั้นงดงามและซับซ้อน ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินหรือเห็นมาก่อน
ทว่าอาหารของซานกู่จื่อพบเห็นได้ยากเช่นกัน ผู้คนคิดไม่ถึงว่าไข่กวนมะเขือเทศจะมีกลิ่นหอมชวนกินขนาดนี้ได้อย่างไร?
พวกเขาทั้งหมดเข้าคิวรอรับตะเกียบเพื่อลิ้มรส
บางคนกลืนมันลงไปเลย เพราะ คิดว่ามันเป็นอาหารอันโอชะที่หายาก พวกเขาได้แต่เสียใจที่ไม่เคี้ยวมันให้ละเอียดอีกสักหน่อย บางคนค่อย ๆ เคี้ยว รับรู้ได้ว่าแต่ละครั้งที่เคี้ยวจะมีรสชาติแตกต่างกัน
ทุกคนต่างลงความเห็นว่าอาหารจานนี้ควรพบได้บนสวรรค์เท่านั้น ผู้คนบนโลกจะเคยได้ยินชื่อมันสักกี่ครั้งกัน?
เหยียนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “นายท่านซาน ดูเหมือนเราจะไม่อาจบอกได้ว่าใครแพ้หรือชนะนะเจ้าคะ”
ซานกู่จื่อยังกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “การหาผู้ชนะและผู้แพ้จะมีความหมายอะไรกัน? แม่นางเหยียนอี้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะใช้ทักษะของเจ้าที่นี่ได้หรือไม่”
เหยียนอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ตกลงเจ้าค่ะ จากนี้ไปข้าจะเป็นแม่ครัวในภัตตาคารกุ้ยซาน! แต่เราต้องตกลงกันล่วงหน้าว่าเงินเดือนที่ข้าต้องการนั้นไม่น้อย”
“ข้าจะให้เจ้ามากเท่าที่เจ้าต้องการ”
“นายท่านซานรวยจริง ๆ!” เหยียนอี้แสดงท่าทางราวกับเป็นคนเจียงหู ประสานหมัดคารวะ จากนั้นหัวเราะอย่างเบิกบานใจ
วันรุ่งขึ้น เหยียนอี้ก็ลงหลักปักฐานในภัตตาคารกุ้ยซาน กลายเป็นหัวหน้าแม่ครัวของร้านอาหารไปโดยปริยาย
นางมีความคิดที่แยบยลถี่ถ้วนที่สุด ทุกวันนางคิดค้นอาหารใหม่ ๆ จากตอนแรกที่ร้านอาหารกุ้ยซานอยู่ในภาวะตกต่ำ ตอนนี้กลับมารุ่งเรืองหลังจากที่นางเข้ามาทำงาน
ทุกคนในร้านพากันปลื้มปีติเมื่อธุรกิจเฟื่องฟู
มีเพียงเถ้าแก่เจิ้งนักบัญชีเท่านั้นที่ไม่มีความสุข
ปรากฏว่าแม้เงินในร้านอาหารจะไหลเข้ามาทุกวัน แต่บัญชีก็ไม่สมดุล
ไม่ว่าเขาจะได้รับเงินเท่าใด ซานกู่จื่อก็จะใช้จ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความจริงก่อนหน้านั้นเขาก็เคยทำสิ่งเดียวกัน แต่ยามนั้นเขาก็ได้รับเงินเพียงเล็กน้อย ถึงซานกู่จื่อจะเป็นพ่อครัวเอง แต่เขาก็ไม่ทำอาหารทุกวัน รายได้ต่อเดือนของร้านอาหารจึงเหลือเพียงสองหรือสามร้อยเหลียงเท่านั้น
หากเจ้านายต้องการใช้เงิน เขาย่อมนำมันออกไปใช้ตามความประสงค์ อย่างไรก็ตาม จะยังไม่เกิดปัญหาตราบใดที่เขาเอาไปเพียงกำไรไม่แตะต้องเงินทุน
แต่ตอนนี้ร้านอาหารสามารถสร้างรายได้หลายสิบตำลึงเงินต่อวัน เจ้านายเลยสามารถใช้เงินมากเท่าที่เขาหาได้ นอกจากเงินรายวันสำหรับซื้อของเข้าร้านแล้ว ก็ไม่มีเงินพอเพื่อทำสิ่งใดอีก
เถ้าแก่เจิ้งทำสีหน้าขมขื่นต่อหน้าเหยียนอี้ นางรู้สึกแปลกใจมาก “นายท่านซานใช้เงินไปกับสิ่งใดกัน”
ซานกู่จื่อไม่มีครอบครัวหรืออนุ อาหารและเสื้อผ้าประจำวันของเขาก็ล้วนเรียบง่าย อีกทั้งเขาไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ทุกปี ดูเหมือนว่าเขาไม่มีงานอดิเรกที่จะมาผลาญเงินเลยนอกจากการซื้อหนังสือสองสามเล่ม เช่นนั้นแล้วเงินไปอยู่ที่ใดหมด?
เหยียนอี้พูดติดตลก “เมื่อมองดูการปรากฏตัวของบัณฑิตที่มีชื่อเสียงเช่นนี้เขาเป็นคนขี้เหนียวหรือไม่? เขาหาเงินได้เท่าไรก็คงเอามันฝังลงดินหมดกระมัง”
เถ้าแก่เจิ้งทำงานที่ภัตตาคารกุ้ยซานมาสิบปีแล้ว เขารู้จักเจ้านายของเขามานานที่สุด แต่เขากลับไม่รู้เลยว่าเจ้านายคิดอะไรอยู่
อย่างไรก็ตามร้านอาหารเป็นของซานกู่จื่อ แน่นอนว่าเงินที่ได้รับมาก็ต้องเป็นของเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้ค้างจ่ายค่าจ้างคนงาน เขาใช้จ่ายเงินอย่างไร? จะมีใครกล้าถาม?
ซานกู่จื่อเป็นคนลึกลับและมีฝีมือ เขามักจะไม่อยู่ที่ร้านอาหาร แต่นาน ๆ ทีเขาจะดึงเหยียนอี้มาเรียนรู้ทักษะการทำอาหาร
คราแรกทักษะการทำอาหารของเหยียนอี้เทียบเท่ากับเขา ทว่าหลังจากแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหลายครั้ง นางกลับไปเรียนอย่างหนักและฝึกฝนอย่างหนัก หลังจากนั้นไม่กี่เดือน ฝีมือนางก็ดีขึ้นอย่างมาก
ซานกู่จื่อมิได้พูดสิ่งใด แต่ในความเป็นจริงทักษะการทำอาหารของเขาไม่สามารถเทียบได้กับเหยียนอี้
เขาพูดเพียงว่า “เสี่ยวอี้ ทักษะการทำอาหารของข้าแตกต่างจากของเจ้ามาก เหตุใดเจ้าไม่เคารพข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าล่ะ”
เหยียนอี้ที่กำลังดื่มน้ำพลันพ่นน้ำออกมา “อะไรนะ? ไม่ใช่ว่าท่านควรบูชาข้าในฐานะอาจารย์หรอกหรือเจ้าคะ”
ซานกู่จื่อกล่าวว่า “ข้าแก่กว่าเจ้าสองรอบ ไม่เลวเลยที่เจ้าจะบูชาข้าในฐานะอาจารย์”
เหยียนอี้รู้ว่าเจ้านายตนเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว มีพฤติกรรมแปลก ๆ อยู่เสมอ นางจึงหัวเราะร่วน “ทักษะนี้เกี่ยวข้องกับอายุอย่างไร? บางคนโตจนอายุร้อยปี แต่กลับเป็นคนชราที่ไร้ประโยชน์”
ซานกู่จื่อหัวเราะ “เสี่ยวอี้ มีคนอมตะที่ไร้ประโยชน์มากมายในโลกนี้ แต่ข้ายังไม่แก่และห่างไกลจากความตาย นอกจากนี้ข้ายังคงมีประโยชน์มาก”
เหยียนอี้รู้ดีว่าซานกู่จื่อมีความเชี่ยวชาญในด้านดนตรี หมากรุก การเขียนตัวอักษร และภาพวาดทุกประเภท เขาเป็นผู้รอบรู้ นอกจากนี้เขายังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิขงจื่อ พุทธศาสนาลัทธิเต๋า หยินและหยาง และแผนภาพแปดแผนภาพ ศิลปะการต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน นางเห็นเขาอ่านหนังสือสงครามเมื่อไม่กี่วันก่อน เห็นได้ว่าเขาเป็นทั้งคนที่มีความรู้ทั้งฝั่งบุ๋นและบู๊
ในสถานที่ห่างไกลเช่นเมืองอู่ซาน แปลกมากที่จะมีคนเช่นเสือหมอบ มังกรซ่อน[4] เช่นนี้
แต่เหยียนอี้ก็ไม่อยากเป็นศิษย์ของเขา
การอ่านตำราเป็นสิ่งที่น่ารำคาญที่สุดในโลก นางไม่ควรร้องขอปัญหา!
แม้เหยียนอี้ไม่ต้องการเรียนรู้ แต่ซานกู่จื่อก็เต็มใจที่จะสอน
หากเขามาที่ร้านอาหาร เขาจะขยับเก้าอี้และนั่งในครัวพูดคุยกับเหยียนอี้เรื่องราวในอดีตและปัจจุบัน นางยังได้เรียนรู้มากมายหลังจากฟัง
แม้ว่าทั้งคู่จะไม่มีสถานะเป็นอาจารย์หรือลูกศิษย์ และเหยียนอี้ปฏิเสธที่จะขอความรู้ใด ๆ จากเขา ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็คือการเรียนการสอนที่แท้จริง
เหยียนจื่อมักจะมาที่ร้านอาหารเพื่อเล่นสนุก นางมักจะคอยติดตามเหยียนอี้
ซานกู่จื่อมีใบหน้าที่จริงจัง แต่เขาเป็นอาจารย์ที่ดี เมื่อเห็นว่าเหยียนอี้ปฏิเสธที่จะนับถือเขาในฐานะอาจารย์ เขาจึงหันมาสอนสั่งให้เหยียนจื่อแทน
แต่เหยียนจื่อเป็นคนที่ชอบกิน ชอบดื่มและเล่นสนุก นางไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับหลักการอันยิ่งใหญ่ที่เขาพูดถึงทั้งนั้น แต่เหยียนอี้ที่อยู่ด้านข้างกลับฟังพวกเขาอย่างเงียบ ๆ
เหยียนจื่อชอบไปที่ถนนเพื่อดูการแสดงเต้นรำหูซวน[5] และตั้งใจเรียนรู้
เฉินฟู่เซินไม่เคยมาที่ร้านอาหาร แม้ว่าเขาจะยังอาศัยอยู่ที่บ้านของเหยียนอี้ ทว่าเขาก็ออกไปข้างนอกแต่เช้า กลับดึกบ่อยขึ้น บางครั้งก็ออกไปข้างนอกทั้งคืน
เหยียนอี้ยุ่งมากทุกวันจนนางไม่มีเวลาคิดว่าเขาหายไปที่ใด นางรู้สึกราง ๆ ว่าชายคนนี้จะไม่อยู่กับพวกนางในเมืองอู่ซานแห่งนี้ตลอดไป
เขาดูราวกับห่านป่าบนท้องฟ้า แล้ววันหนึ่งเขาก็คงจะบินหนีไป
อย่างไรแล้วเขาก็เคยชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยว ใช่หรือไม่?
ธุรกิจของภัตตาคารกุ้ยซานเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเถ้าแก่เจิ้งก็ประหยัดเงินได้ เขาซื้อร้านข้าว รวมถึงร้านผ้าไหมและผ้าแพรที่อยู่ติดกันเพื่อขยายร้านอาหารให้ยิ่งใหญ่
ดังคำกล่าวที่ว่าต้นไม้ใหญ่ดึงดูดลม เมื่อต้นไม้งอกงามอยู่ในป่า ลมจะพัดมาทำลาย
ธุรกิจของภัตตาคารกุ้ยซานเริ่มใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นธรรมดาที่มันจะดึงดูดความอิจฉาจากคนรอบข้าง
ภัตตาคารหว่านซิงที่อยู่ตรงข้ามถนนจ้างพ่อครัวชื่อดังจากหยางโจวเป็นพิเศษ ทำป้ายขนาดใหญ่เขียนรายชื่ออาหารลดราคา และสาบานว่าจะเอาธุรกิจกลับคืนมา
เนื่องจากมีการแจกข้าวและน้ำมันในช่วงลดราคา แขกหลายคนจึงหันไปอุดหนุนภัตตาคารหว่านซิงแทน
เมื่อซานกู่จื่อได้ยินเรื่องนี้เขาก็ไม่สนใจ
อย่างไรเสียในอดีตที่ธุรกิจไม่ดี เขาก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้วว่าเขาจะได้รับเงินเท่าไร
แต่เหยียนอี้และเหยียนจื่ออดไม่ได้
พ่อครัวชื่อดังจากหยางโจว ปล่อยข่าวลือว่าเหยียนอี้เป็นแค่เด็กสาวที่ทำอาหารไม่เป็น นางไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าอาหารอร่อยคืออะไร
แม้เหยียนอี้จะไม่ใช่สตรีนิยม แต่นางก็ทนไม่ได้ที่มีคนดูหมิ่นสตรี ไม่มีหมั่นโถวให้นึ่งแต่ต้องสู้ต่อไป[6] ไม่ว่าอย่างไรนางต้องการได้ธุรกิจของนางกลับมา
[1] อวี้ตี๋เฉวเจียทิงลั่วเหมย (玉笛谁家听落梅) เนื้อย่างม้วนเป็นเส้นยาว
[2] ปลาหนีชิว (泥鳅) หรือปลาโลช ลักษณะคล้ายปลากด เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง
[3] ลัทธิปฏิบัตินิยม คือทัศนะทางปรัชญาที่ให้ความสำคัญแก่ความรู้และความเป็นจริงที่เป็นประสบการณ์
[4] เสือหมอบมังกรซ่อน หมายถึงคนที่มีความสามารถแต่หลบซ่อนคมเอาไว้
[5] การเต้นรำชนิดหนึ่งของจีน
[6] ไม่มีหมั่นโถวให้นึ่งแต่ต้องสู้ต่อไป (不蒸馒头争口气) หมายความว่า ถึงแม้ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ดี แต่ก็ต้องดิ้นรนสู้ชีวิตต่อไปอย่างภาคภูมิ