ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 122 โพรงสุนัข
บทที่ 122 โพรงสุนัข
บทที่ 122 โพรงสุนัข
แม้ประโยคนี้หวังจือจะไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่หลี่หรงอวี่นั้นอยากป้องกันจี้ชิงเฟิงที่อาจเข้ามาขโมยผังหยินหยางในพระราชวัง ตอนนี้ตำหนักบูรพาถูกปิด หากจี้ชิงเฟิงหาสมบัติเจอ มันจะไม่ผิดพลาดครั้งใหญ่เชียวหรือ
บทสนทนาของผู้ปราดเปรื่องทั้งสองคนมักชวนให้ผู้อื่นต้องเกาหัว เช่นเดียวกับ ‘ชุนซิง’ สาวใช้ในตำหนักบูรพาที่กำลังเกาะกำแพงแอบฟังอยู่ นางไม่เข้าใจสิ่งที่องค์รัชทายาทกับหัวหน้าหวังพูดเลยแม้แต่น้อย
ยามรัตติกาลมาถึง นางก็ได้ลอบออกจากตำหนักบูรพา ส่งต่อสิ่งที่ได้ยินแก่นายตนเอง
ทว่านางไม่รู้ว่าหากตำหนักบูรพาถูกปิดแล้ว ภายในตำหนักจะมีองครักษ์ป้องกันอย่างเข้มงวด นางเป็นนางในตัวเล็ก ๆ หากมีองค์รักษ์มากมายเช่นนี้ นางจะใช้โพรงสุนัขเร้นตัวออกจากตำหนักได้อย่างไร?
แม้นางในตัวน้อยคนนี้จะถูกคุมขังอยู่ในตำหนักบูรพา กระนั้นหลังจากคนในตำหนักส่วนใหญ่ถูกสับเปลี่ยน การได้เข้ามาเป็นทาส*[1] รับใช้ชั้นในที่ตำหนักบูรพาได้โดยตรงนั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
นางได้รับคำสั่งเมื่อไม่นานมานี้ ไม่ว่าจะได้ยินเรื่องอะไรในตำหนักบูรพา จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องส่งข่าวหานายท่านทันที ซึ่งนางต้องมีวิธีส่งข่าวออกไปอย่างลับ ๆ
ชุนซิงมีพื้นฐานกำลังภายใน แม้จะโดนสะกดรอยตามอย่างใกล้ชิด นางก็เร้นตัวหนีสี่ห้ารอบให้คนสะกดรอยตามไม่ได้
ชุนซิงซอยฝีเท้าไปที่ริมทะเลสาบ เป่านกหวีดสองครั้ง เห็นเรือลำเล็กเคลื่อนออกมาจากหญ้าต้นกกอันแห้งเหี่ยว
เรือลำนั้นเป็นเรือกันสาดทั่วไป กลางเรือมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ คนผู้นั้นสวมหมวกสีเดียวกับหญ้าคลุมกันสาด หากไม่พินิจให้ดีจะไม่สามารถมองเห็น
ชุนซิงย่อตัวลง โน้มศีรษะพลางบอกข่าวที่ได้ยินจากตำหนักบูรพาโดยไม่ขาดตกสักคำให้คนบนเรือได้ฟัง
ชุนซิงไม่ใช่นางในธรรมดาอย่างแท้จริง แม้หลี่หรงอวี่กับหวังจือจะพูดคุยหลายสิ่งหลายอย่าง แต่นางกลับจำมันได้ทั้งหมด นางทวนออกมาทันที แม้แต่น้ำเสียงก็ยังเลียนแบบอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ราวกับว่าองค์รัชทายาทและหัวหน้าหวังกำลังสนทนากันอีกครั้งก็มิปาน
คนบนเรือฟังเสร็จทั้งหมดแล้วก็เปิดปากถาม “อาณาจักรเหยียนรึ?”
ชุนซิงตอบว่า “ใช่”
คนบนเรือกล่าวด้วยความประหลาดใจ “ไร้เหตุผลสิ้นดี สองคนนั้นกล่าวถึงอาณาจักรเหยียนว่าอย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่า…”
ชุนซิงตอบกลับ “องค์รัชทายาทไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ หัวหน้าหวังฟังแล้วก็ไม่ได้ซักไซ้ คิดว่ามันเป็นเรื่องไม่สำคัญกระมัง”
คนบนเรือเย้ยหยัน “ดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาท ไฉนเลยจะตรัสเรื่องไร้สาระ”
เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง แต่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ชุนซิงจึงกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าไม่กลับไปถามนายท่าน ข้าคิดว่านายท่านน่าจะรู้”
คนบนเรือพูดอย่างเคร่งขรึม “เรื่องเหล่านี้ ข้าย่อมต้องนำไปบอกนายท่านทั้งหมด เจ้าเป็นทาสชั้นใน เหตุใดจึงพูดมากนัก”
ชุนซิงไม่ได้คุ้นเคยกับคนตรงหน้ามากนัก เขาเพิ่งจะเรียกนางว่าทาส นั่นยิ่งทำให้นางโกรธ นางจึงตอบกลับอย่างโมโห
“ข้าเป็นทาสแล้วมันทำไม เจ้าไม่รู้อะไรอย่าใช้คำพวกนี้มาด่าคนอื่น เจ้าเองก็เป็นขันทีหนึ่งในหกรากไม่บริสุทธิ์*[2] อย่ามาด่ามารดาตรงนี้ ไอ้แก่อ้วน!”
คนบนเรือรับฟัง ทว่าไม่แสดงทีท่าโกรธเคือง ตรงกันข้าม เขาลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม เดินไปโอบเอวของชุนซิง ทว่าถูกชุนซิงคว้าข้อมือเข้าเสียก่อน สีหน้าเขาพลันเจ็บปวด
ชุนซิงเคยเป็นคนยุทธภพมาก่อน ย่อมเคยฝึกฝนศิลปะการต่อสู้มวยจีนเคล็ดวิชาจันทราสกาว คนบนเรือจะรับมือได้อย่างไร? เขารีบขอโทษทันที “มารดาคนดี มารดาคนดี” เสียงร้องเรียกดังลั่น
ชุนซิงถอนหายใจ ก่อนจะปล่อยมือ
“หยูฉิวอวี้ จำเอาไว้ ข้าชุนซิงไม่ใช่คนที่เจ้าจะยั่วยุได้ หากเจ้ายังอยากได้ความดีความชอบขอรางวัลต่อหน้านายท่าน ก็จำเอาไว้ว่าข้าเป็นมารดา เจ้าอย่ามากวนประสาทข้า ไม่เช่นนั้นจะไม่มีผลไม้อร่อย ๆ กิน” ชุนซิงกล่าว
หยูฉิวอวี้ยิ้มขออภัย น้ำเสียงสูงเฉกเช่นขันที “ชุนซิงคนดี มารดาคนดี เจ้าคือผู้มีความสามารถที่สุดในบรรดาพวกเรา ไม่เพียงแต่พวกเราเท่านั้น แม้แต่ตอนนี้นายท่านก็ยังพึ่งพาข่าวจากเจ้า”
ชุนซิงกล่าวอย่างเย็นชา “งั้นเจ้าต้องจำไว้ ข้าทำเพื่อนายท่านของข้า ไม่ใช่ไอ้สารเลวอย่างเจ้ากับนายท่านของเจ้า จำสิ่งที่ข้าเพิ่งพูดไปให้ดี หากพลาดแม้แต่ครึ่งประโยค เจ้าก็ไปหาข่าวเอาเอง!”
หยูฉิวอวี้ได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจนัก “นายท่านของเจ้า นายท่านของข้าอะไรกัน ตอนนี้พวกเรามีนายท่านคนเดียวกันแล้ว เจ้าจะแบ่งแยกกันไปทำไม”
ชุนซิงเยาะเย้ย “เจ้าจะมีนายท่านสองคนก็เรื่องของเจ้า แต่ข้าชุนซิง ตั้งแต่เล็กจนโตมีนายท่านเพียงคนเดียว ถึงแม้นายของเจ้าจะฐานะสูงส่ง เจ้าจะยินดีเลียขาอย่างไร แต่หากเจ้ากล้าแตะต้องข้าอีกครั้ง นายท่านของข้าเอาชีวิตเจ้าแน่!”
นางพูดจบก็ตบเข้าไปที่หลังศีรษะของหยูฉิวอวี้หนึ่งที เรือจึงเคลื่อนตัวลอยออกไป
หยูฉิวอวี้จับหลังศีรษะ แยกเขี้ยวยิงฟันด้วยความเจ็บปวด แม้แต่เรือกันสาดลำน้อยที่จอดสนิทยังแกว่งไปมาเกือบจะพลิกคว่ำ
ยังดีที่น้ำริมฝั่งนี้ตื้น หยูฉิวอวี้จึงสามารถเกาะต้นอ้อบนริมฝั่งกับขอบเรือเพื่อยึดตัวเองให้มั่นคงไว้ได้
เขานั่งสบถด่ามั่วซั่ว “ดียิ่ง เหตุใดคนงามถึงกลายเป็นแม่เสือไปได้!”
หลังจากชุนซิงเดินออกไปสักพัก หยูฉิวอวี้ก็ชะโงกหัวออกมาอีกครั้ง มองไปรอบฝั่งไร้ผู้คน จึงเริ่มออกเรือกันสาดไปตามแนวต้นกก เขาจงใจวนเรือ ตรงไปถึงริมน้ำของสวนดอกไม้พระราชวัง ถึงแล้วก็ปีนออกมาไป เดินตรงเข้าตำหนักไท่อี้
หลังจากชุนซิงส่งสารเสร็จแล้ว นางก็กลับไปที่ตำหนักบูรพาอย่างเงียบเชียบ
นางอาศัยช่วงเวลาที่องครักษ์ไม่สนใจ ตั้งใจจะคลานเข้าไปในโพรงสุนัขตรงกำแพงทิศตะวันตกเหมือนตอนออกไป
แต่เมื่อนางเดินไปทางมุมกำแพงทิศตะวันตก กำลังจะแหวกวัชพืชที่ปกคลุมโพรงสุนัขออก นางก็พบว่าหญ้าที่คลุมโพรงสุนัขนั้นถูกกำจัดออกไปหมดแล้ว!
นี่มันเหลือเชื่อไปแล้ว!
ชุนซิงระมัดระวังในการทำงานมาโดยตลอด นางได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด ปกติแล้วนางจะไม่ทำผิดพลาดกับเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ นางจำได้ว่าเมื่อตอนที่นางออกมาก่อนหน้านี้ นางก็ปิดโพรงสุนัขไปแล้ว
หรือว่านางจะถูกคนจับได้?
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเสียแล้ว นางไม่กล้าปีนกลับ แต่หากนางไม่กลับไปแล้วจะทำอย่างไร?
ชุนซิงลังเลอยู่ที่ปากทางเข้าสักพัก ไม่เห็นผู้ใดมาจับตัว หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางจึงตัดสินใจรีบออกไป ไม่เช่นนั้น หากมีคนค้นพบ นางจะมีทางรอดหรือ? เกรงว่าแม้แต่นายท่านที่อยู่เบื้องหลังก็จะถูกค้นพบด้วยกัน
แน่นอนว่านายท่านของนางคือเฉินฟู่เซิน แผนการทุกอย่างวางไว้มาเป็นเวลานานยิ่ง หากชุนซิงทำผิดพลาดจริง ๆ ย่อมเป็นความผิดของหลี่หรงซือ ถึงอย่างไรสารทั้งหมดของชุนซิงก็อยู่กับคนของหลี่หรงซือแล้ว
ชุนซิงไม่อาจรู้ว่าหลังจากที่นางออกมาทางโพรงสุนัขนี้จะมีคนอื่นตามเข้ามาด้วย
นั่นคือองค์ชายแปด หลี่หรงเฉิง!
เพื่อจะพบหน้าพี่ชายตัวเองเขาถึงกับใช้สมองคิดหนัก ไม่ได้สนใจหน้าตาและศักดิ์ศรีขององค์ชาย เขาถึงกับลอดโพรงสุนัขเข้ามาตอนกลางคืน หากเรื่องนี้ถูกกล่าวออกไป เขาจะไม่ถูกคนหัวเราะไปหลายปีหรือ?
ที่แย่ไปกว่านั้น หลังจากที่เขาเข้าไปในโพรงสุนัข
ตำหนักหลี่หรงอวี่เข้มงวดมาก สถานการณ์ในตำหนักบูรพาตอนนี้ถูกปิดล้อม คนสนิทส่วนใหญ่ถูกสับเปลี่ยน คนในตำหนักเหล่านี้ได้รับเลือกให้เข้ามาในตำหนักใหม่ ทุกคนได้รับมอบหมายให้คุ้มกันปกป้องสถานที่นี้อย่างเข้มงวด และเฝ้าดูแลอย่างตึงเครียด
ชุนซิงแอบฟังอยู่นอกตำหนัก นางออกจากตำหนักบูรพากลางดึกไปแจ้งข่าว ทั้งหมดอยู่ในสายตาหลี่หรงอวี่กับขันทีอู๋เกา อู๋เกาจับตามองนางเป็นเวลาหนึ่งวัน จนถึงกลางคืนก็เห็นว่านางเคลื่อนไหว
แน่นอนว่าในสถานการณ์ตำหนักบูรพา แม้แต่แมลงวันแทบจะบินออกมาไม่ได้ ยิ่งไม่มีทางที่จะมีโพรงสุนัขมากมาย เรื่องนี้ย่อมอยู่ในแผนของหลี่หรงอวี่
น่าเสียดายที่วรยุทธ์ของอู๋เกาไม่เก่งเท่าชุนซิง หลังจากเฝ้าจับตานางไประยะหนึ่ง เขาก็ถูกนางทิ้งห่าง ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขัดขวางให้ทัน ก่อนที่ชุนซิงจะกลับไปมาที่ตำหนัก เขาก็นั่งยอง ๆ ข้างโพรงสุนัข เตรียมรอกระต่ายจับเต่าใส่กระปุก*[3] เพื่อรอจับคนร้าย
แต่คาดไม่ถึงว่าเขายังไม่ทันได้ตัวชุนซิง กลับกลายเป็นได้ตัวองค์ชายแปดที่ยอมเสี่ยงทำเรื่องใหญ่อย่างการลอดโพรงสุนัขออกมา
อู๋เกาไม่มีเวลามองอย่างรอบคอบในตอนกลางคืน แสงจันทร์ทอสลัว ผนวกกับวรยุทธ์ดุจแมวสามขา เขารีบตีคนก่อนเป็นอันดับแรก หยิบกระสอบมาคลุมตัวทันทีที่เห็นศีรษะผู้ต้องสงสัยโผล่พ้นออกมา แล้วห่อด้วยกระสอบทันที
หลี่หรงเฉิงไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อย เขาคิดว่าหลังลอดผ่านโพรงสุนัขจะได้เห็นขั้นบันไดตำหนักบูรพา แต่กลายเป็นเห็นท้องฟ้าอันมืดมิด
“นังตัวเหม็นโฉ่! กล้าเข้าตำหนักบูรพาของข้า อวดดีนัก!” อู๋เกาตะโกนขึ้นอย่างโกรธจัด มัดอีกฝ่ายแน่น กำหมัดชกสวนเข้าที่กระสอบพร้อมกับเตะอีกฝ่าย
หลี่หรงเฉิงเองก็มีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่เขาจะต้านทานได้อย่างไรเมื่อถูกจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้?
เพียงแต่เขาคลานอยู่ตามพื้น ศีรษะและใบหน้าก็ถูกคลุม เคลื่อนไหวไม่สะดวก ไม่สามารถใช้หมัดกับเท้าได้ เขาจึงต้องพุ่งตัวไปข้างหน้ากระแทกแผ่นอกของอู๋เกาแทน
อู๋เการ้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ศีรษะถูกกระแทกอย่างแรง มือยกชกกลับทันทีอย่างโกรธเคือง
หลี่หรงเฉิงไม่สามารถแยกแยะเสียงของอีกฝ่ายในการปะทะกันได้ อู๋เกาไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าร่างของชายผู้ถูกคลุมกระสอบนั้นสูงและแข็งแกร่งกว่าชุนซิงไม่น้อย
ในเวลาปกติ อู๋เกาเกรงว่าภายในสามกระบวนท่า เขาคงจะแพ้หลี่หรงเฉิง แต่ในกรณีนี้ เขาได้เปรียบหลี่หรงเฉิงที่ถูกคลุมด้วยกระสอบปิดหน้าปิดตา มือถูกมัดไว้ในกระสอบ แต่ถึงเป็นเช่นนี้อู๋เกายังไม่สามารถรับมือได้
ทั้งสองต่อสู้กันที่ฐานของกำแพงวัง ยามออกแรงส่งเสียง ทหารที่ลาดตระเวนบริเวณประตูก็เข้ามาทันที
องครักษ์คนหนึ่งเห็นอู๋เกาผู้เป็นขันทีข้างกายองค์รัชทายาทก็รีบรุดเข้าไปช่วย เมื่อเหล่าทหารลาดตระเวนเห็นดังนั้นก็ตามเข้าไปด้วย ครั้งนี้หลี่หรงเฉิงทำได้เพียงร้องอย่างน่าสงสาร ร่างของเขาถูกทุบตีอย่างหนักหน่วง
หลังจากที่ทุกคนมัดหลี่หรงเฉิงได้แล้ว หัวหน้าองครักษ์ก็ถามอู๋เกาว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
อู๋เกาก้มหน้าลง ชี้ไปที่โพรงสุนัขแล้วตอบกลับว่า “นี่เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพวกเจ้า ตำหนักองค์รัชทายาทถูกปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา แต่พวกเจ้ากลับปล่อยให้คนชั่วมาอาละวาดในตำหนัก กลับไปบอกฮ่องเต้ องครักษ์รักษาการณ์ไม่สันทัดเรื่องนี้ เปลี่ยนเป็นองครักษ์จินเว่ยเสียดีกว่า!”
ถึงแม้ในปัจจุบันองค์รัชทายาทจะถูกคุมขัง แต่เขายังเป็นผู้สืบทอดของโอรสสวรรค์ อู๋เกาเป็นคนข้างกายที่องค์ชายรัชทายาทวางใจอันดับหนึ่ง ถึงแม้เขาจะเป็นจิ้งจอกปลอมเป็นเสือ*[4] แต่องครักษ์รักษาการณ์ล้วนต้องให้ความเคารพ
อู๋เกากล่าวว่าองครักษ์รักษาการณ์ทำได้ไม่ดีพอ ประสงค์ที่จะเปลี่ยนองครักษ์จินเว่ยมาทำงานแทน ได้ยินแล้วเหล่าองครักษ์รักษาการณ์ต่างไม่อาจสงบใจลงได้
[1] ทาส มีฐานะต่ำสุดในวัง ทำงานระดับล่าง บ้างว่าเป็นอาชกรรมทำผิด บ้างว่าเป็นสมาคมกำกับดูแลทาสในวัง มักจะถูกกดขี่
[2] หกราก รากทั้งหกได้แก่รากแห่งดวงตา รากแห่งหู รากแห่งจมูก รากแห่งลิ้น รากแห่งหัวใจ รากแห่งความรู้สึก หกสิ่งแปดเปื้อน ได้แก่ สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส และใจ เมื่อรากทั้งหกเกิดความแปดเปื้อนไม่บริสุทธิ์ จะก่อเกิดหกสิ่งแปดเปื้อน
[3] รอกระต่ายจับเต่าใส่กระปุก หมายถึงมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม
[4] จิ้งจกปลอมเป็นเสือ หมายถึงอาศัยอำนาจของผู้อื่น