ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 30 อันธพาลข้างถนน(รีไรท์)
บทที่ 30 อันธพาลข้างถนน(รีไรท์)
เรื่องราวที่ชายสวมหมวกพูดฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เมื่อชาวบ้านคิดเกี่ยวกับมันอย่างรอบคอบก็ดูเหมือนว่ามันเป็นความจริง หลังจากกินข้าวโพดกรอบ พวกเขาก็รู้สึกว่าอาหารอื่นไม่รสโอชะเท่านี้ อีกทั้งยังอยากกลับมาซื้อทุกวัน หากไม่ใช่การเสพติด แล้วจะเรียกว่าอะไร
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนว่าท้องของตนจะอึดอัดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ปวด แต่ก็รู้สึกอยากจะผายลมเพื่อปลดปล่อยทุกข์อยู่บ้าง
มียาพิษในข้าวโพดกรอบจริงหรือ?
ในเวลานี้มีผู้คนอยู่มามุงดูมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงร้านขายขนมขบเคี้ยวหลายแห่งในเมือง
ตั้งแต่เหยียนอี้เริ่มขายวุ้นและข้าวโพดกรอบ ธุรกิจของร้านขนมอื่น ๆ ก็แย่ลงเรื่อย ๆ ลูกค้าไปที่ถนนเพื่อซื้อของจากครอบครัวของเหยียนอี้ หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าร้านค้าเหล่านั้นจะต้องปิดตัวลง
ดังนั้นการที่เหยียนอี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก จึงเป็นที่โปรดปรานของเหล่าเถ้าแก่และเด็กในร้านเป็นอย่างมาก
ทันทีที่ชายสวมหมวกตะโกน คนเหล่านี้ก็ตะโกนตามและชี้ไปที่เหยียนอี้ พวกเขากระตือรือร้นที่จะทำให้นางถอนตัวออกจากแผง และไม่สามารถแข่งขันกับพวกเขาเพื่อทำธุรกิจได้อีกต่อไป
“เจ้า… เจ้ากำลังพูดเรื่องเหลวไหล!” เหยียนอี้เห็นว่าสถานการณ์ไม่ถูกต้อง นางยังคงยืนกรานและตะโกนเสียงดัง
ชายสวมหมวกเยาะเย้ย “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นเด็กสาวตัวเล็ก ๆ เจ้าได้เรียนรู้การทำอาหารให้ฝีมือดีเช่นนี้มาจากที่ใด? หากเจ้าไม่ได้เพิ่มอะไรลงไป เจ้าจะมีสิ่งที่อร่อยเช่นนี้ได้อย่างไร? มันคือมนตร์ดำเป็นแน่!”
เหยียนอี้ฟังคำพูดพล่อย ๆ ของเขาที่อุกอาจมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายเหตุผลกับคนเหล่านี้ นางเพียงแค่พูดว่า “ไปหาผู้ตรวจการและฟ้องข้าเลย แม้ข้าจะต้องไปศาล ข้าก็ไม่กลัวการใส่ร้ายของเจ้า!”
เฉินฟู่เซินดึงแขนเหยียนอี้และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำลง “เจ้ากำลังเผชิญหน้ากับกฎหมายนะ เมื่อถูกกล่าวหาขึ้นศาล เจ้าจะต้องโดยโบยเสียก่อน”
เหยียนอี้แทบหายใจไม่ออกหลังจากได้ยินสิ่งนี้ นี่มันกฎหมายบ้าบออะไร?
นางกัดฟันและพูดว่า “ข้ากลัวว่าข้าจะโมโหตายเสียก่อน”
อย่างไรก็ตามเฉินฟู่เซินไม่ต้องการให้ชายคนนั้นไปฟ้องผู้ตรวจการ เขาอาจมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทางการ ถึงไม่กลัวที่จะขึ้นศาลเลย เขามีความสุขที่ได้ยินสิ่งนี้เสียด้วยซ้ำ ทันใดนั้นชายคนนั้นก็เข้ามาดึงเหยียนอี้ “สาวน้อย เช่นนั้นก็ไปศาลกับข้ากัน!”
เหยียนอี้ถูกจับได้ด้วยมือของเขา นางรู้สึกว่ามือของนางหยาบและสกปรก ทำเอาคลื่นเหียนไม่น้อย
ด้วยดวงตาที่ลุ่มลึกและมือที่รวดเร็วของเฉินฟู่เซิน เขาคว้าไหล่ของชายคนนั้นเอาไว้ได้ และใช้กลวิธีเล็กน้อยเพื่อหยุดการเคลื่อนไหว
ชายคนนี้คุ้นเคยกับชีวิตอันธพาลข้างถนนจึงมีไหวพริบอยู่บ้าง เขาหมุนตัวไปรอบ ๆ แล้วแกว่งกำปั้นซ้ายพุ่งเข้าไปต่อยใบหน้าเด็กหนุ่ม
เฉินฟู่เซินคว้ากำปั้นของเขาด้วยมือข้างหนึ่ง สกัดขาขวาให้ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
นี่คือ ‘สิบแปดล้มจับเสื้อผ้า’ ในเส้าหลินกังฟู มันเป็นทักษะระดับเริ่มต้นของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ในเจียงหู มิได้แปลกตาเท่าไรนัก
อย่างไรก็ตามชายคนนี้ไม่เคยเรียนรู้ศิลปะการต่อสู้อย่างจริงจัง เขาจะเข้าใจหมัดที่ยืดหยุ่นและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเฉินฟู่เซินได้อย่างไร?
ยังไม่ทันที่เขาจะลุกขึ้นและต่อว่า เฉินฟู่เซินก็เหยียบไปที่หน้าอกของเขาซึ่งทำให้เขาถึงกับกัดฟันด้วยความเจ็บปวด
“ยกโทษให้ข้าเถิด ๆ ข้ายอมแล้วท่าน!” ชายสวมหมวกนอนอยู่บนพื้นโดยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เขาหวาดกลัวจนเสียขวัญและร้องขอความเมตตา
ในฝูงชน ชายร่างกำยำในเสื้อคลุมสีน้ำตาลสั้นมองชายสวมหมวกนอนอยู่บนพื้นแล้วตะโกนว่า
“เจ้าไม่เพียงแต่ผสมพิษลงในอาหาร แต่ยังทำร้ายผู้คนด้วย! สวรรค์ จะมีใครในโลกที่เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้บ้าง”
เฉินฟู่เซินพ่นลมหายใจ ยกเท้าของเขาออก
ชายบนพื้นกุมหน้าอกตัวเองลุกขึ้นและกรีดร้องออกมา คราวนี้เขาไม่ได้เสแสร้ง มันเจ็บจริง ๆ
ชายกำยำกลัวเล็กน้อยและไม่กล้าที่จะออกไปจากฝูงชน เขาเพียงขยิบตาให้ชายบนพื้นเท่านั้น
ชายคนนั้นเข้าใจแล้วนอนลงบนพื้นต่อ กุมหน้าอกและท้องตัวเอง พยายามทำให้ดูเหมือนว่ายังไม่อยากตาย
เหยียนจื่อมีสายตาที่เฉียบแหลมและจำได้ว่าชายร่างกำยำคือ สวี่ต้าเฟิง จากหมู่บ้านชูที่อยู่ถัดไป ภรรยาของเขาเปิดร้านน้ำชาในเมือง นางจึงกระซิบบอกเรื่องนี้กับเหยียนอี้
เหยียนอี้ถ่มน้ำลาย “เหอะ! เขาเกลียดที่ข้าแซงธุรกิจของเขาสิท่า!”
เฉินฟู่เซินได้ยินเช่นนั้นจึงเอื้อมมือไปสกัดจุดชายบนพื้น
ชายคนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าคันที่ด้านหลังและมึนงง เขาวิตกมากจนไม่สามารถแม้แต่จะเกามันได้ และลืมอาการปวดท้องเสียสนิท
แต่ในสายตาของทุกคนรอบตัว ภาพที่เขากลิ้งไปมาบนพื้นนั้นช่างดูน่าขัน
เฉินฟู่เซินกระซิบกับชายผู้นั้นว่า “ข้าสกัดจุดเทียนจงและจุดกวานหยวน[1] ของเจ้า รู้สึกคัน มึนงงบ้างหรือไม่”
ชายบนพื้นพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
เฉินฟู่เซินกล่าวต่อว่า “จุดโทษทั้งสองนี้เป็นจุดตายของผู้คน หลังจากถูกสัมผัสพวกเขาจะรู้สึกคันและมึนงงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งค่อย ๆ หมดสติ กลายเป็นอัมพาตและตายในที่สุด”
ชายสวมหมวกกัดฟัน “เล่นกลอะไรของเจ้า คิดว่าข้าจะเชื่อ…”
เฉินฟู่เซินพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ว่า “จะเชื่อหรือไม่ก็ช่าง แต่เจ้ารู้สึกแน่นหน้าอกหรือไม่”
ชายสวมหมวกแตะหน้าอกของเขาฃ หายใจเข้าลึก ๆ และแล้วก็ตามที่คาดไว้ เขารู้สึกขาดอากาศหายใจและเวียนศีรษะ
เสียงของเฉินฟู่เซินเย็นชา ไม่แสดงสีหน้าใด มันทำให้ผู้คนรู้สึกได้ว่าเขาน่ากลัวเพียงใด เลยต้องเชื่อในที่สุด
“ท่าน… โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!” ชายสวมหมวกกลัวจนปัสสาวะราดพื้นเปียกไปหมด “เป็นสวี่ต้าเฟิง เป็นเขาที่สั่งข้า! ข้าไม่เกี่ยว!”
เฉินฟู่เซินส่งเสียงเยาะเย้ยออกมา “บอกทุกคนว่าเกิดอะไรขึ้น และข้าจะช่วยเจ้า”
“ตกลง… ตกลง!”
ชายสวมหมวกพยักหน้าตกลง
จากนั้นเฉินฟู่เซินก็จิ้มนิ้วใส่เขาแล้วเดินกลับไปที่เหยียนอี้และขยิบตาใส่นาง
ชายสวมหมวกยืนขึ้น อับอายมาก เขาโค้งคำนับผู้คนและกล่าวว่า “ทุกท่าน… ข้าเฉินอาซาน ไม่สมควรเป็นคน! คราวนี้ที่ข้าเล่นละครโง่ ๆ ที่นี่ทั้งหมดเป็นเพราะได้รับคำสั่งให้ใส่ร้ายเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ของตระกูลเหยียน!”
จากนั้นผู้คนก็รู้ว่าชื่อจริงของชายคนนี้คือเฉินอาซาน
เขาพูดต่อ “ไม่มีอะไรผิดปกติกับอาหารที่ขายโดยสาวตระกูลเหยียนทั้งนั้น เป็นข้าใส่ร้ายนาง! ข้าเบื่อที่จะเล่นละครแล้ว ข้ามันไม่สมควรเป็นคนจริง ๆ ข้ามันไม่ใช่คน!”
ด้วยเหตุนี้เขาจึงตบไปที่ใบหูทั้งสองข้างของตัวเอง
เหยียนอี้พ่นลมหายใจเย็นชา “หากเจ้าต้องการขอโทษ เจ้าควรบอกผู้บงการเบื้องหลัง และขอให้เขาคุกเข่าต่อหน้าข้าและน้องสาวของข้า เพื่อที่เราจะได้ระบายความโกรธของเราบ้าง!”
“สวี่ต้าเฟิงผู้นั้น!” เฉินอาซานชี้ไปที่ชายร่างกำยำในฝูงชนและพูดต่อ “เขาโกรธที่ผู้หญิงคนนั้นแย่งลูกค้า และให้เหรียญเงินสองเหรียญแก่ข้า เขาขอให้ข้าแสร้งทำเป็นป่วย!”
สวี่ต้าเฟิงพุ่งออกมาจากฝูงชนและสาปแช่ง “เฉินอาซานอย่าพูดเรื่องไร้สาระ ข้าไปรู้จักเจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
เฉินอาซานร้องว่า “ท่านพอเถอะ นี่คือจุดจบของเรื่องแล้ว อย่าโกหกอีกเลย เงินที่ให้ข้า แม้จะเป็นเรื่องยากจริง ๆ ที่จะได้มา ข้าไม่ต้องการมันแล้ว!”
หลังจากนั้นเขาก็โยนเงินลงพื้นและวิ่งหนีไปโดยพลัน
สวี่ต้าเฟิงไม่ได้ปากโป้งเช่นเฉินอาซาน อีกทั้งตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องมองเขา เขาจะสามารถพูดอะไรได้อีก?
แม้ว่าเขาต้องการโต้เถียง แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดี
เขาเกรงว่าหลังจากวันนี้คงจะไม่มีใครไปอุดหนุนร้านน้ำชาของภรรยาเขาอีกแล้ว
สวี่ต้าเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวและเดินไปหาเหยียนอี้ ก่อนจะกำหมัดโค้งคำนับ “สกุลเหยียน วันนี้ข้าทำผิดไปแล้ว ข้าจะจดจำไว้! แต่ใต้เข่าของลูกผู้ชายมีทองคำค้ำอยู่ ข้าจะไม่คุกเข่าให้เจ้า!”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าคุกเข่าแล้วเช่นกัน ไปซะ!”
สวี่ต้าเฟิงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีกและจากไป
เมื่อละครจบลง ฝูงชนก็แยกย้ายกันไปในไม่ช้า
เหยียนจื่อกุมข้อมือตัวเองที่ได้รับบาดเจ็บและยังคงโกรธ “ท่านพี่ เหตุใดไม่ดุด่าเขา! ข้าโกรธเหลือเกิน!”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าดุเขาไปก็เสียลิ้นเปล่า”
เฉินฟู่เซินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มลึกล้ำว่า “เจ้าช่างใจดีเหลือเกิน”
เหยียนอี้เก็บแผงขาย ขอให้เหยียนจื่อช่วยดันเกวียน นางยิ้มให้เฉินฟู่เซิน “ขอบคุณมากในวันนี้ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเก่งถึงเพียงนี้”
เฉินฟู่เซินตอบว่า “ในช่วงปีแรก ๆ ข้าไม่มีความสามารถที่จะจัดการอันธพาลพวกนี้ แต่หลังจากนั้นข้าก็ได้เรียนรู้มาเรื่อย ๆ จนรู้วิธีแล้ว”
เมื่อทั้งสามคนกลับบ้าน เหอซื่อรออยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ
เมื่อเห็นว่าเป็นเวลานานแล้วแต่ลูกสาวของนางยังไม่กลับมา เหอซื่อจึงกังวลมาก ลังเลว่าจะไปหาหลิวจูและออกไปตามหาลูกสาวดีหรือไม่
เหยียนจื่อกระโจนใส่เหอซื่อและพูดเจื้อยแจ้วเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดวันนี้
นางอธิบายถึงเหตุการณ์อันตรายที่เกิดขึ้น และบอกว่าเฉินอาซานเป็นโจรที่สวี่ต้าเฟิงจ้างมา ก่อนจะสวมบทบาทเป็นสวี่ต้าเฟิงที่มีร่างกายกำยำราวกับยักษ์
เหยียนอี้พูดไม่ออก “เหยียนจื่อ มันคงน่าเสียดายหากเจ้าไม่ได้เล่าเรื่องด้วยตัวเอง”
เหอซื่อรู้จักสวี่ต้าเฟิง นางรู้ว่าแม้เขาจะเป็นคนหยิ่งผยองเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่ชั่วร้าย เหตุการณ์ในวันนี้อาจเป็นเพียงความผิดพลาด นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจกับหลิวจู จิตใจคนยากแท้หยั่งถึง
เหยียนจื่อกล่าวว่า “ท่านแม่ หากไม่ใช่เพราะเฉินฟู่เซินในวันนี้ ข้ากับพี่สาวคงถูกคนเลวจับและคงต้องอับอายขายหน้าเป็นแน่”
เหอซื่อพยักหน้าอย่างซาบซึ้งใจกับเฉินฟู่เซิน เหยียนอี้เองก็ดูซาบซึ้งใจเช่นกัน
เฉินฟู่เซินรู้สึกเขินเล็กน้อย “ข้าหิวแล้ว ท้านป้าเหอมีอะไรให้กินหรือไม่ขอรับ”
“มี ๆ ข้าเห็นว่าเลยเวลามื้อเย็นแล้วแต่พวกเจ้าก็ยังไม่กลับมา ข้าจึงอุ่นในหม้อไว้ให้แล้ว” เหอซื่อรีบลุกขึ้นและนำอาหารมาให้ทั้งสามคน
เมื่อเหยียนจื่อเห็นขนมข้าวโพด ขนมปังข้าวโพด โจ๊กข้าวโพด และข้าวโพดกรอบหลายแท่งที่ขายไม่หมดในตอนเช้า นางก็เบ้ปากทันที
เหยียนอี้ยิ้ม “เจ้าไม่ชอบข้าวโพดหรือ? เหตุใดเจ้าดูไม่มีความสุข?”
“ข้าเบื่อที่จะกินข้าวโพดทุกวันแล้ว! ท่านพี่ ข้าอยากกินไก่ย่าง” เหยียนจื่อกล่าว
เหยียนอี้กล่าวต่อว่า “วันนี้แม่ไม่ได้ทำไก่ย่าง พรุ่งนี้ค่อยกินแล้วกัน”
เหอซื่อยังกล่าวอีกว่า “มีปลาตุ๋นครึ่งชามอยู่ในครัว แม่จะเอามาให้”
เมื่อเหยียนจื่อได้ปลาตุ๋นในน้ำปรุงรสสีน้ำตาล นางไม่พูดอะไรอีก แต่ปากเล็ก ๆ ของนางคว่ำลง เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจ หัวใจยังคงวนเวียนอยู่ที่ไก่ย่าง
หลังอาหารเย็น เหยียนอี้รู้สึกเหนื่อยล้าจึงรีบกลับไปที่ห้อง ก่อนจะเอนตัวนอนลง
ก่อนที่นางจะนอนหลับ เหอซื่อปลุกนางขึ้นมา เมื่อพูดถึงทักษะการทำอาหารของเหยียนอี้ ร้านอาหารหลายแห่งในเมืองต้องการจ้างนางเป็นแม่ครัวด้วยเงินเดือนที่สูงเป็นแน่
เหยียนอี้คิดว่าธุรกิจของนางกำลังดีขึ้นในขณะนี้ แต่นางสามารถทำกำไรได้เพียงเล็กน้อยโดยการออกไปตั้งแผงขายของทั้งวัน อีกทั้งมันยังไม่มั่นคงพอ ด้วยนางไม่อาจขายของที่แผงได้ในสภาพอากาศที่มีลมแรงและฝนตก
ยิ่งไปกว่านั้นนางต้องตื่นก่อนรุ่งสางทุกวันเพื่อเตรียมอาหารให้พร้อม เมื่อเห็นดวงตาของเหอซื่อเป็นเบ้าลึกลงไปเพราะความเหนื่อยล้า นางก็คิดได้ว่ามันไม่ควรเป็นเช่นนี้ในระยะยาวจริง ๆ
แต่ในใจนางรู้สึกเสมอว่าการเป็นนายตนเองย่อมดีกว่าเป็นลูกน้องทำงานให้คนอื่น ดังนั้นหากนางต้องการหารายได้มากขึ้น คงง่ายกว่าถ้าตั้งร้านและเป็นเจ้าของร้านเสียเอง
เหอซื่อรู้ว่าความคิดของลูกสาวของนางช่างกว้างไกล แน่นอนว่าเหอซื่อไม่สามารถโน้มน้าวนางได้ จึงไม่ได้พูดถึงมันอีก
[1] ตำแหน่งสกัดจุดของจีน