ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 23 พบกันอีกครั้ง (รีไรท์)
บทที่ 23 พบกันอีกครั้ง (รีไรท์)
“อี้เอ๋อร์ มีสิ่งใดผิดปกติอย่างนั้นหรือ” เหอซื่อเห็นเหยียนอี้นั่งยอง ๆ อยู่ข้างเด็กหนุ่มผู้หนึ่งมาครู่ใหญ่แล้วจึงถามออกไป
“อาการบาดเจ็บของเจ้าร้ายแรงมาก คงดีกว่าหากไปอยู่บ้านของข้าก่อน ดูแลอาการบาดเจ็บ จากนั้นจึงค่อยออกเดินทางต่อ ข้าก็จะได้ตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ด้วย” เหยียนอี้ต้องการวางแขนของนางไว้ใต้ศีรษะของเด็กหนุ่ม แต่เขากลับหันหัวหลบอย่างดื้อรั้น
เพราะเสียเลือดมากเกินไป คำพูดที่เปล่งออกมาจึงยากเย็นยิ่ง “ไม่… ข้าไม่ต้องการ เจ้าอย่ามายุ่ง ไปซะ!” เขาต้องการจะลุกขึ้นยืน แต่เขาก็อ่อนแรงและเป็นลมไปอีกครั้ง
“อี้เอ๋อร์ เขาช่วยเจ้าไว้งั้นหรือ?” เหอซื่อเอ่ยถาม “เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง แม่ว่าเรามาช่วยกันพาเขากลับไปที่บ้านเราก่อนดีกว่า”
เหยียนอี้พยักหน้า
เด็กหนุ่มร่างกายพ่ายผอมนัก เหยียนอี้และเหอซื่อเลยต้องพยุงกลับบ้านอย่างระมัดระวัง
เมื่อมาถึงบ้าน ทั้งสองก็วางเด็กหนุ่มนอนราบบนเตียง เหอซื่อไม่เข้าใจเรื่องการแพทย์ การรักษาใด ๆ นางไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกับคนที่เป็นลมล้มพับไปเช่นนี้
เหยียนอี้รีบพูดกับเหอซื่อว่า “ท่านแม่ ข้าเคยเห็นหมอในหมู่บ้านรักษาบาดแผลมาก่อน ท่านไปตามหมอมาได้หรือไม่”
เหอซื่อพึมพำ “เหยียนอี้… เจ้ายังไม่ได้ออกเรือน การอยู่กับเด็กหนุ่มตามลำพัง มันไม่เหมาะสม”
เหยียนอี้ตอบกลับอย่างไม่สนใจ “ท่านแม่ สิ่งสำคัญคือเราต้องช่วยคน! อีกอย่าง เรามันคนจน ไม่ต้องถือกฎเกณฑ์มากมายหรอกเจ้าค่ะ!”
ด้วยเหตุนี้ เหยียนอี้จึงดึงแม่ของนางออกไปที่ประตู ขอให้แม่ของนางเตรียมน้ำอุ่น ปรุงน้ำข้าวเพื่อเช็ดร่างกายและบำรุงร่างกายพ่ายผอม
เด็กหนุ่มผู้นี้สวมเสื้อคลุมสั้น มีดาบยาวพาดอยู่ข้างหลัง
เหยียนอี้หยิบดาบลงอย่างระมัดระวัง แต่นางไม่ได้คาดคิดว่าดาบจะหนักถึงเพียงนี้
ขณะที่เหยียนอี้ปลดเสื้อคลุมให้ นางเห็นคำว่า ‘เฉินฟู่เซิน’ เขียนไว้บนป้ายชื่อ มันดูสวยงามและสง่า ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ
เมื่อเห็นร่างกายของเฉินฟู่เซินเต็มไปด้วยบาดแผลทั้งใหม่และเก่า เหยียนอี้ก็รู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย
เขาไปทำอะไรมา? เขาเป็นคนคุ้มกันหรือไม่? หรือจะเป็นพวกนอกกฎหมาย? เด็กหนุ่มถูกทำร้ายอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
เหยียนอี้จุ่มผ้าลงในน้ำอุ่น เช็ดเลือดที่รินไหลออกจากบาดแผลของเด็กหนุ่มเบา ๆ หลังจากที่นางเช็ดเลือดสลับกับล้างผ้าอยู่หลายครา น้ำในแอ่งเล็ก ๆ ก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดสีแดง
ชั่วครู่นั้นเหอซื่อผลักประตูเข้ามา ในมือถือสมุนไพรผงมาด้วย
ยาสมุนไพรนี้มีประสิทธิภาพมากเสมอมา ช่างฝีมือในหมู่บ้านมักใช้ยานี้หากถูกบาดด้วยมีดและสิ่ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วันแผลก็จะหาย
เหยียนอี้ใช้ผงสมุนไพรทาแผลลึก จากนั้นมัดด้วยผ้าสะอาดอย่างระมัดระวัง คลุมเด็กหนุ่มด้วยผ้าห่มแล้วเอาเสื้อคลุมเปื้อนเลือดไปซัก
เหยียนอี้สั่งให้เหยียนจื่อดูแลเฉินฟู่เซินที่บ้าน หากเด็กหนุ่มตื่นขึ้นมา ให้ไปตามนางที่แม่น้ำ
เหยียนจื่อพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง จากนั้นขยับเก้าอี้ตัวเล็ก ๆ มานั่งเฝ้าหน้าห้อง
“ท่านแม่ เขาชื่อเฉินฟู่เซิน ช่างเป็นชื่อที่ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ” เหยียนอี้นั่งอยู่ริมแม่น้ำ พูดกับเหอซื่อ
เหอซื่อพูดเบา ๆ “ใช่จ้ะ ช่างเป็นชื่อที่สวยงาม ฟังดูเหมือนเด็กที่มีปัญญารอบรู้ แต่เหตุใดเขาถึงได้รับบาดเจ็บเช่นนี้กัน”
เหยียนอี้รีบเอ่ยตอบ “ใช่ท่านแม่ ข้าเองก็คิดไม่ออก เขาดูไม่เหมือนคนร้ายอะไร แต่เขาก็ดูไม่เหมือนคนคุ้มกัน แล้วเขาได้แผลเหล่านั้นมาได้อย่างไร!”
เหอซื่อกล่าวออกมา “เฮ้อ เราทำได้แค่รอจนกว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้เท่านั้น ตอนนี้โลกไม่สงบสุข ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีชีวิตอยู่ พวกเราเองต้องระวังด้วย”
เมื่อพวกนางล้างเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว น้ำข้าวที่บ้านก็น่าจะพร้อมแล้วเช่นกัน
หลังจากอดออมมานาน ครอบครัวนางก็สามารถซื้อข้าวได้ในที่สุด และในคืนนี้ทุกคนเลยจะกินน้ำข้าวกัน!
เหยียนอี้เก็บแตงโมหลายลูกมาจากริมแม่น้ำ แตงโมที่ยังไม่โตชนิดนี้กินได้แล้ว แม้จะไม่ได้มีรสชาติดั้งเดิมของแตงโม แต่มันก็มีน้ำเพียงพอและมีรสหวาน
หน้าเตา เหยียนอี้ผ่าแตงโมเป็นชิ้นบาง ๆ ผสมกับน้ำส้มสายชูและเหล้าข้าว นางใช้ชามใบเล็ก ๆ ปิดเอาไว้ ทำเป็นอาหารล้างปากให้สดชื่นหลังจากรับประทานอาหาร
น้ำข้าวค่อย ๆ เดือดในหม้อ เหยียนอี้เพิ่มน้ำตาลทรายแดงที่ครอบครัวจ้าวส่งมาให้เมื่อไม่กี่วันก่อน รวมถึงขิงทอดเมื่อหลายเดือนก่อน น้ำข้าวที่มีน้ำตาลทรายแดงและขิงถูกเพิ่มเข้ามาเพื่อคลายร้อนและบำรุงหลอดเลือด
วันนี้นางยุ่งมากจนลืมซื้ออาหารตามฤดูกาล
มีฟักเขียวขนาดใหญ่วางอยู่ข้างเตา ลุงหลิวส่งมาให้ไม่กี่วันก่อน!
เหยียนอี้เรียกเหยียนจื่อ รีบไปที่แม่น้ำเพื่อจับกุ้ง เด็กสาวทั้งสองเล่นกันในแม่น้ำด้วยเท้าเปล่า พวกนางจับกุ้งได้มากมาย
“เหยียนจื่อ หลังจากนี้ข้าจะทำอาหารจานใหม่ให้เจ้าดีหรือไม่” เหยียนอี้ก้มลงเพื่อสวมรองเท้าของนาง ก่อนจะมองไปยังเหยียนจื่อที่กระโดดไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถาม
“ดีสิ ๆ ฝีมือทำอาหารของท่านพี่เยี่ยมที่สุด!” ทุกวันนี้เหยียนจื่อกินเก่งขึ้น นางดูมีน้ำมีนวล เนื้อตัวอวบอัดขึ้นกว่าเดิม ใบหน้าก็ดูมีเลือดฝาดมากขึ้นด้วย
“เช่นนั้นทันทีที่ข้ากลับถึงบ้าน ข้าจะทำอาหารอร่อย ๆ สำหรับครอบครัวของเรา!” เหยียนอี้จับมือเหยียนจื่อแล้วรีบกลับบ้าน
หลังกลับไปที่ห้องครัว เหยียนอี้ก็ล้างกุ้งอย่างชำนาญ นางเริ่มแกะเปลือกออก วันนี้ได้กุ้งตัวใหญ่มาจำนวนมาก เพียงพอที่จะทำอาหารจานหนึ่งแน่นอน
จากนั้น เหยียนอี้ก็สับเนื้อกุ้งจนละเอียดด้วยมีด ตามด้วยต้นหอมและน้ำขิง เมื่อสับเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ก็ทำให้เนื้อนุ่มและเนียนขึ้นได้ หลังจากนั้นก็โรยผงเครื่องเทศผสมลงในชามเล็ก ๆ ที่มีเนื้อกุ้งเตรียมเอาไว้ เพียงเท่านี้ไส้ก็พร้อมแล้ว
เหยียนอี้หั่นฟักเป็นสี่เหลี่ยมเล็กชินน้อย แล้วขุดหลุมเป็นวงกลมเล็ก ๆ ตรงกลาง จากนั้นเติมเนื้อกุ้งลงในหลุมนั้น
น้ำในหม้อกำลังเดือดพอดี นางใส่ฟักยัดไส้กุ้งลงในหม้อแล้วปิดฝา หลังจากนั้นไม่กี่นาทีรสชาติอร่อยนุ่มลิ้นก็ปรากฏขึ้น เพียงแค่เทน้ำมันงาและเครื่องปรุงอื่นสักสองสามหยดก็สามารถกินได้แล้ว!
ทว่าในตอนนั้นเหอซื่อกลับรีบเข้ามาในครัวแล้วดึงเหยียนอี้ไว้ ก่อนจะพูดว่า “อี้เอ๋อร์! เด็กหนุ่มคนนั้นตื่นแล้ว! เขาต้องการจะไป แม่ไม่อาจรั้งไว้ได้! แต่แผลของเขายังไม่หายดีเลย…”
เหยียนอี้พึมพำ “จะดื้อรั้นไปถึงไหนกัน!” นางรีบไปที่ห้อง ไม่ลืมที่จะหันกลับมาพูดกับเหอซื่อว่า “ท่านแม่กับเหยียนจื่อกินอาหารเย็นกันก่อนเลยเจ้าค่ะ!”
เหยียนอี้ผลักเปิดประตูและเห็นเฉินฟู่เซินนั่งอยู่ข้างเตียง บาดแผลหลายจุดบนร่างกายของเขาปริแตกออกอีกครั้ง เลือดเลยซึมออกมา
ใบหน้าของเฉินฟู่เซินบิดเบี้ยวน่าเกลียด ริมฝีปากขาวซีด
เหยียนอี้เข้าไปช่วยพยุงเฉินฟู่เซินให้ลุกขึ้น แต่นางไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะพยายามผลักนางออกไป เหยียนอี้ถูกผลักจนล้มกับพื้น นางลุกขึ้นพรวดหมายจะดุเขาเพราะความไม่รู้บุญคุณ แต่เมื่อคิดอีกที เขาเองก็ถูกทำร้ายมา ไม่แปลกที่เขาจะกลัวพวกนาง
เหยียนอี้ลุกไปที่ห้องครัวเพื่อตักน้ำข้าวที่เคี่ยวด้วยน้ำตาลทรายแดงและขิง รวมถึงฟักใส่ชามใบใหญ่ จากนั้นนางก็นำมันเข้าไปในห้องของเด็กหนุ่ม
กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารทำให้เฉินฟู่เซินรู้สึกหิวโหยขึ้นมา เขาไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว
‘ช่างเถอะ กินก่อนค่อยไปก็ยังมิสาย’ เฉินฟู่เซินคิดกับตัวเอง
“มาเถิด เราจะไม่ทำร้ายเจ้า” เหยียนอี้ตักซุปข้าวหนึ่งช้อนเต็ม เป่าลมและยื่นไปที่ปากของเฉินฟู่เซิน
น้ำตาลทรายแดงมีรสหวานอุ่น รสขิงเผ็ดเล็กน้อย น้ำข้าวที่รสชาติกำลังดีและ… กลิ่นที่อ่อนโยนของสตรีทำให้เฉินฟู่เซินรู้สึกถึงความอบอุ่น เป็นความรู้สึกที่เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว
น้ำข้าวแสนอร่อยทำให้เฉินฟู่เซินนึกถึงความรู้สึกเมื่อครั้งที่ยังเด็ก เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครทำอาหารให้เขา
ในขณะนั้นเด็กหนุ่มเกือบจะน้ำตาคลอ
“เฉินฟู่เซิน ยังไม่สายเกินไปที่จะรักษาแผลก่อนที่เจ้าจะไปไม่ใช่หรือ? วิ่งไปทั่วด้วยบาดแผลเช่นนี้ เจ้าไม่เก่งศิลปะการต่อสู้ ยังต้องอดทนต่อความเจ็บปวดอีก เจ้าคงลำบากไม่น้อย! เจ้า…” ทว่าก่อนที่เหยียนอี้จะพูดจบ นางก็ได้ยินเฉินฟู่เซินขัดเสียก่อน “ข้าไม่ไปแล้ว”
เหยียนอี้ยิ้มอย่างยินดี นางตบไหล่เฉินฟู่เซินแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีมาก! เจ้าทำถูกแล้ว”
เฉินฟู่เซินรู้สึกละอายใจ นางปฏิบัติเหมือนเขาเป็นเด็กไปหรือไม่? ชมเขาที่ทำตัวดีเนี่ยนะ!
ทว่าความอบอุ่นที่หายากนี้… ช่างปลอบประโลมเขาเหลือเกิน
…
หลายปีที่ผ่านมาของชีวิตที่มีทั้งขึ้นและลง เด็กหนุ่มไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนเลย
และไอ้คนสารเลว! เมื่อคิดถึงคนที่ทอดทิ้งแม่และตัวเขา ซึ่งตอนนี้คนคนนั้นยังคงไล่ล่าเขา เด็กหนุ่มก็รู้สึกโกรธแค้นขึ้นมา
เหยียนอี้หวาดกลัวเมื่อนางเห็นใบหน้าที่มืดมนของเฉินฟู่เซิน มือของเขากำช้อนกระเบื้องแน่น นางจึงพยายามหยิบช้อนออกจากมือของเฉินฟู่เซินแล้วตบไหล่เขาเบา ๆ
เฉินฟู่เซินฟื้นคืนสติ หยิบช้อนจากมือของเหยียนอี้แล้วเริ่มกินอย่างเงียบ ๆ
หลังจากได้กินน้ำข้าวหนึ่งชาม เด็กหนุ่มก็ผ่อนคลายไปหลายส่วน
เหยียนอี้ช่วยเฉินฟู่เซินเข้านอน คลุมผ้าห่มให้เขา นางกล่าวว่า “เฉินฟู่เซิน อาการของเจ้าไม่ค่อยดีนัก เจ้าควรรักษาตัวให้หายดีก่อน”
เฉินฟู่เซินรู้สึกซาบซึ้งใจมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังเห็นเหยียนอี้พยายามกระชับผ้าห่มให้แน่นขึ้น แต่เขาเป็นคนพูดไม่เก่ง ไม่รู้ว่าจะขอบคุณนางอย่างไร
ตอนนี้เขาถูกไล่ล่าอยู่ทุกที่ ถ้าพวกมันพบว่าเขาอยู่ที่บ้านของหญิงคนนี้ อาจจะทำให้นางมีปัญหามากมายตามมา ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด พวกมันอาจฆ่าครอบครัวนางทั้งหมดก็เป็นได้
“เจ้าชื่ออะไร” เสียงของเฉินฟู่เซินดีขึ้น แต่ก็ยังแหบแห้งเล็กน้อย
“ข้าชื่อเหยียนอี้ แค่เรียกข้าว่าอี้เอ๋อร์ก็ได้” เหยียนอี้ตอบอย่างฉะฉาน
“เจ้า เหยียนอี้ ขอบคุณที่ช่วยข้าในครั้งนี้ ในอนาคตหากข้ามีโอกาส ข้าจะตอบแทนเจ้า!” เฉินฟู่เซินไม่รู้ว่าเขาจะมีโอกาสได้พบเหยียนอี้ในอนาคตหรือไม่ คิดแล้วเขาก็รู้สึกเศร้าใจ
“ไม่จำเป็นต้องตอบแทนหรอก ข้าต่างหากต้องตอบแทนที่เจ้าเคยช่วยชีวิตข้า! หากพวกเราตอบแทนกันไปมาเช่นนี้ แล้วเราจะยุติการตอบแทนได้เมื่อใดเล่า”
เหยียนอี้จ้องมองเฉินฟู่เซินด้วยแววตาล้ำลึก “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนได้แล้ว พักผ่อนให้มากจะได้หายเร็ว ๆ หากเจ้าต้องการสิ่งใดโปรดเรียกหาข้า ข้าจะเฝ้าอยู่หน้าประตู”
เหยียนอี้เป่าเทียนในห้อง ปิดประตูและออกไปอย่างเงียบ ๆ
เฉินฟู่เซินไม่ได้นอนอย่างสงบมาหลายปีแล้ว ในวันธรรมดา ทุกครั้งที่ลมพัดหรือมีเสียงหญ้าเคลื่อนไหว เด็กหนุ่มก็จะสะดุ้งตื่นขึ้นมา เขานอนหลับไม่ต่างกับนกฮูก ลืมตาข้างหนึ่งและหลับตาข้างหนึ่ง ไม่เคยได้นอนหลับอย่างสบายใจสักครั้ง
คืนนี้แสงจันทร์งามงด เงาไม้ไผ่นอกหน้าต่างสั่นไหวลู่ลม ค่ำคืนที่จะสามารถนอนหลับได้อย่างสงบเช่นนี้หาได้ยาก แต่น่าเสียดายที่เด็กหนุ่มหลับไม่ลงเพราะติดนิสัยที่เขาสร้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ส่วนเหยียนอี้ นางนอนบนเสื่อไม้ไผ่อยู่ข้างประตู มองดูโคมไฟที่เปล่งแสงจากแสงเทียนที่ประตูเช่นกัน ไม่นานก็ค่อย ๆ ผล็อยหลับไป
ภายในห้องอันเงียบสงบ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าพวกเขาเห็นใครในความฝัน