ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 32 ภัตตาคารกุ้ยซาน(รีไรท์)
บทที่ 32 ภัตตาคารกุ้ยซาน(รีไรท์)
เหยียนอี้ก็กังวลใจไม่ต่างกัน “แล้วหากคืนนี้อาการไม่ดีขึ้นล่ะเจ้าคะ”
เมื่อเหอซื่อได้ยินเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะปาดน้ำตา “หมอบอกว่านางเป็นไข้หวัด น่าเป็นห่วงมากนัก หากคืนนี้ไข้ไม่หาย เกรงว่าสมองจะได้รับอันตราย”
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินว่าอาการของเหยียนจื่อรุนแรงมาก ก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจนางโดนกระชากออกจากอก แต่เมื่อนางเห็นเหอซื่อร้องไห้ นางทำได้เพียงฝืนยิ้มและปลอบโยนมารดาของตน “ไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ท่านแม่พูดเองว่าหมอเปี้ยนเป็นหมออาวุโส ประเดี๋ยวก็คืนชีพได้ด้วยมือวิเศษ เช่นนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเหยียนจื่อได้อย่างไร”
เหอซื่อถอนหายใจ “ทักษะทางการแพทย์ของหมอเปี้ยนนั้นดีเป็นที่ประจักษ์ แต่การไปพบหมอนั้นแพงเกินไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเข้าพักในห้องนี้ หนึ่งคืนมีค่าใช้จ่ายสองเหลียง ส่วนใบสั่งยาของแพทย์นั้นห้าเหลียง! ”
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินมาว่าในเวลานี้แม่ของนางยังคงกังวลว่าค่ารักษาพยาบาลแพงเกินไป นางก็อดหัวเราะไม่ได้ “ท่านแม่ ในขณะนี้ธุรกิจของเราเจริญรุ่งเรืองมากพอที่จะจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้เจ้าค่ะ”
เหอซื่อจับมือเหยียนอี้และกล่าวว่า “ทั้งหมดเป็นเงินที่เจ้าหามาอย่างยากลำบาก อุตส่าห์เก็บหอมรอบริบไว้ทุกตำลึง”
เหยียนอี้นั่งลงข้างเหอซื่อ ซุกศีรษะไว้ในอ้อมแขนของนาง
ลมหายใจอุ่น ๆ ของแม่ค่อย ๆ รดบนศีรษะของนาง พาให้สบายใจยิ่งนัก
เหยียนอี้ตบหลังมือมารดาแล้วพูดว่า “ท่านแม่ ข้าเพิ่งนั่งรถม้าของภัตตาคารกุ้ยซานในเมือง เถ้าแก่ไปบ้านเพื่อขอให้ข้าเป็นแม่ครัว เขาจะจ่ายข้ายี่สิบเหลียงต่อเดือน”
เหอซื่อตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง “ครั้งสุดท้ายที่เราคุยกันเรื่องนี้ เจ้าบอกว่าจะเปิดร้านเองไม่ใช่หรือ?”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าลองคิดดูแล้ว หากเรายังตั้งแผงขายของ เมื่อใดเราจะได้มีหน้าร้าน เป็นการดีกว่าที่จะหางานที่มีรายได้สูงและประหยัดเงินเจ้าค่ะ”
เหอซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน “เจ้าเป็นคนมีความคิดมากที่สุด ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว”
…
หลังจากกลืนยาลงไป เหยียนจื่อก็ผล็อยหลับไปอีกครา กระนั้นยังคงละเมอในความฝัน เหอซื่อและเหยียนอี้มองด้วยความกังวลใจ ในช่วงครึ่งหลังของค่ำคืน เหยียนจื่อมีเหงื่อออกสองรอบ ทว่าในที่สุดไข้ก็ลดลง
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อเหยียนจื่อตื่นขึ้น นางก็ตะโกนว่าหิว อยากกินสิ่งนู้นสิ่งนี้ไม่หยุด หลังจากหมอเปี้ยนมาตรวจอาการ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้ว
สามแม่ลูกรับประทานอาหารเช้า จากนั้นเหยียนอี้ออกไปข้างนอกเพื่อเรียกรถม้า และทั้งสามก็กลับกระท่อมกันอย่างมีความสุข
เหยียนจื่อยังรู้สึกไม่ค่อยดี นางขดตัวนอนอยู่ในอ้อมแขนของเหอซื่ออย่างเกียจคร้าน
เมื่อกลับถึงบ้านพวกนางก็ต้องตกใจที่เห็นเฉินฟู่เซินกำลังตัดฟืนอย่างจริงจัง
เฉินฟู่เซินเช็ดมือจนสะอาด ก่อนจะเดินเข้าไปหานาง แล้วถามว่า “เหยียนจื่อเป็นอย่างไรบ้าง?”
“พี่ชาย ข้าสบายดี” เหยียนจื่อกระโดดลงจากรถม้า ตอบเฉินฟู่เซินออกไป
เหอซื่อขมวดคิ้ว “อาการป่วยยังไม่หายดี อย่าเพิ่งกระโดดไปมาเช่นนี้”
เหยียนอี้มองดูเหอซื่อพาเหยียนจื่อเข้าบ้าน หันไปเห็นเฉินฟู่เซินผ่าฟืนด้วยขวาน นางแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เฉินฟู่เซินยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าจ้องข้ามีอะไรหรือ”
เหยียนอี้หันศีรษะไปทางอื่นแล้วพูดว่า “อ้อ เจ้าผ่ามากเกินไป มันพอสำหรับหลายวันแล้ว”
เฉินฟู่เซินพยักหน้า “ข้ารอเจ้ามาเป็นเวลานาน ไม่เห็นกลับมาเสียที ข้าจึงแค่อยากจะหาอะไรทำ”
เหยียนอี้เกือบจะโพล่งออกมาว่า ‘เมื่อคืนข้าก็รอเจ้านานเช่นกันแต่เจ้าก็ไม่กลับมา’
แต่เมื่อนางเปิดปาก นางก็เปลี่ยนใจไม่ได้พูดอะไรหรือถามอะไรออกไป
…
เสียงรถม้าดังขึ้นนอกประตูอีกครั้ง รถม้าที่ตกแต่งอย่างหรูหราหยุดลง ในรถม้าคือ เจิ้ง เถ้าแก่ร้านอ้วนท้วนที่มาเมื่อวาน
เมื่อเถ้าแก่ร้านเจิ้งเห็นเหยียนอี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “แม่นางเหยียน น้องสาวของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
เหยียนอี้ยิ้มแล้วตอบว่า “เราเพิ่งกลับมา เหยียนจื่อไม่เป็นไรแล้ว เหตุใดเถ้าแก่เจิ้งถึงมาเร็วนักเจ้าคะ?”
เถ้าแก่ร้านเจิ้งไม่ได้ลงจากรถ เขาเพียงยกม่านขึ้น ทำท่าทางขอร้องแล้วพูดว่า “ข้ารอเจ้านานแล้ว! เด็กหนุ่มคนนี้ไม่รู้จักข้า เขาจึงไม่แม้แต่จะให้ข้าเข้าไป หนำซ้ำยังไล่ข้าอีก ข้าก็เลยต้องรออยู่ข้างนอกเงียบ ๆ เช่นนี้”
เหยียนอี้เหลือบมองเฉินฟู่เซินแล้วพูดว่า “พี่ชายของข้าอารมณ์ไม่ดี เถ้าแก่เจิ้งอย่าได้ถือสา”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เหยียนอี้กำลังจะไปขึ้นรถม้า
เฉินฟู่เซินก็ปรี่เข้ามาคว้านางแล้วถามว่า “เขาเป็นใคร?”
เหยียนอี้กล่าวว่า “เถ้าแก่เจิ้ง ท่านโทษพี่ชายของข้าไม่ได้นะที่ไล่ท่านออกไป เพราะท่านไม่ได้แนะนำตัวที่บ้าน”
เถ้าแก่เจิ้งยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ายังมีพี่น้องตัวน้อยในเมืองอู่ซานที่ไม่รู้จักข้า เถ้าแก่เจิ้งแห่งภัตตาคารกุ้ยซาน”
เหยียนอี้บ่นในใจ ‘ก่อนที่เจ้าจะมาหาข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าเถ้าแก่ภัตตาคารกุ้ยซานจะเป็นคนอ้วนเช่นเจ้าเหมือนกัน’
ขณะที่คิด ใบหน้าของนางยังคงมีรอยยิ้ม “พี่ชายของข้ามาจากต่างถิ่น ไม่รู้ประเพณีบ้านเมืองของเรา ท่านอย่าแปลกใจเลย”
เถ้าแก่เจิ้งส่ายหัวเล็กน้อยและโบกมือให้เหยียนอี้ขึ้นรถ นางก้าวขึ้นไปอย่างเชื่อฟัง
…
ภัตตาคารกุ้ยซานแห่งนี้ไม่ใช่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในเมืองอู่ซาน แต่เป็นสถานที่ที่หรูหราที่สุด
นอกจากการประดับตกแต่ง และเครื่องแบบที่เสี่ยวเอ้อใส่แล้ว รสชาติของอาหารก็เหนือกว่าร้านอื่นมากโข
ทว่าเหยียนอี้สาวเท้าเข้าไปในร้าน กลับพบว่าธุรกิจร้านดูท่าไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าจะไม่ได้ถูกทิ้งร้าง แต่ก็ยังเงียบกว่าร้านอื่นมาก
เหยียนอี้จึงถามว่า “เถ้าแก่ร้าน ข้ามีเรื่องจะถาม”
“เจ้าพูดมา ข้ารู้ทุกอย่าง ข้าสามารถตอบได้ทุกอย่าง” เถ้าแก่เจิ้งกล่าว
“ข้าเข้าใจว่าท่านจ้างข้าเป็นแม่ครัว ท่านชวนข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไปที่บ้านเพื่อรอพบข้า มันยิ่งใหญ่เกินไปหรือไม่ มันทำให้ข้ารู้สึกละอายใจไม่น้อย” เหยียนอี้กล่าว
เถ้าแก่เจิ้งตอบว่า “แม่นางเหยียน ไหน ๆ เจ้าก็มาที่นี่แล้ว ข้าจะไม่ปิดบังเจ้าแล้วกัน เจ้าคงเห็นแล้วว่าธุรกิจของร้านอาหารเราช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก เนื่องจากพ่อครัวหยุดทำงานตั้งแต่ครึ่งปีที่แล้ว คุณภาพของอาหารก็แย่ลงเรื่อย ๆ เราต้องการหัวหน้าครัวคนใหม่จริง ๆ”
เหยียนอี้กล่าวว่า “น่าแปลกใจมาก นกเฟิ่งหวง[1] สี่ขาหายากในโลกนี้ แต่พ่อครัวสองขานั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่านหาพ่อครัวไม่ได้เลยหรือในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา”
เถ้าแก่เจิ้งกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรอก สาวน้อย เจ้านายของเราซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารนี้ ช่างแปลกยิ่ง ครึ่งปีที่แล้ว หลังจากที่เขาได้ลิ้มรสอาหารที่ปรุงโดยพ่อครัวหลวง เขาก็ไม่กินอาหารอื่น ๆ อีกเลย”
“เราเคยจ้างพ่อครัวแม่ครัวคนใหม่มา เจ้าของร้านไม่ดูถูกใคร ทุกครั้งที่มีคนครัวคนใหม่มา เขาจะให้ทำอาหารเหมือนจานที่เขาเคยลิ้มรสก่อน แต่หากคนครัวผู้นั้นทำไม่เป็น หรือทำไม่อร่อย เขาก็จะให้ออกไป เช่นนี้แล้วร้านจะยังรับสมัครแม่ครัวได้อย่างไร ตอนนี้มีเพียงผู้ช่วยที่หั่นผักและล้างจานเท่านั้นที่ทำอาหารได้”
เหยียนอี้กล่าวว่า “หากข้าต้องการทำงานในภัตตาคารกุ้ยซานของท่าน ข้าต้องผ่านบททดสอบเจ้านายของท่านก่อนสินะ”
เถ้าแก่เจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นความคิดของเจ้านายเอ๋อร์ซานที่ขอให้เจ้ามา ก่อนหน้านี้เจ้านายมีโอกาสได้ลิ้มลองข้าวโพดกรอบที่แม่นางขายตามท้องถนน”
เมื่อเหยียนอี้ได้ยินสิ่งนี้ นางก็ประสานมือเตรียมจะกลับออกไปข้างนอก “กลายเป็นว่าวันนี้ท่านชวนข้ามา ไม่ใช่เพื่อให้ข้ามาทำอาหารแต่มาลองฝีมือข้า ฮึ่ม! ข้าไม่เหมือนเจ้านายของท่านนะ”
เถ้าแก่ร้านเจิ้งรีบไปขวางประตูไว้
เขามีหัวกลม ใบหูใหญ่ ก้าวไปที่ประตูแล้วแลดูเหมือนพระพุทธรูปยักษ์ แม้ประตูของภัตตาคารกุ้ยซานจะใหญ่พอ แต่ก็ไม่มีช่องว่างเหลือให้เหยียนอี้ออกไปได้เลย
“เหตุใดท่านยังบังคับเด็กสาวให้อยู่ที่นี่ตอนกลางวันแสก ๆ อยู่อีกเล่า!” เหยียนอี้ไม่กลัว นางเท้าเอวเพื่อเพิ่มความขึงขัง
เถ้าแก่เจิ้งยอมแพ้ทันที เขากล่าวขอโทษพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน ๆ “โอ้ ข้าจะกล้าดีเช่นนั้นได้อย่างไร แต่ในเมื่อแม่นางก็อยู่ที่นี่แล้ว เหตุใดเจ้าไม่ไปพบเจ้านายของเราก่อนล่ะ”
“เถ้าแก่เจิ้ง เหตุใดท่านต้องขวางข้าไว้เช่นนี้ คนที่ทำอาหารได้ไม่ได้มีแค่ข้าเสียหน่อย” เหยียนอี้กล่าว
แม้ว่านางจะพยายามอย่างมากที่จะผลักพุงพลุ้ยของเถ้าแก่เจิ้ง และพยายามแทรกตัวเพื่อออกจากประตูเพียงไร แต่นางก็ยังล้มเหลว
“แม่นางเหยียน” เถ้าแก่เจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าในครึ่งปีที่ก่อน เราได้เชิญพ่อครัวชื่อดังจากทุกที่ และพวกเขาทั้งหมดได้ขอให้เจ้านายเปรียบเทียบพวกเขา ทว่าตอนนี้ภัตตาคารกุ้ยซานอยู่ห่างจากพวกเขาถึงห้าสิบลี้ แล้วจะมีใครกล้ากลับมาที่นี่เพื่อมาเป็นพ่อครัวกัน?”
“ในเมื่อเจ้านายของท่านมีพรสวรรค์นัก เหตุใดเขาถึงต้องดื้อดึง ปฏิเสธที่จะทำอาหารเล่า” เหยียนอี้กล่าว
“เจ้าของร้านของเราเป็นคนที่ไม่เหมือนผู้ใด พูดคำไหนพูดคำนั้น แล้วเราทำอะไรได้หรือ” เถ้าแก่เจิ้งกล่าวต่อว่า “แม่นางเหยียน เจ้านายขอให้เราเชิญเจ้ามา และหากเจ้ามาแล้วเราชวนเจ้ามาทำงานด้วยไม่ได้ พวกเราเจอดีแน่นอน”
“เอาล่ะ เช่นนั้นเจ้าจงไปบอกให้เขามาที่นี่และทักทายข้าตัวต่อตัวสิ” เหยียนอี้จงใจแสดงความคิดในแบบของนาง
เถ้าแก่เจิ้งมีสีหน้าลำบากใจจริง ๆ
อีกอย่าง เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้จะวางศักดิ์ศรีและมาที่หน้าประตูเพื่อต้อนรับแม่ครัวด้วยตัวเองได้อย่างไร?
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ วางตัวสูงใหญ่เช่นนี้ เถ้าแก่ร้านไม่รู้ว่านางมีความสามารถพอหรือไม่
ทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากชั้นสอง เหยียนอี้หันไปมองตามเสียงนั้น แต่กลับไม่เห็นใครเลย
ในชั่วพริบตา จู่ ๆ ก็มีบัณฑิตในชุดสีฟ้าครามมาปรากฏตัวอยู่ข้างหน้านาง เขาอายุประมาณสี่สิบปี ในมือถือพัดขนนกและพันผ้าพันคอผืนยาว เขาสวมเครื่องแต่งกายที่สง่างาม และมีดวงตาที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
มันคือเทเลพอร์ต? หรือวิชาตัวเบา?
เหยียนอี้ไม่ได้คาดหวังว่าคนผู้นี้จะรวดเร็วราวกับผีเช่นนี้
“คารวะ นายท่านซานขอรับ” เถ้าแก่เจิ้งโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
เหยียนอี้มองคนคนนี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าและชายผู้นั้นก็มองนางเช่นกัน
เหยียนอี้ไม่เคยคิดเลยว่าผู้ที่เป็นเจ้าของร้านอาหาร พ่อครัว และพ่อค้าคนนี้จะเป็นปราชญ์ผู้มีอ่อนโยนและงดงามเพียงนี้ ในเมื่อเขาไม่ได้กินธัญพืชทั้งห้า[2] ของโลก เขาจะรู้วิธีทำอาหารได้จริงหรือ?
ซานกู่จื่อไม่คิดว่าข้าวโพดกรอบที่เขาลืมไม่ลงเมื่อสองสามวันก่อน แท้จริงแล้วฝีมือเด็กสาวตรงหน้า
ข่าวลือที่ว่าสาวน้อยคนนี้มีทักษะการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมนั้นคือเรื่องจริงหรือ?
ซานกู่จื่อไม่เชื่อ
แต่ก็ดูคนที่หน้าตาไม่ได้ โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์มากมาย นับประสาอะไรกับสาวน้อยทำอาหารได้? ภัตตาคารกุ้ยซานของเขาจะยังคงสามารถอยู่อย่างสันโดษในเมืองที่ไม่มีชื่อนี้ และเขาจะยังแบกรับชื่อเจ้าของร้านอาหารต่อไปได้หรือไม่?
“สาวน้อย ข้าขอถามหน่อย ฮัวยาหยินซือ[3] คืออะไร?” ซานกู่จื่อถาม
เหยียนอี้เหลือบมองไปที่ชายผู้นี้และรู้ว่าเขากำลังทดสอบตัวเอง
‘คำถามง่าย ๆ ข้าเคยอ่านหนังสือมาเยอะและชิมอาหารทั่วโลก ข้าจะไม่รู้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ได้ยังไง?” เหยียนอี้คิด
ดังนั้นนางจึงอธิบายวิธีการทำอาหารสองจานนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“นำถั่วงอกสดมาเด็ดหัวเอาหางออก ใช้เข็มแทงเข้าไปให้ข้างในเป็นโพรง ยัดไส้ใช้เข็มร้อยแฮมซูโจวเข้าไปในช่องนั้น นำไปผัดพร้อมพริกเขียวและแดง แล้วมัดเป็นช่อด้วยไหมข้าวโพด ต้องใช้เวลาสามวันและต้องรักษาความสด ดังนั้นข้าต้องนั่งทำในห้องเก็บความเย็น”
หลังจากฟังประโยคนี้ เถ้าแก่เจิ้งก็อุทานว่า “สาวน้อย ช่างยากเหลือเกินกว่าจะได้กินมัน!”
ซานกู่จื่อถามด้วยความชื่นชม “แล้วไคสุ่ยไป๋ไช่[4] ทำอย่างไร”
เหยียนอี้ตอบ “กะหล่ำปลีหนึ่งขีด น้ำต้มเดือด จากนั้นต้มโครงไก่ กระดูกหมู หอยเชลล์ แฮมขาหมู หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล และส่วนผสมอื่น ๆ ต้มด้วยกันเป็นเวลาสี่ชั่วยาม ระหว่างนั้นคอยตักน้ำมันที่ลอยขึ้นมาทิ้ง แล้วสุดท้ายก็ต้มด้วยไฟอ่อน จะได้น้ำแกงใส สุดท้ายใส่ผักกาดขาวลงไป ต้มจนได้ที่พร้อมทาน”
“ยอดเยี่ยมมาก!” ซานกู่จื่ออดไม่ได้ที่จะปรบมือเมื่อได้ยินนางอธิบายกรรมวิธีทุกอย่าง
เหยียนอี้ยิ้มอย่างพอใจ “ในเมื่อนายท่านซานทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะทดสอบท่านด้วย” นางถามว่า ‘เอ้อร์ฉือซื่อเฉียวหมิงเยว่เย่'[5] คืออะไร?”
[1] นกฟีนิกซ์
[2] ธัญพืชทั้งห้า คือพืชที่มีความสำคัญในประเทศจีน บ้างถูกใช้ในบริบทของพิธีกรรม
[3] ฮัวยาหยินซือ (火芽银丝) คือ ถั่วงอกสอดไส้แฮม มัดเป็นช่อ
[4] ไคสุ่ยไป๋ไช่ (开水白菜) คือ ยอดผักกาดขาวในน้ำซุปใส
[5] เอ้อร์ฉือซื่อเฉียวหมิงเยว่เย่ (二十四桥明月夜) แฮมน่องใหญ่ คว้านเป็นหลุม แต่ละหลุมใส่เต้าหู้ลงไป