ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 27 กระซิบกลางดึก (รีไรท์)
บทที่ 27 กระซิบกลางดึก (รีไรท์)
เฉินฟู่เซินถือชามไว้ในมือ ใบหน้าพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ เขาไม่รู้จะพูดอะไร เลยทำได้เพียงก้มหน้ามองอาหาร
เหยียนจื่อแลซ้ายแลขวา นางยกตะเกียบขึ้น ขำคิกคักออกมา “เดี๋ยวนี้พี่ชายของข้าชอบหน้าแดงบ่อย ๆ!”
เฉินฟู่เซินได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ เขารีบกินข้าวเข้าไปหลายคำ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ข้ากินเสร็จแล้ว”
หลังจากนั้นเขาก็ถือชามเปล่าไปที่ครัว
หลังจากอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้มานาน เป็นเรื่องน่ายินดีที่ได้ยินน้องสาวเหยียนอี้พูดคุยและสร้างเสียงหัวเราะทุกวัน
พวกนางเป็นเด็กกำพร้าและหญิงม่ายอาศัยอยู่กันอย่างยากจน มันไม่ง่ายเลยสำหรับพวกนางที่จะมีชีวิตอยู่ แต่คนในครอบครัวต่างช่วยเหลือกันและกัน เป็นเรื่องน่าอิจฉาจริง ๆ ที่พวกเขามั่งมีขึ้นมาได้
เขาพลันนึกย้อนกลับไปถึงวันที่เขาและแม่ยังอยู่ด้วยกัน ความรู้สึกอ้างว้างพลันปรากฏขึ้นในจิตใจ
“นี่! เจ้าเหม่ออะไรอยู่” เหยียนอี้โผล่หัวออกมาจากด้านหลัง ทำเฉินฟู่เซินสะดุ้งตกใจ
“ข้า… เอ่อ… ล้างจาน” เฉินฟู่เซินวางชาม วางตะเกียบมั่วซั่วไปหมด
“ฮ่า ๆ ๆ” เหยียนอี้อดหัวเราะไม่ได้ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าล้างมันไปเถิด วันนี้ข้าจะได้พักผ่อน”
เฉินฟู่เซินเห็นถังน้ำที่เท้าจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วเทลงในอ่าง เขามองไปรอบ ๆ หาผ้าเช็ดจานแล้วเริ่มร้อนรน
แม้ว่าเขาจะเห็นเหอซื่อและเหยียนอี้ล้างจานทุกวัน ดูง่ายดาย แต่เมื่อเขาเริ่มทำเองจริง ๆ กลับพบว่าชามและตะเกียบเปื้อนน้ำมันนี้ลื่นและล้างยากนัก
เหยียนอี้ขยับม้านั่งตัวเล็กนั่งลงที่ประตู จัดการผลโทงเทงที่จะใช้ทำวุ้นในวันพรุ่งนี้
เหอซื่อมาที่ครัวหลังจากกินมื้อเย็นเสร็จ เมื่อเห็นเฉินฟู่เซินล้างจาน เหอซื่อก็รีบสะกิดเหยียนอี้ “ร่างกายของเขายังไม่หายดี เจ้าให้เขาสัมผัสน้ำเย็นได้อย่างไร”
เหยียนอี้ยิ้ม “เขาไม่ใช่ผู้หญิงที่มีระดู ถึงแตะน้ำเย็นไม่ได้เสียหน่อยเจ้าค่ะ”
เฉินฟู่เซินหันหน้ามาแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับข้า”
ทันทีที่เขาหมุนตัว เข็มขัดของเขาก็ชนเข้ากับชามใบหนึ่งตกลงกระแทกพื้นจนแตกดังเพล้ง
เหยียนอี้รีบเข้าไปในห้องและหยิบชามขึ้นมา นางพูดอย่างเศร้าสร้อยว่า “โถ่ นี่เป็นชามใหม่ที่ข้าซื้อเมื่อไม่กี่วันก่อน เหตุใดเจ้าไม่รู้จักเก็บไว้ให้ดีเล่า?”
เฉินฟู่เซินอับอายและพูดว่า “ข้าขอโทษ”
เหอซื่อกลับเอ่ยยิ้ม ๆ “แต่เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเก็บกวาดเอง”
เฉินฟู่เซินสลัดน้ำออกจากมือของเขา พูดกับเหยียนอี้ว่า “แล้วข้าทำอะไรให้เจ้าได้บ้าง”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “ดู ๆ เจ้าแล้ว ทำไมเจ้าไม่ร้องเพลงให้ข้าฟังล่ะ”
“หา?” เฉินฟู่เซินรู้สึกงุนงง
เมื่อเหยียนจื่อได้ยิน ความตื่นเต้นเข้าก็มาในหัว นางปรบมือแล้วพูดว่า “ดี ๆ ข้าอยากได้ยินพี่ชายร้องเพลง จะดียิ่งขึ้นหากพี่ชายกับพี่สาวของข้าร้องเพลงด้วยกัน!”
เหยียนอี้ยิ้มเยาะ “ข้าไม่ร้องเพลง เจ้าไปขอให้พี่ชายของเจ้าร้องเพลงให้เราฟังได้”
เฉินฟู่เซินโบกมือปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เหยียนจื่อหยุดเสียที่ไหนกัน? นางลากแขนเสื้อของเด็กหนุ่มไว้ เฉินฟู่เซินหลบไม่พ้นแล้ว
ไม่มีทางหนี เขาเกาหัว จำใจพูดขึ้น “ข้าจะร้องสักสองสามคำแล้วกัน”
เฉินฟู่เซินยืนตัวแข็งท่อ เริ่มร้องเพลงอยู่ในลำคอออกมา
“ชายซื่อตรงหอบผ้าไหมในอ้อมแขน
เขาพบข้าเพื่อพูดคุยงานวิวาห์
จึงส่งเขาไปสู่เส้นทางแห่งขันที
ข้ามิได้หลบเลี่ยง เพียงแต่ให้เขาคู่ชาย”
นี่คือบทกวีที่มีชื่อเสียงในหนังสือเพลง มันเป็นบทกวีที่รู้จักกันดี ซึ่งถูกเขียนและร้องอย่างกว้างขวาง แทบทุกคนในหมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ สามารถร้องเพลงนี้ได้
ตอนที่เขายังเด็ก แม่อุ้มเขาไว้ ร้องเพลงกล่อมเด็กมากมาย เมื่อนางร้องเพลงนี้ ดวงตาของนางจะเอ่อคลอด้วยน้ำตาเสมอ
ในเวลานั้นเขายังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจว่าเหตุใดแม่ถึงร้องไห้อยู่เสมอ เขาคิดแค่ว่าเป็นเพลงที่ดีเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงเริ่มร้องเพลงตาม
ตอนนี้ครอบครัวเหยียนอี้ขอให้เขาร้องเพลง ไม่รู้สิ่งใดดลใจให้เขานึกถึงเพลงนี้
ในตอนแรกเสียงเขายังออกมาไม่เต็มที่ อีกทั้งยังทุ้มต่ำมาก ต่อมาเมื่อเขาจำอดีตได้ก็ค่อย ๆ แสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมา เสียงทวีฟังชัดมากขึ้น ในตอนท้ายของเพลง เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป จึงหยุดโดยพลันแล้วเบือนหน้าไปทางอื่น
เฉินฟู่เซินลืมตาขึ้น มองไปที่ดวงจันทร์ ปล่อยให้น้ำตาของเขาแห้งเหือดไปเอง
เหยียนจื่อไม่เข้าใจว่าเขากำลังร้องเพลงอะไรอยู่ แต่คิดว่าไพเราะมาก นางกระโดดไปมา เอ่ยชมเสียงดัง
เหอซื่อไม่ได้อ่านหนังสือมาสองสามวันแล้ว กระนั้นนางรู้สึกว่าเพลงนี้เศร้าไปหน่อย ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นเรื่องราวที่ดี นางฟังไปล้างจานไป หันหลังให้เฉินฟู่เซิน ปกติแล้วนางก็ไม่ได้เป็นคนคิดอะไรมาก
เหยียนอี้เป็นคนเดียวที่อ่านบทกวีนี้ตอนนางอยู่ในโรงเรียน นางยังคงต้องจดจำข้อความในตำราเรียน มันทั้งยาวเหยียด ชวนอึดอัด ทำสมองสับสนจนแทบจะเป็นลม
เหยียนอี้ไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะตอนนั้นนางยังเด็กไม่เข้าใจเรื่องความรัก
อย่างไรก็ตามนางเป็นคนสายตาเฉียบแหลม นางได้เห็นอารมณ์ เห็นท่าทางลึกซึ้งของเฉินฟู่เซิน นางเห็นเขาเงยหน้าขึ้นสูง พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาร่วงลงมา ระลอกคลื่นนับไม่ถ้วนอยู่ในใจของนาง
นางไม่รู้จะพูดอะไร แต่นางรู้ว่าเฉินฟู่เซินไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นท่าทางของเขา ดังนั้นนางจึงหัวเราะสองครั้ง เขย่งแตะศีรษะของเขา ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ร้องเพราะดี ดี ข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยการปล่อยให้ไปนอนได้”
เฉินฟู่เซินต่อต้านคำพูดของเหยียนอี้ที่บอกว่าเขา ‘ดี’ มาโดยตลอด เขาไม่ชอบให้คนอื่นแตะศีรษะ อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
เขาวิ่งกลับไปที่ห้องราวกับหนีสิ่งใดมา ไม่รู้ว่าตัวเองมีความสุขหรือเศร้าใจ รู้สึกแต่เพียงว่ามีหลายความรู้สึกปนเปกันอยู่ เด็กหนุ่มอยากฝังหัวของเขาไว้ ไม่อยากคิดสิ่งใดอีก
เหอซื่อหันไปถามเหยียนอี้ “เขาเป็นอะไรหรือไม่?”
เหยียนอี้แบมือออกแล้วพูดว่า “บางทีเขาอาจจะคอแตกเพราะร้องเพลงดังเกินไปก็ได้เจ้าค่ะ”
เหอซื่อถอนหายใจ ไม่พูดสิ่งใดอีก
หลังจากนั้นไม่นาน เหยียนจื่อก็อยากไปดึงใบกกมาสานเป็นจิ้งหรีดหญ้าเพื่อเล่น เหยียนอี้ไม่ได้เก่งเรื่องแบบนี้ ดังนั้นนางจึงเกลี้ยกล่อมให้เหอซื่อไปกับเหยียนจื่อ
นางหยิบอ่างน้ำขึ้นมาล้างตัวเองเตรียมตัวเข้านอน
หลังจากนั้นไม่นานเหยียนจื่อและเหอซื่อก็กลับมา เหยียนจื่อเล่นจนเหนื่อยจึงหลับไปทันทีที่หัวแตะหมอน เหอซื่อลูบลูกสาวตัวน้อยเบา ๆ ที่ด้านหลัง ค่อย ๆ ผล็อยหลับไปเช่นกัน
เหยียนอี้เข้านอนเร็วที่สุด แต่กลับนอนไม่หลับเสียอย่างนั้น
…
มันเป็นจุดสิ้นสุดของฤดูร้อน แต่จักจั่นบนต้นการบูรที่ประตูยังคงส่งเสียงดังตลอดทั้งวัน เสียงกระหึ่มนั้นไม่อาจทำใครหลับได้
มิรู้ว่าแมลงตัวน้อยเหล่านี้รู้อะไรจากการตะโกนว่า ‘รู้แล้ว’[1] ตลอดทั้งวัน?
“เจ้าจักจั่น หากเจ้ารู้จริง ๆ ทำไมเจ้าไม่บอกข้าว่าจะกลับสู่โลกเดิมได้อย่างไร” เหยียนอี้หันไปที่ประตูอย่างโกรธจัด ก่นด่าจักจั่นบนต้นไม้
“ท่านพี่ ท่านกำลังว่าอะไรอยู่หรือ” เหยียนจื่อพลิกตัวกลับแล้วนอนหลับต่อ
เหยียนอี้ยังนอนไม่หลับ นางสวมรองเท้าแล้วเดินไปที่ลานกระท่อมเพื่อหาน้ำดื่ม
ดวงจันทร์อันงดงามส่องแสงลงบนพื้น ปรากฏเป็นน้ำค้างแข็งแวววาว
มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่ปากบ่อน้ำ เขาทอดถอนใจ ในมือถือบางสิ่งไว้
เมื่อเห็นว่าเฉินฟู่เซินยังไม่หลับ เหยียนอี้ก็เดินไปตบไหล่เขา “เหตุใดเจ้าถึงยังนั่งอยู่ที่นี่? เจ้าไม่กลัวยุงกัดหรืออย่างไร”
เมื่อเฉินฟู่เซินได้ยิน เขาก็รู้สึกคันยิบ ๆ ที่น่อง ลูบดูแล้วก็พบว่ามียุงสามถึงห้าตัวเกาะอยู่
เหยียนอี้นั่งลงข้าง ๆ ดื่มน้ำเข้าไปหนึ่งอึก นางพูดกับเขาว่า “ข้าเองก็นอนไม่หลับเหมือนกัน”
เฉินฟู่เซินกล่าวว่า “เจ้ายังสาว แต่ก็มีปัญหามากมายแล้วงั้นหรือ”
เหยียนอี้พึมพำในใจว่า ‘ถ้าข้ามีชีวิตอยู่ในยุคของข้า ข้าอยู่มานานกว่ายี่สิบปีแล้ว แก่กว่าเจ้าอีก แม้ตอนนี้เจ้าจะมีอายุมากกว่าข้าเพียงห้าหรือหกปีก็ตาม เจ้าจะแสร้งทำเป็นผู้ใหญ่แบบไหนกัน’
นางเห็นเฉินฟู่เซินถือจี้หยกในมือเลยถามขึ้น “ข้ามักจะเห็นเจ้าเหม่อมองจี้หยกนี้ตลอด มันต้องเป็นของคนที่สำคัญมากสำหรับเจ้าแน่ ๆ”
เฉินฟู่เซินหยิบจี้หยกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและพูดว่า “สำคัญมากเลยล่ะ”
เหยียนอี้เอ่ยถามต่อ “แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”
เฉินฟู่เซินยิ้มเศร้า ๆ “ตายแล้ว”
เหยียนอี้เสียใจ “ข้าขอโทษ”
เฉินฟู่เซินกล่าวต่อ “ตายก็คือตายแล้ว เจ้าไม่ได้ฆ่าคนเสียหน่อย เหตุใดเจ้าถึงขอโทษ”
เหยียนอี้กล่าวว่า “ข้าขอโทษที่พูดถึงเรื่องราวที่น่าเศร้าของเจ้า”
เฉินฟู่เซินเอียงศีรษะของเขา “สิ่งที่น่าเศร้าก็ยังคงเป็นเรื่องน่าเศร้า ไม่ว่าเจ้าจะพูดถึงมันหรือไม่ ข้าก็เศร้ามาตลอด ชีวิตคนเราคืออะไรกันแน่”
เขาพูดโดยชี้ไปที่หัวใจของเขา “ข้าต้องการให้คนอื่นพูดถึงสิ่งที่น่าเศร้านี้กับข้าเพื่อที่ข้าจะได้จำมันได้ตลอดเวลา ข้าไม่กล้าลืมมันแม้แต่น้อย”
เหยียนอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “เฉินฟู่เซิน ข้ารู้ว่าเจ้ามีความลับมากมาย แน่นอนว่าข้าไม่อาจรู้ความลับของเจ้าได้”
“อย่างไรก็ตามไม่ว่าเจ้าจะเศร้าเพราะใครหรืออะไร คนเราก็ต้องมองไปข้างหน้าเสมอ แล้วเหตุใดเจ้าถึงคิดถึงมันตลอดเวลา?”
“เจ้าไม่เข้าใจ” เฉินฟู่เซินกล่าว
เหยียนอี้รู้สึกว่าหัวข้อนั้นหนักเกินไปในยามนี้ นางรีบกระแอมไอเปลี่ยนหัวข้อ “แค่ก ข้ามีความลับที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน เจ้าอยากรู้หรือไม่”
เฉินฟู่เซินถาม “มันคืออะไร”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนใจ พูดว่า “ข้าไม่ได้บอกความลับของข้ากับเจ้า ข้าไม่จำเป็นต้องรู้ความลับของเจ้า”
เหยียนอี้หัวเราะเยาะ “ข้าต้องบอกเจ้า”
ตอนที่เหยียนอี้เอ่ย นางโน้มตัวครึ่งหนึ่งลงไปที่หูของเขา ลดเสียงลง เอามือป้องปากแล้วพูดกับเขาว่า “ข้ากรนเมื่อข้านอนหลับ”
เฉินฟู่เซินงุนงงหลังได้ยิน “นี่เป็นความลับงั้นหรือ”
เหยียนอี้ยืดร่างกายส่วนบนของนางให้ตรงแล้วพูดว่า “ข้าเป็นหญิงแต่กลับนอนไม่สง่างาม หากข้าพูดเรื่องนี้ ข้าจะถูกเยาะเย้ย บางทีคนทั่วทั้งถนนอาจจะหัวเราะเยาะข้าก็ได้ นี่ไม่ถือเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่หรือ?”
เฉินฟู่เซินไม่อาจฝืนหัวเราะได้ “แล้วเจ้าบอกข้าเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวหรือว่าข้าจะหัวเราะเยาะเจ้า”
เหยียนอี้ถามกลับว่า “แล้วเจ้าจะทำไหมเล่า”
เฉินฟู่เซินส่ายหัว “ที่จริงตอนนอนข้าก็กรน”
เหยียนอี้ตบมือก่อนจะพูดว่า “ใช่ไหมล่ะ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าทุกคนบนโลกนี้จะนอนหลับได้สง่างาม คนเราคนหลับไป ไร้ซึ่งสติ จะมาพูดถึงความเหมาะสมของท่าทางได้อย่างไร”
เฉินฟู่เซินพยักหน้าอย่างสุดซึ้ง
เหยียนอี้กล่าวว่า “บางครั้งข้าก็กัดฟันของข้า เจ้ากัดมันหรือเปล่า”
เฉินฟู่เซินส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
เหยียนอี้โผล่เข้าไปข้างไหล่เขา แสร้งทำเป็นขู่ “เจ้าต้องกัด! ถ้าเจ้าไม่เคยกัดมาก่อน เจ้าต้องกัดคืนนี้!”
เฉินฟู่เซินระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
เหยียนอี้เอื้อมมือไปแตะศีรษะเฉินฟู่เซิน “ก็ดี ยิ้มอย่างมีความสุขและกลับไปนอนเถิด”
เฉินฟู่เซินประหลาดใจ หญิงสาวไม่ลังเลที่บอก ‘ความลับที่ยิ่งใหญ่’ ของนางเพียงเพื่อให้ตัวเขาหัวเราะ
เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นในใจ ดูเหมือนว่าตั้งแต่เขาเกิดมา ไม่มีใครนอกจากท่านแม่ที่จะจงใจทำให้เขาหัวเราะได้
เหยียนอี้ลุกขึ้นยืนยืดตัว พร้อมที่จะกลับไปนอน
ทว่าเฉินฟู่เซินคว้านางจากด้านหลังแล้วสวมกอดนางเอาไว้
[1] เป็นการเล่นความหมายของคำว่าจักจั่น (知了) ในภาษาจีนที่มีความหมายเดียวกับคำว่า ‘รู้แล้ว’