ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 24 เฉินฟู่เซินฟื้นตัว(รีไรท์)
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 24 เฉินฟู่เซินฟื้นตัว(รีไรท์)
บทที่ 24 เฉินฟู่เซินฟื้นตัว(รีไรท์)
วันเวลาล่วงเลยไปอย่างช้า ๆ เฉินฟู่เซินเริ่มคุ้นเคยกับเหยียนจื่อที่ชอบส่งเสียงดัง ส่วนอาการบาดเจ็บของเขาค่อย ๆ หายเป็นปกติ
ถึงเวลาต้องบอกลาครอบครัวของเหยียนอี้แล้ว เขาที่ถูกไล่ฆ่าไม่ต้องการนำปัญหามาให้พวกนาง
เช้าวันหนึ่งเฉินฟู่เซินลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เตรียมที่จะจากไป แต่กลับพบว่าดาบของเขาไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว
เฉินฟู่เซินรีบตามหา ทำให้เหยียนอี้ที่ตื่นแต่เช้าเพื่อทำวุ้นตื่นตกใจ
“เหตุใดเจ้าถึงตื่นแต่เช้าขนาดนี้? อาหารเช้ายังไม่พร้อมเลย เจ้าไปนอนก่อนเถิด!” เหยียนอี้พูดกับเฉินฟู่เซิน ขณะที่มือยังคงยุ่งกับงานของนาง
“เหยียนอี้ ดาบของข้าอยู่ที่ใด” เฉินฟู่เซินถามอย่างกังวล
“ดาบของเจ้า? อ้อ มันอยู่ในตู้เสื้อผ้า นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าจะจากไปอีกหรือ?” เหยียนอี้รีบไปที่ด้านหน้าของเฉินฟู่เซินเพื่อหยุดเขา “อย่าไปเลย แผลของเจ้ายังไม่หายสนิท หากเจ้าวิ่งไปรอบ ๆ แผลอาจเปิดอีกก็ได้!”
“เหยียนอี้!” เฉินฟู่เซินกระซิบ “ข้าอยู่ไม่ได้แล้วจริง ๆ! ข้าเป็นคนอันตราย หากข้ายังอยู่ที่นี่ก็มีแต่จะทำให้เจ้าเดือดร้อนเท่านั้น!”
เหยียนอี้ดึงมือของเฉินฟู่เซินไว้ เด็กหนุุ่มตกใจมาก มือของเหยียนอี้เย็นเฉียบ บางทีอาจเป็นเพราะนางเพิ่งทำวุ้น ทั้งเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผาก ทั้งกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของหญ้าและหมู่ไม้ตามทุ่งจากตัวนางดูเหมือนจะรั้งเขาไว้
“อย่าไปเลย มันอันตรายมากหากเจ้าออกไปข้างนอกตอนนี้ ออกไปหลังจากที่เจ้าหายดีมิดีกว่าหรือ” เหยียนอี้ขอร้อง
“ไม่” เฉินฟู่เซินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์
“เฉินฟู่เซิน! ข้าช่วยเจ้าไว้นะ!” เหยียนอี้โกรธเคือง เริ่มดื้อรั้น “เจ้าให้เงินข้า คอยช่วยงานเพื่อเป็นการตอบแทนข้าก็ได้!”
เฉินฟู่เซินก้มหน้าลงมองสิ่งมีค่าเพียงอย่างเดียวที่เขาพกติดตัว จี้หยกที่แม่เขาทิ้งไว้ มันเป็นหยกแท้และมีค่าเหนือสิ่งอื่นใด
ทว่านี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่แม่ทิ้งไว้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจี้หยกนี้มอบพละกำลังให้กับเขา ราวกับว่าแม่อยู่ข้าง ๆ เขา
“ได้ ข้าจะอยู่ช่วยเจ้า!” เฉินฟู่เซินก็รำคาญเช่นกันจึงพูดรับปากไป หลังจากพูดเช่นนี้เขาก็กลับไปที่ห้อง เด็กหนุุ่มนั่งบนขอบเตียงและมองดูพระอาทิตย์ขึ้นก่อนจะตกอยู่ในห้วงความทรงจำ
อย่างไรเขาก็รู้สึกเสียใจมาก นางช่วยเขาไว้แท้ ๆ แต่เขากลับดูไม่สำนึกบุญคุณ
…
ได้เวลาออกไปแล้ว เหยียนอี้วางตะกร้าไว้บนหลังของนางและเหยียนจื่อเพื่อไปขายวุ้นในเมือง
หลังจากแช่ถั่วเหลืองทั้งคืน เหอซื่อวางแผนที่จะทำเต้าหู้เพื่อให้ลูกสาวและเฉินฟู่เซินได้ลิ้มลองรสชาติใหม่
อย่างไรก็ตาม ไม่มีผู้ชายในครอบครัว และพวกเขาไม่สามารถผลักโม่หินได้ เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี
ในตอนที่เหอซื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลิวจูก็มาที่บ้าน
“ฟางเอ๋อร์!” หลิวจูตะโกนใส่ประตูลานบ้าน
“อา พี่หลิว!” เหอซื่อรีบออกไปตามเสียงนั้น
“ฟางเอ๋อร์ ให้ข้าดูว่ามีอะไรที่ข้าสามารถทำเพื่อครอบครัวเจ้าหรือไม่ ประตูไม้ที่ข้าติดให้เจ้าครั้งก่อนใช้การดีหรือไม่” หลิวจูถาม
“ยอดเยี่ยมเลย! ฝีมือของท่านดีขึ้นทุกปี!” เหอซื่อพอใจกับประตูไม้แข็งแรงและทนทาน
“พี่หลิว… ข้าจะทำเต้าหู้ให้เด็ก ๆ กิน แต่ข้าไม่สามารถดันโม่หินได้ พี่หลิวช่วยข้าได้หรือไม่” เหอซื่อรบกวนหลิวจูหลายครั้งแล้ว นางจึงละอายที่จะขอให้เขาช่วยอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหา!” หลิวจูไปที่โม่หินและเริ่มลงมือ
นมถั่วเหลืองสีขาวถูกปล่อยออกมาช้า ๆ จากโม่หิน เหอซื่อหยิบผ้าขนหนูสี่เหลี่ยมเช็ดเหงื่อให้หลิวจู ยื่นชามน้ำให้เขา ชายวัยกลางคนยิ้ม ก่อนจะรับน้ำมาดื่ม แล้วทำงานต่อไป
คนสองคนภายใต้ดวงอาทิตย์ดูเหมือนคู่สามีภรรยาที่เข้าอกเข้าใจกันและอยู่ด้วยกันมาหลายปี
ไม่นานถั่วก็กลายเป็นนมถั่วเหลือง
เหอซื่อต้มนมถั่วเหลือง ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย หลิวจูกวนนมถั่วเหลืองอยู่ครู่หนึ่งจนมันค่อย ๆ หนืดข้น จากนั้นทั้งสองก็ช่วยกันเทนมถั่วเหลืองลงในผ้ากรอง หลังจากน้ำค่อย ๆ ระเหยไป เต้าหู้ก็มีรูปร่างขึ้นมา
หลิวจูย้ายเต้าหู้ไปไว้อีกที่แล้วพยุงเหอซื่อให้นั่งลง จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มพูดคุยกัน
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เหอซื่อมองไปที่หลิวจู เห็นว่าเสื้อผ้าขาดเป็นรูสองข้างซ้ายขวา พาให้รู้สึกเศร้าใจ
“ก็เหมือนเช่นเคย ข้าโสดมานานแล้ว ไม่มีภรรยา และข้าก็ขี้เกียจเกินกว่าจะซ่อมมัน” เขาอายเล็กน้อยเมื่อเห็นเหอซื่อจ้องมองไปที่รูบนเสื้อผ้าของเขา
“พี่หลิว เช่นนั้นข้าจะซ่อมเสื้อผ้าให้ท่าน” เหอซื่อซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำพร้อมบอกว่านางจะไปเอาเข็มและด้ายมาซ่อมเสื้อผ้าของอีกฝ่าย
“ฟางเอ๋อร์ อย่าลำบากเลย!” หลิวจูก็อายเล็กน้อยเช่นกัน อย่างไรแล้วฟางเอ๋อร์ก็เป็นหญิงที่แต่งงานแล้ว เขาจึงกลัวว่าจะเป็นการล้ำเส้น
กระนั้นเหอซื่อนำเข็มและด้ายมาอยู่ดี หลิวจูจึงปลดเสื้อคลุมของเขาออกแล้วยื่นให้
เมื่อเห็นหลิวจูเปลือยกายท่อนบน เหอซื่อก็เขินอายอย่างมาก นางรีบปิดประตูหนีออกมาอยู่ข้างนอกเพื่อซ่อมเสื้อผ้าของเขาอย่างรีบร้อน
ความปั่นป่วนในหัวใจทำให้มือของนางสั่นอย่างควบคุมไม่ได้จนเข็มทิ่มนิ้ว นางพลันร้องด้วยความเจ็บปวด
“เกิดอะไรขึ้น! ฟางเอ๋อ” หลิวจูวิ่งออกจากห้อง
“ไม่เป็นไร พี่หลิว! รีบออกไปเถิด เจ้าจะวิ่งเปลือยกายออกมาได้อย่างไร!” ใบหน้าของเหอซื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง
“ตกลง ๆ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้ ระวังตัวด้วย ข้าจะรอเจ้า” หลิวจูรู้สึกว่าเขาทำผิดแล้วรีบกลับห้องไป
เหอซื่อมีความชำนาญการซ่อมผ้ายิ่ง เพียงครู่หนึ่งเสื้อผ้าก็ถูกเย็บเรียบร้อย นางเปิดประตูและยื่นเสื้อผ้าให้หลิวจูรีบสวมใส่
ขณะนี้เต้าหู้พร้อมแล้ว หลิวจูสวมเสื้อผ้าแล้วช่วยนางนำเต้าหู้ลงมา
เต้าหู้สีขาวและเนียนนุ่ม หลิวจูอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเหอซื่อเองก็มีผิวขาวเหมือนหิมะ บอบบางและเรียบเนียนเหมือนเต้าหู้นี้
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลิวจูก็รีบบีบต้นขาของตัวเองอย่างรวดเร็ว ‘ข้ากำลังคิดอะไรอยู่’ หลิวจูหงุดหงิดในใจ
“พี่หลิว มาเถิด ลองชิมดู” เหอซื่อค่อย ๆ ยกชามเต้าหู้มาให้หลิวจู
น้ำมันงาต้นหอมและซีอิ๊วขาวบางส่วนราดลงบนเต้าหู้ขาว กลิ่นถั่วที่แรงประกอบกับน้ำราดก็อร่อย ตอนนี้เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้วเขาจึงเริ่มหิว หลิวจูขอบคุณเหอซื่อและรับชามเต้าหู้มา
“พี่หลิว ท่านต้องใช้แรงงาน ท่านควรจะกินให้มากหน่อย” เหอซื่อยื่นชามเต้าหู้ถั่วให้หลิวจู
ชามเต้าหู้ถั่วนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ตัวเต้าหู้ถั่วนุ่มแช่ในน้ำเย็น มันถูกราดด้วยน้ำขิงและน้ำตาลทรายแดงที่มีความเข้มข้นปานกลาง ตามด้วยดอกหอมหมื่นลี้สองสามดอก กลิ่นอันหอมหวานลอยมาแตะจมูกของหลิวจู
“ฝีมือของเจ้าดีมาก ชายใดได้เจ้าเป็นภรรยา เขาคนนั้นคงโชคดีจริง ๆ!” หลิวจูอดอุทานไม่ได้
“ไม่ใช่ข้าหรอก คนต้นคิดทั้งหมดนี้คือเหยียนอี้ ข้ายังคิดว่ามันอร่อยเลย เหยียนอี้เป็นเด็กที่มีทักษะนัก ข้าแค่หวังว่านางจะสามารถหาครอบครัวที่ดีแต่งงานด้วยได้ ถึงตอนนั้นข้าจะได้วางใจ!” เมื่อเหอซื่อนึกถึงเหยียนอี้ นางไม่อาจปกปิดรอยยิ้มได้
“ข้าแน่ใจว่าเหยียนอี้จะได้พบครอบครัวที่ดี เจ้าไม่ต้องกังวลไป!” หลิวจูเห็นว่าหลายครอบครัวในเมืองได้พูดคุยเกี่ยวกับทักษะที่ดีของเหยียนอี้เมื่อไม่กี่วันก่อน พลอยทำให้เขามีความสุขไปด้วย
“ท่านแม่! ข้ากลับมาแล้ว! เอ๊ะ? ลุงหลิว?” เหยียนอี้วิ่งกลับบ้านพร้อมกับเหยียนจื่อและรู้สึกประหลาดใจที่เห็นหลิวจู
“อ่า เหยียนอี้ เหยียนจื่อ เจ้าสองคนกลับมาแล้วหรือ” หลิวจูพูดแล้วลูบหัวเหยียนจื่อ
เหยียนอี้เหลือบมอง พลันเห็นมารดาของตนหน้าแดงเรื่อ
“ลุงหลิว แม่ของข้าเคยบอกเรานานมาแล้วว่าหากท่านมาที่บ้านของเราในอนาคต ท่านต้องอยู่บ้านเพื่อกินอาหารเย็น!” เหยียนอี้พูดกับหลิวจูด้วยรอยยิ้มว่า “ลุงหลิว ท่านอยู่กินมื้อเย็นที่นี่เถิด! แม่ของข้าย่อมหวังให้เป็นเช่นนั้น!”
เหยียนจื่อซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ ส่วนเหยียนอี้ก็ปิดปากของนางและหัวเราะ
“เหยียนอี้! เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ พี่หลิวอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเด็ก ๆ เลย!” เหอซื่อละอายใจและกังวล ใบหน้าของนางกลายเป็นสีแดงก่ำ
หลิวจูมองเหอซื่อที่หน้าแดงก็รู้สึกถึงความสุขจาง ๆ ในใจของเขา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาความรักที่เขามีต่อนาง เขาควรตอบสนองกลับไปบ้าง
“ฟางเอ๋อร์ มันหายากที่ทุกคนจะอยู่พร้อมหน้าอย่างวันนี้ เช่นนั้นข้าจะขออยู่กินมื้อเย็นที่บ้านเจ้าได้หรือไม่” หลิวจูมองไปที่เหอซื่อและเอ่ยถาม
“หากอยากอยู่ก็อยู่เถิด มันเป็นเพียงการเพิ่มตะเกียบอีกคู่หนึ่งเท่านั้นเอง” เหอซื่อรีบเข้าไปในครัวซ่อนความเขินอายของนาง
“ลุงหลิว ข้าจะไปเรียกใครบางคนมากินข้าว ท่านกับเหยียนจื่อจะมานั่งที่โต๊ะก่อนนะเจ้าคะ” เหยียนอี้กำลังจะไปเรียกเฉินฟู่เซินมากินอาหารเย็น
เฉินฟู่เซินกำลังเตรียมที่จะผลักประตูออกไปกินอาหารก็บังเอิญชนกับเหยียนอี้ ที่ผลักประตูเข้ามาเพื่อเรียกเขาไปพอดี
“อ๊ะ!” ทันใดนั้นใบหน้าของเหยียนอี้ก็เห่อร้อนขึ้นมา
หูของเฉินฟู่เซินเปลี่ยนเป็นสีแดง เด็กสาว… ดูผอมและตัวเล็ก แต่หน้าอกของนางไม่เล็กเลย ทั้งยัง… นุ่มมาก เฉินฟู่เซินตกตะลึงกับเสน่ห์ของนาง เขาอยากจะกอดเด็กสาวไว้ด้วยซ้ำ
ทันใดนั้น เหยียนอี้ก็ตระหนักว่านางยังคงตัวติดกับเฉินฟู่เซินที่แสนเย็นชา จึงรีบผลักเขาออกและวิ่งหนีไป
ชามเต้าหู้ถั่วห้าชามและอาหารจานเล็ก ๆ ถูกจัดไว้บนโต๊ะเรียบร้อย
นอกจากเหยียนจื่อแล้ว อีกสี่คนตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง
หลิวจูนึกถึงสีหน้าเขินอายของเหอซื่อในตอนเช้า และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนมีความหวังขึ้นมา
เหอซื่อคิดถึงร่างกายที่แข็งแรงของหลิวจูในตอนเช้า แม้ว่าเขาจะเป็นชายวัยกลางคน และความกังวลที่เขามีต่อนางตลอดเวลา ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง
เหยียนอี้คิดถึงกลิ่นหอมของเฉินฟู่เซินเมื่อตอนที่นางแนบชิดกับเขา ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงไม่เป็นส่ำ
ส่วนเฉินฟู่นั้นเซินคิดถึงร่างกายที่อ่อนนุ่มของเหยียนอี้และทัศนคติที่ขี้อายของหญิงสาว พาให้รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในใจ
ทั้งสี่ก้มศีรษะลงเพื่อกินเต้าหู้ถั่วอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครแตะผักแกล้มเลย
บรรยากาศเช่นนี้ทำให้เหยียนจื่อไม่กล้าขยับตะเกียบ แต่มีขนมโก๋ถั่วเขียวที่นางชื่นชอบอยู่บนโต๊ะ
ทันใดนั้น เหยียนอี้ก็ตระหนักว่าบรรยากาศที่โต๊ะอาหารค่ำกระอักกระอ่วนไม่น้อย นางจึงหยิบขนมโก๋ถั่วเขียวชิ้นหนึ่งขึ้นมา เดิมทีนางต้องการมอบให้กับเหยียนจื่อ แต่แล้วนางกลับมอบให้เฉินฟู่เซิน
‘ข้าเป็นอะไรเนี่ย!’ เหยียนอี้หงุดหงิดตัวเอง
“ท่านพี่อี้เอ๋อร์! ท่านไม่รักข้าแล้วหรือ! ท่านเอาขนมถั่วเขียวไปให้พี่ชายของท่านก่อนได้อย่างไร!” เหยียนจื่อทำท่าเหมือนจะร้องไห้
เหยียนอี้ยิ่งอาย และรีบพูดว่า “เหตุใดพี่สาวคนนี้จะไม่รักเจ้าเล่า? ตอนนี้พี่เฉินได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่าควรให้เขากินก่อน!” เหยียนอี้พอใจอย่างยิ่งกับเหตุผลที่นางคิดได้
เฉินฟู่เซินมองไปที่เหยียนอี้ซึ่งพยายามอธิบาย ก่อนจะก้มศีรษะลงและหัวเราะคิกคัก ‘ช่างน่ารัก… น่ารักมาก!’