ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 124 แหสวรรค์ตาข่ายปฐพี
บทที่ 124 แหสวรรค์ตาข่ายปฐพี
บทที่ 124 แหสวรรค์ตาข่ายปฐพี
หลี่หรงอวี่เดิมทีที่กำลังหัวเราะก็ถึงกับชะงัก “ชายแปด โธ่…ชายแปด เจ้าไม่เข้าใจเหตุการณ์ตอนนี้ได้อย่างไร เจ้าเสี่ยงอันตรายมาที่นี่ตอนกลางคืน โง่เขลาจริง ๆ กลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลี่หรงเฉิงใช้อุบายเป็นคนพาลทันที “ข้าไม่ไป กว่าข้าจะเข้ามาถึงที่นี่ได้ไม่ง่ายเลย ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้อีก ด้านนอกมีองครักษ์เฝ้ามากมาย ข้าจะออกไปได้อย่างไร?”
หลี่หรงอวี่มองออกไปด้านนอก เป็นเพราะพวกองค์รักษ์เพิ่งพลาดจับคนร้าย ถูกอู๋เกาฉีกหน้า ตอนนี้จึงเพิ่มความระมัดระวัง ป้องกันตำหนักอย่างเข้มงวด ไม่กล้าแม้แต่จะผล็อยหลับ
หลี่หรงอวี่แน่ใจแล้วว่าน้องชายคงออกไปไม่ได้จริง ๆ จึงตรัสว่า “เช่นนั้นเจ้าก็ต้องรอจนถึงเช้าแล้วค่อยออกไปอีกครั้ง โพรงสุนัขถูกองครักษ์เฝ้ามากมาย เกรงว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะหาคนมาซ่อม เจ้าต้องหาทางฉวยโอกาสปีนกำแพงออกไป”
หลี่หรงเฉิงตอบรับเห็นด้วย หลี่หรงอวี่เห็นว่าใบหน้าน้องชายเป็นสีเขียวม่วง มุมปากแตก ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วโยนกล่องยาส่งให้เขา
หลี่หรงเฉิงไม่ค่อยได้ใช้กล่องยาเหล่านี้บ่อยนัก เขาจึงละเลงยาไปทั่วใบหน้า
เมื่อเห็นหลี่หรงอวี่กลับมาที่โต๊ะเพื่ออ่านหนังสือตามปกติ เขาก็พึมพำว่า “ท่านพี่รอง สถานการณ์มาถึงขั้นนี้ เหตุได้ท่านยังมีใจอ่านหนังสืออีก”
“หืม? อะไรคือขั้นนี้” หลี่หรงอวี่ถาม
“ข้าหมายถึง ที่ท่านถูกกักขังไว้ในที่แห่งนี้ ข้ากับมารดาของข้าอยู่ด้านนอกยังร้อนใจไปหมด แต่เหตุใดท่านยังสงบเช่นนี้” หลี่หรงเฉิงอดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นแล้วถาม
หลี่หรงอวี่วางหนังสือลง “เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไรดี ทำเช่นเจ้าน่ะหรือ วิ่งไปมารอบตำหนัก หรือจะให้ข้าลอดโพรงสุนัขจนเกือบถูกจับได้อย่างเจ้า?”
“ท่านเป็นองค์รัชทายาทผู้สง่างาม ท่านจะลอด… ลอดโพรงสุนัขได้อย่างไร”หลี่หรงเฉิงชักละอายใจเมื่อพูดถึงรูสุนัข จึงตรัสเสียงเบา
“ชายแปด เพราะว่าข้าคือองค์รัชทายาท ข้าจึงต้องไตร่ตรอง ไม่สามารถทำให้ทุกอย่างยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ได้ ไม่เช่นนั้นคงยากที่จะแก้ไข” หลี่หรงอวี่ตรัส
“ตอนนี้ยังยุ่งวุ่นวายไม่พออีกหรือ?” หลี่หรงเฉิงถาม
“ข้างนอกยุ่งวุ่นวายแต่ยังวุ่นวายไม่พออย่างไร ข้าก็เงียบแต่เงียบไม่พออย่างนั้น” หลี่หรงอวี่ตรัสต่อ
“ท่านพี่รอง เดี๋ยวนี้ชอบพูดจาวกวนนัก” หลี่หรงเฉิงตรัสอย่างขุ่นเคือง
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไร” หลี่หรงอวี่ไขข้อข้องใจ
“ท่านคิดวิธีแก้ปัญหาออกหรือยัง?” หลี่หรงเฉิงถาม
หลี่หรงอวี่ส่ายหน้าเล็กน้อย ปลุกความหวังขึ้นมาก่อนจะดับลงในพริบตา
“หลี่หรงซือทอแหสวรรค์ตาข่ายปฐพี*[1] เตรียมแผนการพร้อมทุกอย่าง ตอนนี้ข้าติดอยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่คนข้างกายที่สามารถรักษาไว้ได้ ข้ายังทำอะไรได้อีก?” หลี่หรงอวี่ตรัส
“ฮึ่ม! องค์ชายสี่ เจ้าลูก…” หลี่หรงเฉิงกำลังจะก่นด่า แต่เป้าหมายที่เขากำลังจะด่าคือพี่ชายต่างมารดา แม้ว่าพี่ชายคนนี้ของเขาจะไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันฉันท์พี่น้องมากมายนัก แต่คำบางคำก็ด่าออกไปไม่ได้
“ว่าแล้วก็ช่างแปลกนัก ถึงแม้องค์ชายสี่จะมีแผนลึกล้ำเพียงใด แต่แผนการล้วนรอบคอบระมัดระวังมาตลอด แม้ข้าจะไม่รู้ว่าปีที่แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็เถอะ แต่นี่มันไม่เหมือนเขาเลย” หลี่หรงเฉิงพึมพำ
หลี่หรงอวี่พยักหน้าด้วยความโล่งใจ “ชายแปด เจ้ายังนับได้ว่าไม่ได้โง่เกินไป”
“ข้ากลายเป็นคนโง่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หลี่หรงเฉิงแย้งอย่างไม่พอใจ แต่แน่นอนเรื่องนี้เขาไม่อยากคุยกับผู้เป็นพี่ชาย เขาจึงตรัสว่า “ท่านพี่รอง ท่านคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่องค์ชายสี่สามารถทำได้เพียงลำพังใช่ไหม ?”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไรมากนัก ปล่อยให้หลี่หรงเฉิงวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไป
หลี่หรงเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตรัสว่า “หากองค์ชายสี่รู้เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของท่านที่วัดหอกเหล็ก มองจากอุปนิสัยของเขา เหตุใดถึงเพิ่งมาซักถามเอาตอนนี้”
“แสดงว่าตอนนั้นเขายังไม่มีหลักฐาน แต่เหตุใดจู่ ๆ ถึงมีหลักฐานกะทันหันขึ้นมา? ยิ่งไปกว่านั้นยังพูดถึงคดีเก่าอย่างอ๋องหย่ง เกรงว่าแม้แต่ท่านยังไม่รู้ด้วยซ้ำ? เขารู้ได้ชัดเจนขนาดนี้ได้อย่างไร?”
หลี่หรงอวี่พยักหน้าด้วยความชื่นชมในความฉลาดของน้องชาย ก่อนจะตอบไปว่า
“ยังมีอีกกรณีหนึ่ง คือสายสอดแนมที่หลี่หงเสวี่ยส่งเข้ามาในพระราชวัง เรื่องนั้นข้าได้ตรวจสอบตั้งแต่วันที่ข้ากลับมาจากที่นาราชสำนัก ทว่าตรวจสอบไม่พบเบาะแสอะไร เหตุใดหลี่หรงซือจึงตรวจสอบพบ เขารอบคอบถึงขนาดซุกซ่อนคนกระทำผิดหรือ?”
“ใช่ ใช่!” หลี่หรงเฉิงอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำคาดเดาของหลี่หรงอวี่
“เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ในเมื่อปะปนเข้ามาในพระราชวังมานานหลายปี หากบังเอิญจับได้สักหนึ่งหรือสองคนก็แล้วไป แต่เขากลับจับได้เป็นจำนวนมากในครั้งเดียวได้อย่างไร จะมีความสามารถขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“หรือว่าพระราชวังอาณาจักรอวี๋ของข้าตกเป็นเป้าหมายของหลี่หงเสวี่ยไปแล้ว แต่หากเขามีความสามารถเช่นนี้ ก็คงไม่ต้องหนีไปอยู่ด้านนอกหลายปี!”
หลี่หรงอวี่ตรัสไปยิ้มไป “ตอนนี้ชายแปดเติบโตขึ้นมากแล้ว วิเคราะห์เรื่องราวมาถึงขนาดนี้ มาถูกทางแล้ว”
หลี่หรงเฉิงรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อยเมื่อได้รับคำชม แต่เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ยังคิดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงถามว่า
“ท่านพี่รอง ที่ท่านว่ามาคือองค์ชายสี่ติดต่อกับคนส่งสารของหลี่หงเสวี่ยใช่หรือไม่ นอกจากคนในกลุ่มกบฏ ใครเล่าจะรู้ข้อมูลรายละเอียดมากมาย เขาก็ไม่ต่างจากกบฏหรอก โจรไล่จับโจรชัด ๆ!”
หลี่หรงอวี่ส่ายหัว “ไม่หรอก หากเขาสมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏ เขาควรช่วยพวกกบฏส่งสายสอดแนมเข้ามาในพระราชวังมากกว่านี้ เหตุใดเขาจึงจับตัวสายสอดแนมทั้งหมดแล้วทูลต่อหน้าเสด็จพ่อแทนเล่า?”
“นั่นเป็นเพราะเขาอยากจะล้มท่าน!” หลี่หรงเฉิงตรัส “หากล้มองค์รัชทายาทตำหนักบูรพาได้ เสียสละหมากตัวเล็ก ๆ ไม่กี่ตัวจะเป็นอะไรไป”
ทว่าหลี่หรงอวี่กลับตรัสว่า “ย้อนถึงคำพูดของเจ้า แน่นอนว่าถึงแม้ตำแหน่งองค์ชายสี่จะไม่มีปัญหา แต่กลับกัน หลี่หงเสวี่ย เพื่อล้มข้าต้องเสียหมากที่ตัวเองอุตส่าห์ฝึกฝนมาหรือ? ข้าที่เป็นองค์รัชทายาทกับองค์ชายสี่ อะไรคือความแตกต่างสำหรับเขาเล่า?”
“มีการปะทะกันระหว่างพวกเขาหรือ?” หลี่หรงเฉิงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างไม่แน่ใจ
“นั่นเป็นเพราะคนที่บอกข้อมูลองค์ชายสี่นั้นไม่เห็นด้วยกับแผนการของหลี่หงเสวี่ย อีกอย่าง คงเพราะคนผู้นั้นไม่อยากให้หลี่หงเสวี่ยจ้องมาเล่นงานที่ตัวเองกระมัง” หลี่หรงอวี่วิเคราะห์
“ขัดผลประโยชน์ภายใน!” หลี่หรงเฉิงพูดอย่างโกรธเคือง “ขัดผลประโยชน์ภายใน! นี่มันเรื่องใหญ่แล้ว! หลี่หรงซือกลัวว่าจะถูกเปิดเผย เขาจึงชิงจัดการก่อน สุดท้ายก็เทหม้อสกปรกใบนี้ใส่หัวพวกเรา!”
“เรื่องราวคงไม่ได้เลวร้ายเช่นนั้นหรอก” ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่หรงอวี่ไม่ได้อารมณ์แปรปวนคล้ายกับหลี่หรงเฉิง ชายหนุ่มตรัสราวกับไม่สนใจอะไร
บุคลิกที่เป็นเช่นนี้ทำให้หลี่หรงเฉิงอดหงุดหงิดใจไม่ได้
“ท่านพี่รอง ท่านไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเลยหรือ?” หลี่หรงเฉิงถาม
“ความปลอดภัย?” หลี่หรงอวี่ทวนคำถามด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ข้าอยู่ในตำหนักบูรพายังจะมีอันตรายอะไรอีก?”
“เขากักขังท่านไว้ในตำหนักแห่งนี้ ยังจะบอกว่าไม่เป็นอันตราย? เช่นนั้นต้องรอให้โดนปลดตำแหน่งผู้สืบทอดก่อนหรืออย่างไร ท่านถึงจะตื่นตัว” หลี่หรงเฉิงตรัส
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าเสด็จพ่อต้องการให้องค์ชายสี่นั่งบนบัลลังก์?” หลี่หรงอวี่ถาม
“ไม่ใช่หรือ?” หลี่หรงเฉิงตอบ
“เสด็จพ่อเคยทรงโปรดปรานจางกุ้ยเฟย ถึงแม้นางจะวางยาสังหารไทเฮา แต่ยังทรงไว้ชีวิตนาง ได้ยินมาว่าเมื่อสองวันก่อน เสด็จพ่อยังแอบไปพบจางกุ้ยเฟย หากไม่ใช่ว่าไทเฮามีท่าทีไม่ยินยอม เกรงว่าสกุลจางจะกลับมายิ่งใหญ่ดังเดิมแล้ว!”
“ถึงแม้วันนี้สกุลจางจะยังอยู่ในตำแหน่งเดิม เสด็จพ่อก็ยังประสงค์ให้องค์ชายสี่นั่งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทหรือ?”หลี่หรงอวี่ยังคงถามหลี่หรงเฉิง
“ตั้งแต่เล็กจนโต คนที่เสด็จพ่อโปรดปรานที่สุดคือองค์ชายสี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เขากิน เครื่องนุ่งห่มที่เขาใส่ ไฉนเลยจะต่างกับท่านที่เป็นองค์ชายรัชทายาท?”
หลี่หรงเฉิงตรัสต่ออีกว่า “ท่านพี่รอง ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพราะข้าอิจฉาองค์ชายสี่ เพียงแต่เรื่องที่องค์ชายสี่ยโสโอหัง มันไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง!”
“องค์ชายสี่ยังไม่ได้แต่งพระชายา แต่ในตำหนักก็เลี้ยงอนุภรรยากับสาวใช้ข้างห้องไว้นับสิบ ๆ คน หากข้าทำเรื่องเช่นนี้บ้าง ข้าคงต้องถูกตำหนิอย่างรุนแรง แล้วเสด็จพ่อล่ะ?”
“เสด็จพ่อไม่เพียงไม่ตำหนิเขา แต่ยังพระราชทานเหล่าสาวใช้ อนุภรรยาให้เขา ทำให้เขาเลื่องลือโจษจันว่าหลงในบุปผา”
หลี่หรงอวี่จึงถามใหม่ว่า “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อฆ่าเขาทางอ้อมเช่นนี้ ยังอยากให้เขาเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งโอรสสวรรค์จริงหรือ?”
“หา?” หลี่หรงเฉิงประหลาดใจ
หลี่หรงอวี่จึงอธิบาย “เสด็จพ่อทำเช่นนี้ย่อมมีเหตุผล แม้ว่าจะเกินความคาดหมายของข้า แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไป”
“นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหรือ? ท่านพี่รอง ท่านอย่าพูดจาวกวนกับข้าอีกเลย รีบบอกมาเร็วเข้า” หลี่หรงเฉิงขอร้อง
แต่จู่ ๆ หลี่หรงอวี่ก็หัวเราะออกมา “ชายแปด วันนี้เจ้ายังต้องขอบคุณข้า”
หลี่หรงเฉิงไม่เข้าใจ “ขอบคุณท่าน? ขอบคุณท่านที่ให้อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่มีอิสระ? ทำให้คนร้ายลอยนวลอยู่ข้างนอกน่ะหรือ?”
หลี่หรงอวี่ตรัสต่อด้วยรอยยิ้ม “อย่างน้อยสิ่งที่เจ้ากังวลมากที่สุดนั้น ตอนนี้เสด็จพ่อไม่มีเวลาว่างจัดการแล้ว”
หลี่หรงเฉิงถามอย่างงุนงง “สิ่งที่ข้ากังวลใจที่สุด?”
หลี่หรงอวี่ขยิบตาอย่างนึกสนุก “เจ้าไม่ต้องแต่งงานกับองค์หญิงหุยหูรูปงามดั่งบุปผาหยกแล้วอย่างไรล่ะ?”
หลี่หรงเฉิงตระหนักได้ว่า หากวันนั้นองค์ชายสี่ไม่กล่าวหาหลี่หรงอวี่จนต้องถูกคุมขัง เกรงว่าวันนั้นจะเป็นการประกาศพระราชโองการอภิเษกสมรสของหลี่หรงเฉิงกับองค์หญิงอากุ้ยลี่แล้ว
“เรื่องนี้จะนับเป็นอะไรได้ ท่านพี่รอง หากเป็นเพราะเช่นนั้นทำให้ท่านต้องเสียตำแหน่งองค์รัชทายาท ข้ายอมแต่งกับคนเป็นพันคน อากุ้ยลี่หมื่นคนดีกว่า” หลี่หรงเฉิงส่ายหัว
เมื่อได้ยินประโยคนี้หลี่หรงอวี่ก็ประทับใจเล็กน้อย เขายิ้มออกมา “องค์หญิงอากุ้ยลี่งามล่มเมือง แต่กลับบอกว่าเหมือนสัตว์ดุร้าย เช่นนั้นสตรีใต้หล้านี้ ขอแค่ไม่ใช่เหยียนจื่อ ทุกคนในสายตาเจ้าล้วนคือสัตว์ดุร้ายหรือ?”
หลี่หรงเฉิงตอบอย่างโกรธเคือง “แต่ตอนนี้สัตว์ดุร้ายตัวจริงกำลังจ้องเล่นงานท่าน องค์ชายรอง!”
หลี่หรงอวี่พยักหน้า แม้ว่าเขาจะพยายามบอกหลี่หรงเฉิงไม่ให้ประมาท เพราะฝ่ายนั้นเบื้องหน้ามักแสดงความไม่มีพิษไม่มีภัยออกมา แต่หลี่หรงซือก็คือสัตว์ดุร้ายตัวจริง
“หากคนผู้นั้นครองครองตำแหน่งผู้สืบทอดตำแหน่งโอรสสวรรค์ ความปลอดภัยของท่านกับข้าจะลดลง ท่านพี่ก็เคยบอกว่ามีโอกาสมากมายที่เขา อ๋องหย่ง และหลี่หงเสวี่ยจะร่วมมือกัน ไหนจะ… ยึดครองอาณาจักรเรา หลังจากนี้ใต้หล้าจะตกอยู่ในมือของใครกัน แผ่นดินของเสด็จพ่อจะไม่เปลี่ยนมือใช่หรือไม่” หลี่หรงเฉิงตรัสด้วยความกังวล
“เป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ ไม่ใช่เรื่องที่ดี” หลี่หรงอวี่ตอบ
“เหอะ หากเป็นตามที่ท่านพูด ข้าที่ถูกเสด็จพ่อทิ้งตั้งแต่เล็กนี่นับว่าดีตรงไหน” หลี่หรงเฉิงทำหน้าบึ้ง
“เจ้าคิดว่าระหว่างเจ้ากับชายสี่ ใครดีกว่ากัน” หลี่หรงอวี่ถาม
หลี่หรงเฉิงจึงจับขอบคอปกฉลองพระองค์ของตนเอง แล้วตรัสว่า “ท่านถามแบบนี้ ไม่ใช่ว่าให้ข้าโอ้อวดตัวเองหรือ”
[1] แหสวรรค์ตาข่ายปฐพี เปรียบถึงการล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างแน่นหนา