ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 123 ทุบตีองค์ชายแปด
บทที่ 123 ทุบตีองค์ชายแปด
บทที่ 123 ทุบตีองค์ชายแปด
องครักษ์รักษาการณ์ในวังมีหน้าที่รักษาความมั่นคงของวัง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นที่พึ่งของฮ่องเต้ แต่ถึงอย่างไรก็แตกต่างจากผู้ถือกำเนิดจากสกุลสูงศักดิ์อย่างองครักษ์ส่วนพระองค์ หรือที่เรียกว่า ‘องครักษ์จินเว่ย’ ตั้งแต่ไหนแต่ไรพวกเขาถูกกดหัวมาตลอด
เหตุผลที่องครักษ์จินเว่ยเป็นที่นิยมเป็นเพราะเกิดในสกุลขุนนาง แต่พวกเขาเป็นทหาร ไต่เต้ามาจากกองทัพ ใช้ดาบและหอกมาจริงกว่าจะมานั่งตำแหน่งนี้ได้
อู๋เกาที่ทำให้องครักษ์รักษาการณ์ต้องอับอายในที่สาธารณะ ทั้งยังเชิดชูองครักษ์จินเว่ยเช่นนี้ พวกเขาจะยินดีได้อย่างไร?
หัวหน้าองครักษ์แสดงสีหน้าเย็นชาโดยพลัน “พวกเราองครักษ์ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้ปกป้องตำหนักบูรพา เกรงว่าขันทีอู๋เกาอยากเปลี่ยนก็ไม่อาจเปลี่ยนได้”
องครักษ์รักษาการณ์ที่อยู่ข้างหลังเขายังกล่าวด้วยว่า “คนที่ปฏิบัติรับใช้องค์ชายรัชทายาทล้วนถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว ขนาดนางในอาวุโสลั่วอิ๋งยังปกป้องไว้ไม่ได้ ท่านช่างหน้าใหญ่ใจโตมาหาเรื่ององครักษ์รักษาการณ์”
อู๋เกาตบหน้าเขาทันทีจนเกิดเสียงดัง ‘เพี๊ยะ’ แต่องครักษ์ยังคงไม่ยอมรับ อู๋เกาจึงเหลือบตามองหัวหน้าองครักษ์อย่างแฝงนัย
หัวหน้าองครักษ์หัวเราะ รีบดึงองครักษ์ผู้เคราะห์ร้ายไปทางด้านหลังแล้วกล่าวว่า “ไอ้หนูนี่เพิ่งมาใหม่ ไม่เข้าใจเรื่องราว ขันทีอู๋เกาอย่าโกรธเขาเลย”
ระหว่างที่พวกเขาต่อบทสนทนากัน หลี่หรงเฉิงก็เพิ่งถึงบางอ้อ คนที่เขาต่อสู้ด้วยแท้จริงแล้วคืออู๋เกา แต่เขาเข้ามาทางโพรงสุนัข ไฉนเลยจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าองครักษ์รักษาการณ์ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงหลบอยู่ หวังว่าคงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขา จากนั้นก็คอยฉวยโอกาสตอนที่องครักษ์ไม่ได้เตรียมพร้อมแอบหนีไป
หลี่หรงเฉิงกลัวมาตลอดว่าองค์รักษ์พวกนี้จะมาเจอ เขาได้แต่ภาวนาว่าไม่ให้มีใครเห็น จนกระทั่งหัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์ชี้มาที่เขา “ขันทีอู๋เกา ไม่รู้ว่าผู้ใดขวัญกล้าลอบเข้าตำหนักกลางดึก ข้าจะเอามันไปตรวจสอบซักถามให้แน่ใจ”
พูดจบ หัวหน้าองครักษ์รักษาการณ์ก็เดินไปยกกระสอบที่หลี่หรงเฉิงอยู่ในนั้นขึ้นมา
ทว่าอู๋เกากลับคว้ามือของหัวหน้าองครักษ์เอาไว้ “ในเมื่อเรื่องนี้เป็นปัญหาขององค์รัชทายาท เช่นนั้นก็ส่งให้องค์รัชทายาทเป็นคนจัดการเถอะ”
หัวหน้าองครักษ์กล่าวว่า “ตอนนี้พวกเราปกป้องตำหนักบูรพา นี่เป็นเรื่องของพวกเราองครักษ์ จะไปรบกวนองค์รัชทายาทให้ตรวจสอบได้อย่างไร ดึกดื่นเช่นนี้ องค์รัชทายาทคงจะบรรทมไปแล้ว…”
“องค์ชายรัชทายาทจะบรรทมหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่พวกเจ้าองครักษ์นอกตำแหน่งควรรู้” อู๋เกากล่าวอย่างเคร่งขรึม ทว่าเมื่อเห็นหัวหน้าองค์รักษ์แสดงกิริยาแข็งทื่อออกมา เขาจึงรีบพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า “หัวหน้าองครักษ์ นี่ข้าทำเพื่อเจ้านะ”
“เพื่อข้า?” หัวหน้าองครักษ์ถามด้วยความสงสัย
“เจ้าดูสิ คืนนี้เป็นเวรของพวกเจ้า หลายวันมานี้ไม่มีเรื่องใด แต่เวลานี้เกิดเรื่องขึ้นแล้ว หากเจ้าพาคนกลับไปที่กองบัญชาการองครักษ์ มันจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่หรือ หากองครักษ์หน่วยอื่นรู้ว่ามีคนร้ายอยู่ในตำหนักบูรพา เจ้าจะรักษาหน้าไว้ได้อย่างไร?” อู๋เกากล่าว
หัวหน้าองครักษ์นึกตามคำพูดดังกล่าว แต่สาเหตุที่เขาจะรีบพาตัวผู้ร้ายไป ไม่ใช่ว่ากลัวอู๋เกาไปกราบทูลองค์รัชทายาทว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคุ้มกันตำหนักหละหลวมหรือ?
เมื่อเห็นว่าเขายังไม่เข้าใจ อู๋เกาจึงกล่าวต่อ “องค์รัชทายาทยังถูกคุมขังอยู่ในตำหนัก เหตุใดจึงต้องออกมาจัดการกับความผิดพลาดของหัวหน้าองครักษ์ด้วยเล่า?”
“เดี๋ยวอีกไม่กี่ราตรี ฝ่าบาทก็คงกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้แล้ว หากจำได้ว่าหัวหน้าองครักษ์ทำหน้าที่นี้อย่างระมัดระวัง และปูนบำเหน็จให้เพราะได้ช่วยเหลือข้าจับคนร้าย พระองค์จะจำว่าเจ้าทำพลาดได้อย่างไร”
ทันใดนั้นหัวหน้าองครักษ์ก็คิดขึ้นได้ รีบกล่าวกับอู๋เกาทันที “เช่นนั้นต้องขอขอบคุณท่านที่กล่าวชมพวกเราต่อหน้าพระพักตร์”
อู๋เกายิ้มออกมาจนได้ “เป็นเรื่องปกติน่า”
ทั้งสองคนจึงไม่พูดให้มากความอีก อู๋เกาจับ ‘คนร้าย’ ลากเข้าไปในห้องรับรองตำหนักบูรพา
หลี่หรงเฉิงอยากรีบหลบจากสายตาองครักษ์ให้พ้น ๆ แต่เขาอยากเจอองค์รัชทายาทโดยด่วน จะต่อต้านได้อย่างไร?
พอหลี่หรงเฉิงยืนขึ้นจากพื้นเต็มความสูง อู๋เกาเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า คนผู้นี้ผอมสูง แต่ละก้าวมีพละกำลังแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้ชาย แล้วนางในชุนซิงที่เขารอตะครุบอยู่ที่ไหนกัน?
อู๋เกาประหลาดใจที่คนร้ายติดตามเขาอย่างเชื่อฟัง ต่อให้อู๋เกาเดินช้า คนร้ายกลับใช้ร่างกระแทกผลักให้อู๋เกาเดินเร็วขึ้น
ครั้นมองดูทั้งสองเดินไปไกล องครักษ์ที่เคยหยาบคายมาก่อนหน้านี้ถามหัวหน้าองครักษ์ของเขาว่า “นายท่าน ตอนนี้องค์รัชทายาทเป็นผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าพระราชวังรวมถึงใต้หล้าตกอยู่ในมือขององค์ชายสี่แล้วหรือ เหตุใดเราต้องกล้ำกลืนฝืนทนเคารพพวกเขาด้วย?”
หัวหน้าทหารองครักษ์จ้องมาที่คนพูด หัวเราะหยัน “ใต้หล้าขององค์ชายสี่?” เขาเหลือบมองคนใต้บัญชา โบกมือให้เหล่าพี่น้องทั้งหมดมารวมกันก่อนจะกระซิบเสียงต่ำ ”หากพวกเจ้ายังอยากร่ำรวยเลื่อนตำแหน่งก็จับตาดูตำแหน่งในตำหนักบูรพาดี ๆ จะได้ตาสว่างเสียที!”
องครักษ์คนนั้นถามอย่างไม่เข้าใจ “เพราะเหตุใดหรือ?”
หัวหน้าองครักษ์เหวี่ยงมือตบหลังคอของเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าทหารใหม่! เจ้าไม่มีตาหรืออย่างไร! เจ้าเชื่อจริง ๆ หรือว่าองค์ชายรัชทายาทถูกโค่น ใต้หล้านี้จะเป็นขององค์ชายสี่งั้นเรอะ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ประจบประแจงองค์ชายสี่ ยังไม่สู้ประจบประแจงองค์ชายใหญ่!”
องครักษ์เกาศีรษะ “องค์ชายใหญ่ องค์ชายใหญ่เป็นเพียงกระปุกยา อีกทั้งยังเป็นบุตรสนม เขาจะสืบทอดตำแหน่งโอรสสวรรค์ได้อย่างไร?”
หัวหน้าองครักษ์รู้สึกว่าเขากำลังพูดกับคนโง่ อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวอย่างหงุดหงิดใจ
“บุตรสนม? ในพระราชวังแห่งนี้ยกเว้นผู้ถูกคุมขังตรงนี้ล้วนเกิดจากสนม ยังต้องเปรียบใครสูงศักดิ์กว่าด้วยหรือ? ช่างเถอะ ในพระราชวังแห่งนี้มีความลับมากมาย บอกไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจก็ก้มหน้า! แล้วหุบปาก ปิดหูปิดตาเสียเถอะ!”
“เจ้ารู้สึกว่าการที่เจ้าได้เป็นองครักษ์คือตำแหน่งอันทรงเกียรติของลูกหลานแล้วรึ! ข้าจะบอกเจ้าให้ ในพระราชวังแห่งนี้แม้แต่เซินฮวงเหมินก็เป็นเพียงข้ารับใช้ราชวงศ์!”
หัวหน้าองครักษ์กล่าวถึง ‘เซินฮวงเหมิน’ แน่นอนว่าคำกล่าวนี้หมายถึงเฉินฟู่เซิน
ทุกวันนี้ เขาโด่งดังที่สุดจากบรรดาองครักษ์ภายในวัง
นับตั้งแต่ที่เขาได้รับความชื่นชมจากฮองเฮา เฉินฟู่เซินเป็นองครักษ์จินเว่ยที่เลื่อนลำดับจากองครักษ์จินเว่ยตัวเล็ก ๆ ไปเป็นหัวหน้าองครักษ์จินเว่ย ฮวงเหมินหลางเว่ย ฮวงเหมินซื่อหลาง ฮวงเหมินหลิ่ง*[1] ยศสูงกว่าองครักษ์อื่นหนึ่งขั้น
นอกจากนี้ ตำแหน่งฮวงเหมินยังแตกต่างจากองครักษ์จินเว่ย องครักษ์จินเว่ยทำงานมาห้าปีต้องปลดประจำการไปรับตำแหน่งขุนนางท้องถิ่น ไต่เต้าทีละขั้น
แต่ฮวงเหมินหลิ่ง ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางเมืองหลวงหลังจากปลดประจำการ ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ เสนาบดี ไท่เว่ย*[2] ทั้งหมดล้วนเคยเป็นฮวงเหมินมาก่อน เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางก้าวกระโดดของทหารเพื่อเข้าสู่ราชสำนัก
คนที่ได้เป็นองครักษ์จินเว่ยส่วนใหญ่มาจากสกุลขุนนางชั้นสูงหรือคนที่ขุนนางชั้นสูงชื่นชอบ เฉินฟู่เซินนั้นก่อนเข้าวังหลวงเป็นเพียงสามัญชนทั่วไป ได้รับตำแหน่งเพราะความเมตตาของฮ่องเต้แท้ ๆ
เป็นเพราะตอนนี้ได้รับการชื่นชมจากฮองเฮา จึงได้ตำแหน่งเป็นฮวงเหมินอย่างรวดเร็ว การเลื่อนลำดับที่เร็วเช่นนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจ ผู้คนต่างคาดเดากันว่า อีกไม่กี่ปีนี้เฉินฟู่เซินคงจะกลายเป็นชนชั้นสูง
…
อีกด้านหนึ่ง อู๋เกาพาหลี่หรงเฉิงเข้าไปที่ตำหนักองค์ชายรัชทายาท หลี่หรงอวี่ทราบข่าวมาพักใหญ่แล้วจึงยังไม่นอน เขานั่งตัวตรง อ่านหนังสืออยู่หน้าโต๊ะ
หลังจากอู๋เกาแน่ใจว่าเชือกบนมือของ ‘คนร้าย’ แน่นแล้ว เขาก็เลิกถุงผ้าขึ้น
“องค์ชายแปด?”
อู๋เการู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
หลี่หรงอวี่ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก เขารีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เดินไปข้างหน้าแล้วถามว่า “ตอนนี้ตำหนักบูรพาถูกทหารคุ้มกันแน่นหนา เจ้าเข้ามาได้อย่างไร”
“ลอดโพรงสุนัข!” หลี่หรงเฉิงตรัสต่อหน้าพี่ชาย เขาไร้ความอายแต่อย่างใด สำหรับเขาแล้ว นี่นับเป็นการกระทำอันยิ่งใหญ่
หลี่หรงอวี่อดหัวเราะไม่ได้ ชายหนุ่มมองใบหน้าของน้องชายภายใต้แสงเทียนอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะตรัสด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพจนตรอกเช่นนี้”
“ลอดโพรงสุนัข จนตรอกตรงไหน? โอ๊ย” ทันทีที่เอ่ยปากพูด กล้ามเนื้อบนใบหน้าที่ถูกชกก็เจ็บแปลบขึ้นมาทันที หลี่หรงเฉิงไม่อาจกลั้นเสียงโอดครวญออกมาได้
“ท่านพี่รอง คนของท่านมือหนักเกินไปแล้ว” หลี่หรงเฉิงตรัส ยกมือปิดใบหน้าช้ำ ๆ ดวงตาก็จ้องไปที่อู๋เกา
อู๋เกาขอโทษอย่างรวดเร็ว “องค์ชายแปดประทานอภัยให้ข้าน้อยเถิด ข้าน้อยจะรู้ได้อย่างไรว่ากระต่ายที่รอจับจะกลายเป็นท่าน?”
“กระต่ายอะไร” หลี่หรงเฉิงถาม
“กระต่ายหายไปตัวหนึ่ง ตอนนี้หนีไปได้แล้ว” หลี่หรงอวี่เหลือบมองอู๋เกา
อู๋เกายิ่งรู้สึกละอายใจ เขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็วแล้วตะโกนว่า “ข้าน้อยใช้การไม่ได้ ฝ่าบาทโปรดลงโทษด้วย”
หลี่หรงอวี่บอกให้เขาลุกขึ้น “ไม่ต้องคุกเข่าแล้ว เจ้าไม่เหนื่อยหรืออย่างไร ไปเถอะ ซ้อมเจ้าแปดไปขนาดนั้น เกรงว่านางจะไม่กลับมาแล้ว เจ้าไม่ต้องไปเฝ้าอีก คืนนี้ก็ดึกแล้ว เจ้ากลับไปพักผ่อนเถอะ”
อู๋เกากล่าวขอบคุณก่อนจะเดินจากไป ส่วนหลี่หรงเฉิงที่ลูบหัวตัวเองอย่างอับอายก็ถามขึ้นว่า “ท่านพี่รอง ข้าทำท่านเสียเรื่องหรือไม่?”
หลี่หรงอวี่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่ความผิดของเจ้าคนเดียว หากอู๋เกาตามนางทันก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
“ท่านให้อู๋เกาตามไป?” หลี่หรงเฉิงนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่ยี่หระ ลูบใบหน้าที่ถูกทุบตีแล้วตรัสว่า “ฝีมือแมวสามขาของอู๋เกา ท่านให้เขาตามคนไปอย่างนั้นหรือ คงมีแต่ผีเท่านั้นที่จะตามทัน เหตุใดไม่เรียกลั่วอิ๋งไป?”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็มองไปรอบ ๆ “ลั่วอิ๋งเล่า? นางมักอยู่ไม่ห่างจากท่าน เหตุใดวันนี้ไม่อยู่? หรือว่าในตำหนักเกิดเรื่องอะไรขึ้น นางหลับอยู่หรือ?”
หลี่หรงอวี่ตรัสว่า “หากเกิดอะไรขึ้นกับข้า คนของข้าคงไม่สามารถหลับได้อีกหรอก”
หลี่หรงเฉิงจึงถาม “พูดถึงความจงรักภักดีของลั่วอิ๋งนั้น หากท่านยังไม่นอน นางจะไปพักผ่อนได้อย่างไร?”
หลี่หรงอวี่ถอนหายใจ “ลั่วอิ๋งถูกลงโทษส่งไปเป็นทาส ตอนนี้คนข้างกายของข้ามีแค่อู๋เกาเพราะเขารับใช้มารดาข้าในอดีต ความสามารถของเขาไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่น เสด็จพ่อจึงให้เขาอยู่ข้างกายข้าต่อ”
“เหตุใดเสด็จพ่อใจร้ายเช่นนี้ ท่านคือ… ท่านคือบุตรชายของเขานะ!” หลี่หรงเฉิงตัดพ้อ
“แล้วคนที่รายงานข้าอย่างอุกอาจในท้องพระโรง ไม่ใช่บุตรชายของเสด็จพ่อหรือ?” หลี่หรงอวี่ถามกลับ
“องค์ชายสี่ เขา… ฮึ่ม! เขาเป็นคนไม่มีหัวใจ!” หลี่หรงเฉิงคาดโทษอย่างโกรธเคือง
“กลอุบายชั่วช้าของพี่น้องพวกเราก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้ารู้” หลี่หรงอวี่ตรัส “ใช่แล้ว ชายแปด เจ้ามาดึกดื่นเช่นนี้มีเรื่องอะไรหรือ?”
“ข้า…” หลี่หรงเฉิงชะงัก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เข้าขัดขวางการจับกุมขององค์ชายรัชทายาทในตำหนักบูรพา หากเขาบอกไปว่าตัวเองไม่มีธุระสำคัญอะไร เขาจะไม่โดนค้อนทุบใช่หรือไม่
“ข้าอยากพบท่าน” หลี่หรงเฉิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล่าวความจริง
“ข้าคิดว่าท่านติดอยู่ที่นี่แล้วคงไม่ได้รับข่าวสาร หากท่านมีความคิดเห็นใด ๆ พวกเราด้านนอกไม่สามารถรู้ได้เลย จัดการสิ่งใดก็คงไม่ได้ ข้าพิจารณาดูแล้ว ไม่ว่าด้วยเหตุอะไรก็ตาม ข้าอยากพบหน้าแล้วก็ถามไถ่ท่านสักหน่อย”
[1] ฮวงเหมินหลางเว่ย ฮวงเหมินซื่อหลาง ฮวงเหมินหลิ่ง คือชื่อตำแหน่งสูงกว่าองค์รักษ์ ได้แก่ หลางเว่ย ซื่อหลาง หลิ่ง อ้างอิงจากยศจากราชวงศ์ถัง
[2] ไท่เว่ย คือชื่อตำแหน่งแม่ทัพ