ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 31 เหยียนจื่อตกน้ำ (รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 31 เหยียนจื่อตกน้ำ (รีไรท์)
บทที่ 31 เหยียนจื่อตกน้ำ (รีไรท์)
เหอซื่อและเหยียนอี้กำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงจากข้างนอก ป้าฟานเพื่อนบ้านวิ่งมาในห้องแล้วตะโกนว่า “น้องฟาง! เหยียนอี้! เกิดเรื่องแล้ว เหยียนจื่อของเจ้าตกลงไปในสระน้ำ!”
เหอซื่อลุกขึ้นโดยพลันและรีบออกไป แต่นางสะดุดธรณีประตูและล้มลง แขนของนางขึ้นเป็นรอยช้ำ
เหยียนอี้ก็ตื่นตกใจเช่นกัน นางไม่แม้แต่จะมีเวลาใส่รองเท้า เร่งรีบออกไปราวกับลูกธนูออกจากศร
เมื่อพวกเขาไปถึงก็พบว่าชาวบ้านราวห้าคนยืนล้อมรอบสระน้ำ มีเด็กคนหนึ่งนั่งอยู่บนฝั่งกำลังร้องไห้ แม่ของเด็กกำลังดุฉาดใหญ่ ท่าทางดูกระวนกระวายใจ เมื่อมองใกล้ ๆ จะพบว่าเด็กตัวเปียกด้วย
มีรองเท้าขนาดใหญ่คู่หนึ่งอยู่บนฝั่ง ทว่าพวกเขายังไม่เห็นเหยียนจื่อเลย
สระน้ำไม่ใหญ่มากนัก แต่มันลึกมาก เหยียนอี้เห็นร่างหนึ่งว่ายไปมาอยู่ในน้ำ ก่อนจะโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ เขาคือเฉินฟู่เซิน
“เหยียนจื่ออยู่ที่ไหน? เหยียนจื่ออยู่ที่ไหน” เหยียนอี้มองไปรอบ ๆ เพื่อหาน้อง
“ไม่ต้องห่วงนะเหยียนอี้ เราต้องหาเจอแน่ เจ้าไม่ต้องห่วง” เพื่อนบ้านรีบปลอบโยนเหยียนอี้
เหยียนอี้ฟังที่ไหนกัน? นางแทบจะกระโดดลงไปตามหาเสียให้ได้ แต่ถูกเหอซื่อและป้าฟานที่ไล่ตามมารั้งไว้ก่อน
“เจ้าจะทำอะไร เจ้าว่ายน้ำไม่เป็นนะ” เหอซื่อร้องไห้พร้อมกล่าว
เหยียนอี้หยุดคิด นางรู้ว่าตอนนี้นางวู่วามเกินไป นอกจากนี้นางว่ายน้ำไม่เป็น ดังนั้นหากนางบุ่มบ่ามกระโดดลงไป คงไม่พ้นเป็นภาระให้ชาวบ้านมาช่วยนางอีกคน
สระไม่ใหญ่ ต้องสามารถช่วยเหยียนจื่อได้อย่างแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดนางถึงตกลงไปในน้ำเล่า” เหอซื่อถามด้วยเสียงสั่นเครือ
“พี่ฟาง มันเป็นความผิดเสี่ยวหูของข้าทั้งหมด” เพื่อนบ้านชื่อนางอู๋ที่มากับเด็กที่นั่งอยู่บนพื้นกล่าวขอโทษซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปรากฏว่าเหยียนจื่อและเสี่ยวหูวิ่งไปเล่นกันที่สระน้ำ เสี่ยวหูต้องการหยอกล้อนาง จึงหวังหลอกนางจากด้านหลัง ไฉนเลยจะรู้ว่าเหยียนจื่อไม่กลัวสักนิด ทว่าเสี่ยวหูดันพลาดท่าลื่นไถลลงไปในสระน้ำแทน
เสี่ยวหูคว้าเข็มขัดของเหยียนจื่อได้ทันเวลา แต่แม้ว่าเสี่ยวหูจะอายุเพียงเจ็ดขวบ แต่เขาก็แข็งแรงมาก เหยียนจื่อแก่กว่าเขาหลายปี แต่นางผอมกว่าเขา นางจะทนแรงลากของอีกฝ่ายได้อย่างไร?
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงตกลงไปในน้ำ
โชคดีที่เฉินฟู่เซินได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เขาจึงวิ่งไปที่สระน้ำเพื่อช่วยเสี่ยวหูก่อนแล้วจึงดำลงไปหาเหยียนจื่อ
ในบรรดาคนที่ได้ยินข่าว แม้จะมีคนที่ว่ายน้ำได้ แต่น้ำก็ลึกเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงตะโกนไปรอบ ๆ เท่านั้น
เหยียนอี้และเหอซื่อจ้องมองอย่างกระวนกระวายใจ แต่ก็เห็นเพียงเฉินฟู่เซินที่โผล่หน้าขึ้นมาเหนือน้ำหลายครั้งเพื่อหายใจแล้วดำน้ำลงไปครั้งแล้วครั้งเล่า
หลังจากผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ในที่สุดก็เห็นศีรษะเล็ก ๆ ของเหยียนจื่อ
เหอซื่อรีบไปอุ้มเหยียนจื่อที่หมดสติ พลันรู้สึกได้ถึงร่างกายที่เย็นเฉียบ ใบหน้าของนางซีดขาวราวกับกระดาษ จากนั้นเหอซื่อก็ร่ำไห้ออกมาดังสายฝน
เหยียนอี้รีบสำรวจลมหายใจของเหยียนจื่อ แต่นางไม่อาจสัมผัสลมหายใจเด็กน้อยได้
นางไม่เคยได้รับการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลอย่างเป็นระบบ แต่นางเคยฝึกซ้อมคล้าย ๆ กันในโรงเรียนและหน่วยงานต่าง ๆ ในอดีต แม้นางจะไม่เคยทำมาก่อน แต่ก็พอทำได้
นางไม่ลังเลอีกต่อไป นางนำสิ่งสิ่งแปลกปลอมในปากและจมูกของเหยียนจื่ออก จากนั้นดึงเสื้อคลุมของน้องสาวออกและเริ่มทำ CPR โดยการกดหน้าอกและเป่าลมเข้าทางปาก
ทุกครั้งที่กดหน้าอก เหยียนจื่อจะสำลักน้ำออกมามาก แต่หลังจากทำซ้ำหลายครั้งนางก็ยังไม่ฟื้น
‘เป่าปาก เป่าปากช่วยหายใจ!’
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมาในใจนางตลอด นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว นางต้องพึ่งพาความทรงจำอันเลือนลางที่เคยเรียนมาเป่าอากาศเข้าไปในปากกับจมูกของน้องสาว
หลังจากทำซ้ำหลายครั้ง เหยียนจื่อก็พ่นน้ำออกมาเต็มปาก และฟื้นขึ้นมาในที่สุด
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของนางรอดจากความตายได้ เหอซื่อก็กอดนางแน่นและร้องไห้ไม่หยุด ไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้
ฝูงชนรอบข้างเห็น ‘ปาฏิหาริย์’ ทุกอย่างก็อดไม่ได้ที่จะปรบมือ
ในที่สุดเหยียนอี้ก็โล่งใจ
“ไม่เป็นไร เจ้าปลอดภัยแล้ว” เหอซื่อปลอบโยนเหยียนจื่อก่อนจะอุ้มนางกลับบ้าน
เพื่อนบ้านแยกย้ายกันไปหลังจากดูความวุ่นวาย นางฟานผู้อบอุ่นใจดีได้ไปที่เมืองเพื่อไปตามหมอมา ส่วนเสี่ยวหูกลับบ้าน ร้องไห้ไปฟังเสียงดุด่าของนางอู๋ไป
เหยียนอี้ลูบขมับของนาง จากนั้นก็มีเวลามองย้อนกลับไปที่เฉินฟู่เซิน วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่ช่วยชีวิตผู้คนไว้
ร่างกายทั้งหมดของเฉินฟู่เซินเปียกปอน ผมของเขามีน้ำหยดไม่ขาดสาย แม้ว่าน้ำในฤดูใบไม้ร่วงจะไม่เย็นเยียบเพียงนั้นแต่ก็ทำให้รู้สึกหนาวเย็นเช่นกันหลังจากแช่มานาน เฉินฟู่เซินจึงตัวสั่นหนาวเล็กน้อย
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่” เหยียนอี้ถามเขา
เฉินฟู่เซินส่ายหัว ระบายยิ้มให้นาง ก่อนจะเหยียดมือออกและเรียกให้นางมาช่วยเขาลุกขึ้น
“ข้าอยู่ในน้ำมานาน ยามนี้ข้าหมดแรงแล้ว ได้โปรดเถอะ” เฉินฟู่เซินพิงไหล่ของเหยียนอี้ จากนั้นค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน ทว่าจังหวะนั้นปากของเขาเผลอสัมผัสโดนหูนางเบา ๆ
เหยียนอี้รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันใด แต่เมื่อเห็นว่าเขากำลังหอบและไม่พูดอะไร นางก็ไม่อาจพูดอะไรได้
ทั้งสองพยุงกันและกัน ค่อย ๆ เดินกลับบ้าน
แม้ว่าเหยียนจื่อจะได้รับการช่วยเหลือ แต่นางก็ทนทรมานจากความหนาวเย็นจนมีไข้สูง เหอซื่อทุกข์ใจมากจนนอนเฝ้าข้างเตียงนางทั้งคืน
เหยียนอี้ต้องการเหอซื่อไปพัก แต่นางเป็นกังวลใจจนไม่อาจผละไปไหน ได้แต่กอดเหยียนจื่อแล้วหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง
เหยียนอี้เห็นว่าเกลี้ยกล่อมเหอซื่อไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนี้ก็มิอาจช่วยอะไร ดังนั้นนางจึงกลับไปนอน
เมื่อเดินผ่านประตูห้องของเฉินฟู่เซิน นางก็คิดว่าเขาแช่ตัวอยู่ในน้ำนานเช่นเดียวกับเหยียนจื่อ นางสงสัยว่าเขาเองจะทรมานจากความหนาวเย็นด้วยหรือไม่?
เมื่อครู่ที่หมอมา เขาก็ไม่ได้ขอให้หมอจับชีพจรให้
นางเคาะประตู แต่ไม่มีคำตอบ นางเคาะอีกครั้ง ทว่าไม่มีใครตอบเช่นเดิม
ยามนี้ยังไม่ดึกเท่าไร เขาไม่ควรหลับเร็วเช่นนี้
เหยียนอี้เต็มไปด้วยความสงสัย เป็นไปได้ไหมว่าชายหนุ่มคนนั้นมีไข้และอาจสลบไป?
เหยียนอี้รีบวิ่งกระแทกประตูเข้าไป ประตูไม่ได้ปิดแน่นจึงเปิดเข้าไปได้ง่าย
ทว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง เฉินฟู่เซินอยู่ไหน?
มืดค่ำเช่นนี้เขาจะไปไหนอีก?
เหอซื่อได้ยินเสียงและถามเข้ามาในห้องว่า “อี้เอ๋อร์ มีอะไรผิดปกติหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเฉินหรือ?”
“เอ่อ ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” เหยียนอี้ตอบอย่างสบาย ๆ
นางไม่ได้บอกเหอซื่อว่าเฉินฟู่เซินหายตัวไปแล้ว
นางรออยู่ในห้องเป็นเวลานานจนกระทั่งเที่ยงคืน แต่เฉินฟู่เซินก็ไม่กลับมา
แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความสงสัย แต่เหยียนอี้ก็ไม่อาจรอได้อีกต่อไป ดังนั้นนางจึงต้องกลับไปที่ห้องและนอนหลับ
ยามปกตินางนอนบนเตียงเดียวกับเหยียนจื่อ แต่คืนนี้เหอซื่อพานางไปที่ห้องตัวเองเพื่อเฝ้าไข้ ทำให้ยามนี้เหยียนอี้อยู่ในห้องคนเดียว
หัวใจของเหยียนอี้ว่างเปล่า นางกระสับกระส่ายพลิกตัวหลายครา ก่อนจะหลับไป
…
วันรุ่งขึ้นนางตื่นสาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นใครอยู่ในลานบ้านเลย
หลังจากถามท่านยายบ้านข้าง ๆ นางจึงรู้ว่าไข้ของเหยียนจื่อไม่ลดลงทำให้เหอซื่อเป็นห่วงอย่างมาก เมื่อเช้านางจึงอุ้มเด็กไว้ในอ้อมแขนและขอให้เหอจวงขับเกวียนลาไปในเมืองเพื่อหาหมอที่หอโช่วอัน
เมืองที่เหอซื่อไปคือเมืองอวิ๋นเจี้ยนซึ่งเป็นเทศบาลที่ใหญ่ที่สุดภายในระยะห้าสิบลี้ หอโช่วอันเป็นโรงหมอที่เปิดโดยหมออาวุโสที่เกษียณอายุแล้วในเมืองหลวง สถานที่แห่งนี้ยังดีที่สุดในด้านทักษะทางการแพทย์และเป็นที่รู้จักแพร่หลาย
แต่แล้วเฉินฟู่เซินล่ะ?
ไม่มีวี่แววของเขาในห้องและยายผู้นั้นก็บอกว่านางไม่เห็นเขาในตอนเช้า
เขาหายไปไหน?
เหยียนอี้นั่งรอจนถึงบ่าย ไม่เพียงแต่เฉินฟู่เซินหายตัวไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแม่และเหยียนจื่อของนางด้วย
อย่างไรก็ตาม เหอจวงกลับมาก่อนและบอกว่าอาการเจ็บป่วยของเหยียนจื่อนั้นรุนแรงเกินไป หมอจึงขอให้นางอยู่ค้างคืนในหอโช่วอันเพื่อดูอาการ แน่นอนว่าเหอซื่ออยู่กับนางด้วย
เหยียนอี้เป็นห่วงทั้งสอง นางรีบเก็บข้าวของและวางแผนจะเข้าเมืองเพื่อไปหาแม่และน้อง
หากแต่ก่อนที่นางจะออกจากบ้าน ก็ถูกชายร่างท้วมผู้หนึ่งในชุดผ้าไหมหยุดเอาไว้
ลุงอ้วนอ้างว่าตนเป็นเถ้าแก่ร้านภัตตาคารกุ้ยซานในเมือง นามสกุลของเขาคือเจิ้ง ว่ากันว่าทักษะการทำอาหารของเหยียนอี้เป็นที่รู้จักกันดี ดังนั้นเขาจึงมาเชิญนางไปที่ร้านเป็นการส่วนตัว
เหตุใดเหยียนอี้ถึงต้องมาใส่ใจเรื่องนี้? นางรีบพูดว่า “เถ้าแก่ร้านเจิ้ง ข้ามีเรื่องเร่งด่วนในครอบครัวของข้า ข้าจะไปร้านอาหารของท่านวันอื่นแล้วกัน”
เถ้าแก่ร้านเจิ้งไม่รู้ว่าจิตใจเหยียนอี้กำลังร้อนรุ่มด้วยความวิตกกังวล คิดแต่เพียงว่าคงเป็นนิสัยนาง จากนั้นพูดด้วยสีหน้าถมึงตึง
“สาวน้อย พวกเราในภัตตาคารกุ้ยซานรักผู้มีคุณธรรมและเคารพผู้มีความสามารถ เราได้ส่งคนไปเชิญเจ้าหลายครั้งเพื่อเรียนรู้ทักษะการทำอาหาร แต่แม่ของเจ้าปฏิเสธทุกคร ตอนนี้ข้ามาที่นี่ด้วยตัวเอง เจ้าจะไม่เห็นแก่หน้าข้าหน่อยหรือ”
เหยียนอี้โบกมือและพูดว่า “ข้าเห็นแก่หน้าท่านนะ แต่ไว้มาคุยกันวันหลัง ตกลงหรือไม่”
เถ้าแก่ร้านเจิ้งยังคงปฏิเสธที่จะปล่อยนางไป “แม่นางเหยียน เจ้าดูหมิ่นภัตตาคารกุ้ยซานของเราใช่หรือไม่”
“ข้า…” เหยียนอี้เริ่มรำคาญขึ้นมาเล็กน้อย “อนิจจา ข้าไม่อาจบอกท่านได้อย่างชัดเจน ถ้าท่านต้องการเชิญข้าจริง ๆ ท่านสามารถหารถม้าให้ข้าแล้วพาข้าไปที่เมืองได้”
เถ้าแก่ร้านเจิ้งรู้สึกงงงวยกับคำพูดนาง แต่อย่างไรเขาก็มาที่นี่ด้วยรถม้า หากให้นางยืมใช้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้านายของเขาชอบฝีมือทำอาหารของเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้ เขาไม่อาจทำให้นางขุ่นเคืองได้
เหยียนอี้และเถ้าแก่ร้านเจิ้งขึ้นรถม้ามาด้วยกัน ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็มาถึงเมืองอวิ๋นเจี้ยน
ระหว่างทางเถ้าแก่ร้านเจิ้งพร่ำบอกนางเกี่ยวกับภัตตาคารกุ้ยซานไม่หยุด เหยียนอี้เป็นคนใจร้อน แต่คุุยง่าย พวกเขาจึงตกลงกันได้เพียงพูดไม่กี่คำ
หลังจากเข้าประตูเมืองมุ่งตรงไปยังหอโช่วอัน เหยียนอี้ยกม่านขึ้นและมองไปรอบ ๆ แต่นางพลันเห็นร่างที่คุ้นเคยแวบหนึ่ง นั่นเฉินฟู่เซินไม่ใช่หรือ?
แต่ดูเหมือนว่าเฉินฟู่เซินจะไม่เห็นนางและหายตัวไปในพริบตา
“โธ่เอ้ย…” เหยียนอี้อดอุทานไม่ได้
“แม่นางเหยียน มีอะไรผิดปกติหรือ?” เถ้าแก่ร้านเจิ้งมองออกไปข้างนอกเช่นกัน แต่ก็เห็นเพียงการจราจรบนถนนเท่านั้น
“เปล่า ไม่มีอะไร” เหยียนอี้กล่าว
เฉินฟู่เซินมีความลับมากมาย มีเบื้องหลังที่ลึกลับซับซ้อน พวกเขาอยู่ด้วยกันมาครึ่งปีแล้ว แต่เหยียนอี้กลับคิดว่านางไม่รู้จักเขาเลย
อย่างไรก็ตามทุกคนในโลกนี้ล้วนมีความลับ ดังนั้นเหตุใดเราต้องรู้ทุกอย่าง?
อย่างน้อย ชายหนุ่มดูสบายดี แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
สำหรับสาเหตุที่จู่ ๆ เขาก็หายตัวไป เขามาทำอะไรที่นี่ จะสำคัญอะไร?
ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดูว่าร่างกายของเหยียนจื่อเป็นอย่างไร
เมื่อนางมาถึงหอโช่วอัน เหยียนอี้กล่าวขอบคุณเถ้าแก่ร้านเจิ้งและตกลงที่จะพบเขาที่ภัตตาคารกุ้ยซานในอีกสามวันถัดไป จากนั้นรถม้าของเขาเคลื่อนออกไป
เหยียนอี้เดินเข้าไปในหอโช่วอัน ก่อนจะพบแม่และน้องสาวอยู่ในห้องปีกด้านหลัง
เหยียนจื่อได้รับยาและยังคงหลับสนิทอยู่ แต่ผิวของนางดูมีเลือดฝาดกว่าเมื่อวานมากนัก
เหยียนอี้อดบ่นอุบแม่ของนางไม่ได้ “ท่านแม่ เหตุใดท่านพาเหยียนจื่อไปหาหมอไม่เรียกข้าเลยเล่า”
เหอซื่อกล่าวว่า “ข้าเห็นเจ้านอนหลับสนิท ดูเหนื่อยล้า ข้าทนไม่ได้ที่จะปลุกเจ้า ตอนแรกข้าตั้งใจว่าจะกลับไปทันทีหลังจากพบหมอและจ่ายยา ใครจะคาดคิดว่าหมอเปี้ยนจะขอให้เราอยู่ที่นี่หนึ่งคืน”
เหยียนอี้ถามว่า “หมอว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
เหอซื่อตอบ “หมอเปี้ยนเป็นคนที่ยอดเยี่ยม หลังจากเหยียนจื่อได้รับยาไปแล้ว นางก็ดูดีขึ้นมากและนอนหลับสนิทมากขึ้น แต่อาการหวัดยังไม่หายดี ข้าจะดูว่าคืนนี้นางจะดีขึ้นหรือไม่”