ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 125 เรื่องเล่าของเจิ้งจวงกง
- Home
- All Mangas
- ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ
- บทที่ 125 เรื่องเล่าของเจิ้งจวงกง
บทที่ 125 เรื่องเล่าของเจิ้งจวงกง
บทที่ 125 เรื่องเล่าของเจิ้งจวงกง
“ชายแปด เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเล่าของเจิ้งจวงกงหรือไม่?” หลี่หรงอวี่ถามผู้เป็นน้องชาย
“ข้ารู้ว่ามันเป็นหนึ่งใน ‘บันทึกเหตุการณ์’” หลี่หรงเฉิงตอบ
“เจิ้งจวงกงมีพี่น้องมารดาเดียวกันกับกงซูต้วน ผู้แย่งชิงบัลลังก์มังกร มารดาของเขา อู่เจียง รักและหวงแหนบุตรชายคนสุดท้องอย่างกงซูต้วนเสียยิ่งกว่าอะไร เจิ้งจวงกงไร้ซึ่งหนทางที่จะชนะได้ เขาจงใจปล่อยให้กงซูต้วนกระทำผิดหลายร้อยวิธีโดยไม่ห้ามปราม ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ กงซูต้วนทำผิดพลาดมามากมาย จนผู้อื่นขอให้เขาจัดการน้องชายตนเอง ทว่าเขากลับบอกว่า หากทำชั่วมากเกินไป สุดท้ายย่อมนำความพินาศมาสู่ตนเอง”
กล่าวถึงตรงนี้ หลี่หรงเฉิงก็ชะงักทันที
กงซูต้วนทำผิดพลาดนับไม่ถ้วน ความผิดทั้งหมดถูกเจิ้งจวงกงปกปิดไว้ และจบลงโดยไม่ได้ลงโทษเขาเลยแม้แต่น้อย
ต่อมา กงซูต้วนโอหังมากขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็เกิดหายนะที่ไม่อาจหลีกหนีได้ แม้กระทั่งอู่เจียงผู้เป็นมารดาก็ไม่อาจร้องขอความเมตตาให้ได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้เจิ้งจวงกงจึงนำกองกำลังทหารไปจัดการกงซูต้วนในคราวเดียว
ราวกับว่าหลี่หรงอวี่คือเจิ้งจวงกง และหลี่หรงซือคือกงซูต้วน! ไม่สิ บางทีเสด็จพ่อต่างหากคือเจิ้งจวงกง!
หลี่หรงอวี่ยกถ้วยน้ำชาขึ้นแล้วยื่นให้หลี่หรงเฉิง ใบหน้าผุดพรายรอยยิ้มสื่อความนัย “หากทำชั่วมากเกินไป สุดท้ายย่อมนำความพินาศมาสู่ตัวเอง”
หลี่หรงเฉิงเพิ่งรู้สึกว่านี่แหละคือความน่ากลัวอย่างแท้จริง เป็นไปได้หรือไม่ว่าความโปรดปรานของฮ่องเต้ต่อหลี่หรงซือและจางกุ้ยเฟยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเป็นของปลอม? หรือหลังจากนี้จะมีเพียง ‘หากทำชั่วมากเกินไป สุดท้ายย่อมนำความพินาศมาสู่ตัวเอง’ ?
“เหตุใดเสด็จพ่อจึงต้องสังหารบุตรรักด้วยเล่า?”
เขาอดไม่ได้ที่จะตกใจ
จางซือไน่คือสตรีผู้สูงศักดิ์ นางมาจากเมืองชายแดนยูนนาน ครอบครัวของมารดานางเป็นจวินโหวมาหลายชั่วอายุคน ยิ่งไปกว่านั้น ลูกพี่ลูกน้องของนางคือมู่เซิงเฟิงแห่งสกุลจากยูนนาน
หลังจากที่หลี่หรงเฉิงได้ยินและเข้าใจเรื่องนี้ เขาก็รู้สึกว่าร่างของตนกำลังอาบไปด้วยเหงื่อ
ราชวงศ์เป็นสถานที่ที่น่ากลัวมากจริง ๆ!
ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจางกุ้ยเฟยจึงเย่อหยิ่งโอหังมานานหลายปีได้ ถึงขนาดที่ไม่เห็นฮองเฮาอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะก่อความผิดหลายครั้ง ฮ่องเต้ก็ไม่เคยลงโทษนาง เพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาท นางจึงลงมือวางยาเอาชีวิตไทเฮา!
อาจกล่าวได้ว่า หลี่หรงซือกำลังก่อความผิดพลาดครั้งใหญ่ คราวนี้เป็นการใส่ร้ายป้ายสีองค์รัชทายาทงั้นหรือ?
“ใส่ร้ายองค์รัชทายาทยังไม่นับเป็นความหายนะ” หลี่หรงอวี่ตรัส
หลี่หรงเฉิงเยาะเย้ย “ใช่ องค์ชายสี่ใส่ร้ายองค์รัชทายาท หลักฐานแน่นหนา แต่แค่ยังไม่ได้พูดว่า ‘ข้าอยากเป็นองค์รัชทายาท’ ออกมาแค่นั้นเอง แม้ว่าท่านพี่จะถูกใส่ร้าย แต่สุดท้ายความจริงย่อมปรากฏ เสด็จพ่อคงลงโทษเพียงเล็กน้อย ไม่แยกแยะถูกผิด แต่การที่จะสวมหมวกใบใหญ่ให้องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์ ผู้เป็นกองกำลังสนับสนุนเบื้องหลังของตน เสด็จพ่อย่อมต้องแยกแยะถูกผิด”
“และที่สำคัญที่สุด เรื่องนี้สกุลมู่แห่งยูนนานไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย เสด็จพ่อให้ความสนใจกับสกุลมู่ที่สุดแล้ว” หลี่หรงอวี่ตรัส
“เสด็จพ่ออดทนมาหลายปี ที่แท้แสร้งทำเป็นชื่นชอบสกุลจางกับองค์ชายสี่หรือ?” หลี่หรงเฉิงเนื้อตัวสั่นเทา “ท่านพี่รอง ในอนาคตท่านจะกลายเป็นฮ่องเต้เช่นนี้หรือไม่?”
หลี่หรงอวี่ชะงัก “อย่างไร?”
“เอาบุตรชายของตัวเองเป็นเดิมพัน เพื่อดุลอำนาจของตัวเองกับบุตรชาย ถึงต้องทำให้พี่น้องฆ่ากันเอง!” หลี่หรงเฉิงตรัสเสียงกึกก้อง
หลี่หรงอวี่เงียบ
หลี่หรงเฉิงคาดหวังให้เขาส่ายหน้า ทว่าเขาไม่ได้ทำ
สุดท้ายหลี่หลงเฉิงจึงยิ้มออกมา “ข้ารู้อยู่แล้ว ท่านพี่รอง ท่านจะไม่มีวันเป็นคนแบบนั้น”
หลี่หรงอวี่ได้ยินแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เจ้าแน่ใจหรือ?”
“ข้าเป็นคนโง่” หลี่หรงเฉิงตรัส “ส่วนท่านพี่รอง ท่านฉลาดมาโดยตลอด ท่านแตกฉานทุกเรื่องราว มองเห็นทุกเรื่องทะลุปรุโปร่ง ท่านกับข้ามักจะวิเคราะห์เรื่องราวออก ส่วนใหญ่ล้วนตรงตามที่วิเคราะห์ ท่านไม่มีวันเป็นเช่นเสด็จพ่อได้ ไม่เช่นนั้น วันนี้ท่านคงจะไม่ถูกขังอยู่ในตำหนักแห่งนี้หรอก”
หลี่หรงอวี่รู้สึกฝาดในลำคอ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก ครู่ใหญ่ผ่านไปจึงตรัสว่า “แต่มีบางเวลาที่ข้ากลัวตำแหน่งสูงสุดจริง ๆ ข้ากลัวว่าสุดท้ายข้าจะกลายเป็นอย่างคนที่ข้าเกลียดไปทีละน้อย”
ทั้งคู่คุยกันเช่นนี้มานานแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่หลี่หรงเฉิงเห็นสีหน้าสับสนบนใบหน้าอีกฝ่าย ไม่รู้เหตุใด ในใจของเขารู้กังวลไม่น้อย เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว “ท่านพี่รอง เมื่อไหร่ท่านจะออกไปได้”
“ออกไป?” หลี่หรงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ “ข้ายังออกไปไม่ได้”
“ไม่ใช่ว่าท่านบอกว่านี่เป็นกับดักที่เสด็จพ่อมอบให้องค์ชายสี่หรือ?” หลี่หรงเฉิงถาม
“ไม่” หลี่หรงอวี่ตรัสเสียงเด็ดขาด “เสด็จพ่อต้องการวางกับดักกับสกุลมู่ แต่ครั้งนี้เสด็จพ่อย่อมคาดไม่ถึง”
หลี่หรงเฉิงยังคงงงงวยอยู่บ้าง อาจเป็นเพราะคืนนี้เขาใช้สมองมากเกินไป ตอนนี้พื้นที่สมองของเขาแทบจะไม่พอใช้แล้ว
“อย่างน้อยการที่องค์ชายสี่กับหลี่หงเสวี่ยร่วมมือกัน คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เสด็จพ่ออยากเห็น” หลี่หรงอวี่ตรัสต่อ
ทั้งสองคนคุยกันทั้งคืนโดยไม่รู้ตัว กระทั่งเวลานี้ทิศตะวันออกนอกหน้าต่างเริ่มมีแสงยามเช้าสาดส่องเข้ามาแล้ว
อู๋เกานอนอยู่นอกประตูทั้งคืน เมื่อเขาได้ยินเสียงเคาะบอกเวลา เขาก็ตื่นขึ้นทันที เมื่อมองออกไปข้างนอกก็พบว่าเป็นเวลาที่องครักษ์กำลังเปลี่ยนกะ เขาจึงรีบย่ำเท้าเดินไปที่ประตูแล้วเริ่มเคาะ
หลังจากที่หลี่หรงอวี่ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาก็หยุดพูดแล้วรีบให้องค์ชายแปดออกไปอย่างรวดเร็ว
หลี่หรงเฉิงรีบหยิบเสื้อคลุมสีน้ำตาลออกมาคลุมศีรษะและใบหน้า ทว่าก่อนจากไปก็ยังคงกังวล “ท่านพี่รอง ท่านจะออกไปได้เมื่อไร”
หลี่หรงอวี่ตรัสด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ต้องกังวลมากไป ข้าเกรงว่าเสด็จพ่อจะปวดหัวมากกว่าเจ้าในตอนนี้เสียอีก คงประสงค์จะปล่อยข้าออกไปเร็ว ๆ นี้เช่นกัน”
“หากเสด็จพ่อคิดจะปล่อยท่านออกไป เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว” หลี่หรงเฉิงตอบก่อนจะเตรียมออกไป
หลี่หรงอวี่ชะงักครู่หนึ่ง หยุดน้องชายไว้อีกครั้ง “ชายแปด… หากมีคนถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของข้า บอกนางไปว่าข้าสบายดี ข้าจะได้โล่งใจ”
หลี่หรงเฉิงถาม “ใครจะถามกัน? ข้ากลับไป คนที่ข้าจะบอกก็คงมีแต่มารดาข้า”
หลี่หรงอวี่จึงยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ช่างเถอะ”
อีกด้านหนึ่ง ชุนซิง นางในผู้เป็นสายสอดแนมภายในตำหนักบูรพา เมื่อเห็นว่าโพรงสุนัขถูกคนจับได้แล้ว ก็คาดเดาว่าตัวตนของนางคงถูกเปิดเผย นางจึงรีบหนีออกจากตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว
คิดดูแล้วในเมื่อองค์รัชทายาทยังแก้ปัญหาเรื่องคนข้างกายตนเองไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางในที่หลบหนีออกจากตำหนัก เขาก็คงจะไม่สามารถจัดการได้เช่นกัน
ทว่าชุนซิงไม่มีวิธีลอบหนีออกจากตำหนักตอนกลางดึก หากปะทะกับทหารลาดตระเวนเข้า นางจะทำอย่างไร?
นางไม่กล้าไปหานายท่านเฉินฟู่เซิน นางเต็มใจที่จะโดนลงโทษไปเป็นทาส เฉินฟู่เซินเคยบอกกับนางแล้ว ก่อนองค์รัชทายาทจะถูกปลดจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามไปตำหนักจาวหยางเด็ดขาด
ไม่ว่าจะมีข่าวอะไร ให้ติดต่อคนของหลี่หรงซือที่ตำหนักไท่อี้เท่านั้น
แต่ตอนนี้นางออกมาแล้ว จะสามารถไปตำหนักไท่อี้ได้อย่างไร คนในตำหนักไท่อี้ย่อมไม่ยอมรับสาวใช้ไร้ประโยชน์ง่าย ๆ
ส่วนเฉินฟู่เซินนั้นไม่เหมือนใคร เขามีใจคอโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง! หากเขารู้ว่านางทำงานพลาด นางจะยังมีชีวิตรอดอีกหรือ?
เมื่อนางนึกถึงเฉินฟู่เซิน ผู้เป็นนายท่านของนาง ชุนซิงก็อดสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ นางรู้ความลับหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเฉินฟู่เซิน เขาจะปล่อยนางไปได้อย่างไร
ไม่ได้การแล้ว ต้องรีบออกจากวัง!
ชุนซิงไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ตำหนักจาวหยาง และไม่กล้าเดินเข้าไปใกล้ตำหนักไท่อี้ นางจึงวิ่งไปไกลจนถึงประตูวัง
แน่นอนว่านางไม่มีป้ายคาดเอว นางไม่มีทางออกไปนอกวังได้ เมื่อมาถึงแล้วจึงทำได้เพียงมองไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย
ตำหนักที่อยู่ใกล้กับทางเข้าพระราชวังมากที่สุดคือตำหนักหลินเจียงที่องค์หญิงอากุ้ยลี่อาศัยอยู่
ตำหนักแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่า แต่เป็นตำหนักขนาดเล็กที่ตกแต่งอย่างประณีต เดิมทีเป็นสถานที่สำหรับอาคันตุกะต่างแดน และเพราะอารมณ์ที่ไม่ปกติขององค์หญิงอากุ้ยลี่ องครักษ์รักษาการณ์จึงไม่ได้เข้มงวดกับที่นี่มากนัก
ในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ ชุนซิงต้องซ่อนตัวหลบลมอยู่ใต้ขั้นบันไดทางเข้าตำหนักหลินเจียงเพื่อคิดแผนในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าเหตุใด นางจะต้องหาวิธีติดต่อกับนายท่านให้ได้
ปกติแล้วอากุ้ยลี่จะไม่ตื่นแต่เช้าตรู่ แต่วันนี้นางมีนัดทานมื้อเช้ากับเหยียนอี้ คงต้องบอกว่านางคุ้นชินกับอาหารที่เหยียนอี้ทำเสียแล้ว นางอยากให้เหยียนอี้ทำอาหารเช้ามื้อพิเศษให้พวกนางชาวหุยหูได้รับประทาน
และเนื่องจากองค์รัชทายาทถูกคุมขัง ทำให้ภายในวังไม่มีใครมีกะจิตกะใจพูดถึงงานแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างหุยหูกับอาณาจักรอวี๋ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะสร้างความยินดีให้นางและสร้างความลำบากให้องค์รัชทายาทก็ตาม กระนั้นอากุ้ยลี่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ
ส่วนเหยียนอี้นั้น ก่อนหน้านี้เป็นนางที่คอยปลอบใจอากุ้ยลี่ ทว่าไม่กี่วันที่ผ่านมานางก็หมดแรงไปไม่น้อย
อากุ้ยลี่หยิบขวดหยกใบน้อยพร้อมด้วยปิ่นปักผมมรกตเนื้อเนียนประณีตขึ้นมา วางแผนไปเก็บน้ำค้างฤดูหนาวบนยอดใบไม้ที่หน้าประตู นางอยากนำน้ำค้างมาผสมกับชา
ความจริงแล้วชาวหุยหูทำเรื่องที่ละเอียดอ่อนประณีตเช่นนี้เสียที่ไหน? หากกระหายน้ำก็แค่ดื่มน้ำที่ไหลตรงมาจากเทือกเขาเทียนซาน ใครมันจะมาเก็บน้ำค้างเพียงเล็กน้อยเช่นนี้?
ทว่าตั้งแต่รู้จักกับเหยียนอี้ อากุ้ยลี่ก็เพิ่งรู้ว่าอาหารจานเล็ก ๆ เหล่านั้นต้องผ่านขั้นตอนอันพิถีพิถันมากมาย ภายในพระราชวังแห่งนี้ อาหารการกินของพวกเขาซับซ้อนกว่าชาวหุยหูมากแค่ไหนกัน?
นางอยากทำอะไรให้เหยียนอี้ทานบ้าง ถือว่าได้เรียนรู้วิถีชีวิตของชาวอวี๋ไปด้วย
เพียงแต่อากุ้ยลี่ไม่รู้วิธีการทำอาหารแม้แต่น้อย นางมีแค่ใจเท่านั้น หากถึงเวลาจุดไฟขึ้นมา เกรงว่าคงเป็นเหยียนอี้ที่จะเป็นคนลงมือทำ
อากุ้ยลี่เปิดปากหาว ดึงอาเหมียนต้าที่เพิ่งตื่นนอนออกมาด้วยกัน ทันทีที่นางเดินออกจากประตูตำหนัก นางก็เห็นชุนซิงซุกตัวอยู่ใต้ขั้นบันได
“อ้าว เหตุใดมีคนอยู่ที่นี่ล่ะ” อาเหมียนต้าตะโกนเสียงดัง
“วันนี้อากาศหนาวเหน็บยิ่งนัก นางจะไม่หนาวตายใช่ไหม” อากุ้ยลี่มองชุนซิง กระนั้นก็ไม่กล้าเข้าใกล้
แต่ชุนซิงได้ยินเสียงก็ตื่นขึ้นมานานแล้ว
แท้จริงแล้วนางรู้วรยุทธ์ เสื้อผ้าของนางที่สวมใส่ก็ไม่บางแม้อากาศจะหนาว นางจึงมั่นใจว่าจะไม่แข็งตายแน่นอน
นางถือโอกาสแสร้งทำเป็นหลับ ปล่อยให้อาเหมียนต้ากับอากุ้ยลี่พานางกลับไปที่ตำหนักหลินเจียง
ชุนซิงเห็นว่านี่เป็นความคิดที่ดี องค์หญิงอากุ้ยลี่ผู้นี้คือสตรีสูงศักดิ์แห่งหุยหู ไม่ใช่สมาชิกราชวงศ์อาณาจักรอวี๋ นางอยู่ที่นี่คงดีกว่ากลับไปตายที่ตำหนักบูรพาหลายเท่านัก
ตำหนักบูรพานั้นเข้าแล้วไม่สามารถออกได้ ก่อนหน้านี้นางเป็นทาสอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน ป้ายรายชื่อจึงยังไม่ได้ถูกส่งไปที่ตำหนักบูรพา
เหตุใดนางไม่ลองขอร้องให้องค์หญิงอากุ้ยลี่เอาป้ายชื่อของนางมา จากนั้นค่อยขอร้องที่จะขออยู่ที่นี่ชั่วคราวก่อนเล่า?