ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 121 ยากจะตัดสินใจ
บทที่ 121 ยากจะตัดสินใจ
บทที่ 121 ยากจะตัดสินใจ
เหยียนอี้เดินตามขันทีตัวน้อยที่รับคำสั่งมาจากอากุ้ยลี่ อากุ้ยลี่กำลังเอนตัวลงบนโต๊ะเครื่องเสวย และรับประทาน ‘หนวดมังกร’ อย่างเอร็ดอร่อย ดูจากความพร่องของจาน คงทานไปแล้วเป็นส่วนใหญ่
อากุ้ยลี่เห็นเหยียนอี้แล้วก็ยินดีล้นปรี่ รีบดึงนางนั่งลงด้วยอากัปกิริยาสนิทสนมนัก “อาหารที่ข้าเสวยวันนี้มิถูกต้อง คิดแล้วเชียวว่าคงไม่ใช่คนครัวคนเดิมเป็นคนทำ เสวยแล้วคิดมิออกว่าสิ่งนี้คืออะไร ข้าจึงเรียกคนครัวเข้ามาสอบถาม นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า”
เหยียนอี้จึงกล่าวว่า “ข้าน้อยได้ยินว่าองค์หญิงเรียกคนครัวมา เพราะคิดว่าปรุงอาหารไม่ดี องค์หญิงโปรดลงโทษข้าเถิด”
อากุ้ยลี่แย้มยิ้ม “อาหารที่เจ้าทำอร่อยกว่าคนครัวคนก่อน ข้าจะลงโทษเจ้าได้อย่างไร ที่จริงข้าควรตบรางวัลให้เจ้าเสียด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีอะไรข้างกาย คงต้องให้เจ้าทานร่วมโต๊ะกับข้าเป็นการตอบแทน”
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะขบขันนาง “หากองค์หญิงต้องการคนทำอาหารจานนี้ อาเหมียนต้าก็ทำได้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าน้อยไปนั่งทานอาหารกับท่านหรอกเพคะ ยิ่งหากผู้คนเห็น ยิ่งไม่ควรเป็นเยี่ยงอย่าง”
อากุ้ยลี่หยิบ ‘หนวดมังกร’ ขึ้นมาจากจานแล้วถามว่า “นี่คืออะไร ไม่เหมือนที่คนครัวเคยทำมาก่อน แลเหมือนถั่วงอก แต่รสชาติกลับเหมือนเนื้อ”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ก่อนหน้านี้ เหวินหยูฉู่*[1] ทำกุ้งเมาหนวดมังกร วัตถุดิบของหนวดมังกรคือหนวดปลาหลีฮื้อ วันนี้ข้าน้อยทำไหมเงิน ใช้เนื้อปลาหลีฮื้อมาทำเป็นเส้นเพคะ”
อากุ้ยลี่ไม่เชื่อ “เจ้าโกหก! เนื้อปลาหลีฮื้อจะหน้าตาแบบนี้ได้อย่างไร นี่มันถั่วงอกชัด ๆ”
เหยียนอี้กล่าว “องค์หญิงโปรดลิ้มลองอีกครั้ง”
อากุ้ยลี่ใช้ตะเกียบคีบ ‘ไหมเงิน’ ขึ้นมา มองดูครู่หนึ่งแล้วจึงนำเข้าปากเพื่อเคี้ยวช้า ๆ ทันใดนั้นนางก็เข้าใจและหัวเราะออกมา
“เข้าใจแล้ว เจ้าผสมปลาสับลงกับถั่วงอกใช่ไหม”
เหยียนอี้พยักหน้า “องค์หญิงมีดวงตาเฉียบแหลม คาดเดาได้ดี ข้าน้อยไม่อาจเห็นปลาหลีฮื้อถูกฆ่าทุกวัน กองปลาเน่าเสียมันน่าสิ้นเปลืองเพคะ ข้าน้อยจึงเลิกใช้หนวดปลาหลีฮื้อแล้วคิดวิธีเสียใหม่ ด้วยการแทนที่หนวดมังกรด้วยถั่วงอก”
อากุ้ยลี่ทานไหมเงินอย่างระมัดระวังพลางกล่าวชื่นชม “เจ้าช่างมีฝีมือ! ความคิดก็บรรเจิด! ข้าชอบเจ้ามาก”
เหยียนอี้กล่าวด้วยความโล่งใจ “ดีแล้วเพคะที่องค์หญิงโปรดอาหารจานนี้ พวกขันทีกับคนในห้องเครื่องช่วยข้าน้อยขุดปลา เก็บถั่วงอกทุกเช้า ข้าน้อยคงไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวังแล้วกระมัง”
ทว่าอากุ้ยลี่กลับกระเง้ากระงอด อาหารทั้งโต๊ะราวกับไร้สีสันไป นางบ่นว่า “ที่นี่ไม่มีใคร ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเรียกข้าว่าองค์หญิง และเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกตัวเองว่าข้าน้อย”
ครั้งแรกเมื่อเหยียนอี้เห็นนาง นางก็ห้ามไม่ให้เรียกว่าองค์หญิง เช่นนี้แล้วเหยียนอี้จึงไม่บังคับตัวเอง ยอมเรียกออกมาอย่างใจกว้าง “เอาละ อากุ้ยลี่”
“แบบนี้สิถึงเป็นเพื่อนที่ดีของข้า! เหยียนอี้ ข้าไม่มีเพื่อนในวังแห่งนี้เลย มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ยินดีเป็นเพื่อนกับข้า” อากุ้ยลี่ยิ้มอย่างมีความสุข
เหยียนอี้กล่าวว่า “ความจริงแล้วในวังมีคนที่น่ารักมากมาย ตราบใดที่ท่านอยากเป็นเพื่อนกับพวกเขา พวกเขาต้องชอบท่านอย่างแน่นอน”
อากุ้ยลี่เอียงศีรษะ “ในวัง? น่ารัก? หืม ข้าคิดว่าวังของเจ้าน่ากลัวมากกว่านะ”
เหยียนอี้รู้ว่าอากุ้ยลี่หมายถึงเรื่องใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในวังช่วงนี้ นั่นคือการคุมขังองค์รัชทายาท
“องค์รัชทายาทถูกคุมขัง อีกทั้งยังก่อคดีร้ายแรง ช่างน่าสงสารเสียจริง” อากุ้ยลี่ตรัส “ถึงจะเป็นเช่นนั้น พอเกิดเรื่อง ฮ่องเต้ของเจ้าไม่มีเรี่ยวแรงมาดูแลสนใจเรื่องของข้า ข้าจึงยังไม่ต้องอภิเษกกับองค์ชายของพวกเจ้าชั่วคราว เช่นนี้ย่อมดีมาก”
อาเหมียนต้าได้ยินแล้วอดเป็นห่วงอย่างเสียไม่ได้ “องค์หญิงยังมีอะไรให้น่าดีใจอีกหรือ? ท่านหนีวันแรกไม่ได้ วันที่สิบห้าก็ไม่ได้เช่นกัน องค์รัชทายาทเป็นคนดี คนดียังถูกใส่ความ แล้วอย่างพวกเราจะบอกว่าโชคดีได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น!” อากุ้ยลี่กับอาเหมียนต้าเป็นคนที่มีความคิดเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แม้ทั้งสองคนมีฐานะแตกต่างกัน แต่จะไม่มีการแบ่งแยกชนชั้น อาเหมียนต้าจึงสามารถยืนยันความคิดของตนเองผ่านการโต้เถียงกับอากุ้ยลี่ได้
เหยียนอี้เจรจาสงบศึก “ที่พวกท่านสองคนพูดมาถูกทั้งคู่”
อาเหมียนต้าเล่าให้เหยียนอี้ฟัง “ข้าได้ยินผู้คนบอกว่า ทูตของพวกเราชาวหุยหูอยากรีบเห็นอากุ้ยลี่แต่งงานให้เร็วที่สุด แต่คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องกับองค์รัชทายาทอาณาจักรอวี๋ ไม่รู้ว่าภายในสองเดือนนี้จะสามารถประกาศเรื่องการอภิเษกออกมาได้หรือไม่ จะทำอะไรก็รีบทำเถิด”
เหยียนอี้ถอนหายใจ “ปัญหาภายในของพวกเราชาวอวี๋ ขนาดทูตจากหุยหู อาณาจักรเหยียน หนึ่งอาณาจักร หนึ่งชนเผ่ายังรู้ หากกลับไปบอกข่าวที่อาณาจักรตนเอง อาณาจักรอวี๋ของข้าจะไม่กลายเป็นตัวตลกหรือ”
“คนพวกนั้นไม่รู้ว่าเลือกเวลาใส่ร้ายกันอย่างไร ถึงได้เลือกช่วงที่คณะทูตมาเยือนเมืองหลวง ต้องการประณามกันชัด ๆ!”
อากุ้ยลี่ได้ยินเช่นนั้นก็เห็นด้วย “เหยียนอี้ เจ้าเป็นสตรีตัวเล็ก ๆ แต่ทว่ากับวิเคราะห์การเมืองของอาณาจักรตัวเองได้ยอดเยี่ยม!”
เหยียนอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ามีอะไรยอดเยี่ยมกัน?”
อากุ้ยลี่เอียงศีรษะของนางก่อนจะตรัสว่า “สิ่งที่เจ้ากล่าวมาสมเหตุสมผลยิ่ง พวกเขาใส่ร้ายองค์รัชทายาทว่าสมรู้ร่วมคิดกับบุตรชายของผู้ก่อกบฏ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะเคยพูด มายืนกรานในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ ชี้ผู้คนให้เห็นข้อผิดพลาดของอาณาจักรอวี๋ บางทีคนพวกนั้นอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏก็เป็นได้!”
คำกล่าวของอากุ้ยลี่เดิมทีเป็นคำบ่นอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับทำให้เกิดประกายวาบเข้ามาในหัวของเหยียนอี้ ใช่แล้ว บางทีคนพวกนั้นอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับพวกกบฏ!
“ต้องเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน” เหยียนอี้ยืนขึ้นทันที
อากุ้ยลี่รีบดึงนางให้นั่งลง “เจ้าจะทำอะไรหรือ?”
เหยียนอี้ได้ยินคำถามนั้นก็ผงะครู่หนึ่ง ไม่นานก็ต้องถอนหายใจอย่างปลง ๆ ลำพังนางจะสามารถทำอะไรได้หรือ?
เรื่องที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ แม้แต่อากุ้ยลี่ยังเข้าใจ คนในศาลต้าหลี่กับคนในกรมราชทัณฑ์จะไม่รู้ได้อย่างไร? ฮ่องเต้คาดเดาเช่นนั้นไปได้อย่างไร?
องค์รัชทายาทยังคงถูกคุมขัง ไทเฮาถึงขนาดไปขอร้องด้วยตนเองเป็นการตอกตะปูซ้ำ เป็นไปได้ว่าฮ่องเต้อาจจะผิดหวังกับบุตรชายคนนี้จริง ๆ เสียแล้ว?
ไม่สิ เป็นไปไม่ได้
เหยียนอี้ไม่เข้าใจ เหตุใดฮ่องเต้ถึงสับสน หรือเป็นเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างจึงยากที่จะตัดสินใจ
หลี่หรงซือแสดงหลักฐานมัดตัวองค์รัชทายาทแน่นหนา ถึงแม้องค์รัชทายาทจะอธิบายอย่างสมเหตุสมผลออกไปแล้ว แต่ทว่ากลับไม่มีหลักฐานยืนยันแม้แต่ครึ่งส่วน
ในทางกลับกัน หลี่หรงซือเตรียมหลักฐานยืนยันมากมาย สิ่งที่เขาพูดออกมาฟังดูแล้วสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ได้ หากลองเรียบเรียงทุกอย่างดูแล้วล้วนถูกต้อง หลักฐานที่ถูกกล่าวมาสมบูรณ์แบบยิ่ง
เวลาเช่นนี้ควรทำอย่างไรเพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ปัจจุบันได้บ้าง?
เหยียนอี้เป็นเพียงนางในคนหนึ่ง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ ไม่ว่านางจะคิดอย่างไร นางก็ไม่อาจคิดออก
ในเวลานี้ นางก็นึกถึงจี้ชิงเฟิงแห่งอาณาจักรเหยียนขึ้นมา “ทูตหุยหูอยู่ที่นี่มานับสิบวันแล้ว ทุกคนล้วนมาที่นี่เพื่องานอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ แน่นอนว่าต้องรออากุ้ยลี่อภิเษกก่อนแล้วค่อยจากไปในภายหลัง แต่เหตุใดทูตอาณาจักรเหยียนถึงยังอยู่เมืองหลวงเล่า?”
“องค์รัชทายาทถูกคุมขัง นับว่าเป็นเรื่องฉาวโฉ่นัก เหตุใดฮ่องเต้จึงปล่อยเรื่องนี้ให้อาณาจักรอื่นทราบข่าว? แล้วเหตุใดทูตอาณาจักรเหยียนจึงยังต้องพำนักอยู่ในเมืองหลวง?”
อากุ้ยลี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางพำนักอยู่ในตำหนักหลินเจียงแห่งนี้ ย่อมไม่รู้ว่าโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้น
อาเหมียนต้าได้ยินนางในคนอื่นพูดคุยกันทุกวี่ทุกวัน ได้ยินว่าทูตอาณาจักรเหยียนเดิมทีควรจะต้องเดินทางกลับแล้ว แต่กลับรองานอภิเษกเชื่อมไมตรีระหว่างอาณาจักรอวี๋กับชนเผ่าหุยหู ตรึงเวลาไม่ยอมกลับไป ประจวบเหมาะกับที่องค์รัชทายาทเกิดเรื่อง ทำให้มีข้ออ้างอยู่ในอาณาจักรต่อไปได้
เหยียนอี้ได้ยินอาเหมียนต้าพูดถึงอาณาจักรเหยียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ‘หากยังหาผังหยินหยางไม่เจอ พวกเขาก็ยังไม่ยอมไปไหนอย่างแน่นอน’
คิดถึงตรงนี้ เหยียนอี้ก็เริ่มสงสัย ก่อนหน้านี้จี้ชิงเฟิงโค่นอำนาจองค์รัชทายาทอาณาจักรตัวเองแล้วทรงอำนาจอย่างมั่นคงได้อย่างไร หลายอาณาจักรเองก็มีข่าวลือหนาหู เป็นไปได้หรือไม่ที่อาณาจักรเหยียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีของหลี่หรงอวี่?
ตอนนี้ราชสำนักอาณาจักรอวี๋สั่นคลอน ตกอยู่ในความโกลาหล จิตใจผู้คนกำลังเปลี่ยนแปลง หรือจะถือเป็นโอกาสดีที่อาณาจักรเหยียนฉวยโอกาส?
พวกเขากำลังวางแผนสมรู้ร่วมคิดอะไรกันอยู่?
เหยียนอี้ยังคาดเดาได้ แล้วหลี่หรงอวี่ที่ถูกคุมขังอยู่ในตำหนักบูรพาจะคาดไม่ถึงได้อย่างไร?
ในเวลาเดียวกัน หลี่หรงอวี่กำลังจิบชาอยู่กับหวังจือ
หวังจือเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนที่ฉลาดเฉลียวผู้หนึ่ง เขาได้รับราชโองการลับมาตรวจสอบคดี ย่อมไม่ได้สืบสวนโจ่งแจ้งเหมือนกับศาลต้าหลี่และกรมพลเรือน เขามักตรวจสอบไปทีละคน
หวังจือทำเรื่องสืบสวนอย่างหมดจด ตรวจสอบในวังหลวงมาแล้วสามวัน แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขาอยู่ในวังหลวง
แม้หลายปีที่ผ่านมาเขาจะห่างไกลราชสำนัก แต่เพียงกลับมาไม่นานเขาก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด หลังจากจัดเรียงเรื่องราวเสร็จก็เพิ่งจะมาพบหลี่หรงอวี่
หลี่หรงอวี่จิบชาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะถามด้วยท่าทีไร้กังวล “หัวหน้าหวังตรวจสอบออกมาแล้วเป็นอย่างไร”
หวังจือจิบชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หากไม่พบสิ่งใด กระหม่อมจะกล้ามาหาฝ่าบาทได้อย่างไร”
หลี่หรงอวี่ซับริมฝีปากเล็กน้อย “งั้นรีบกล่าวมาเถิด”
หวังจือยิ้มอย่างมีความนัย “ตกปลาตัวใหญ่ได้กระมัง”
หลี่หรงอวี่หยุดการเคลื่อนไหว เสดวงตาเหลือบมองหวังจือ “โฮ่ แล้วใครกันเป็นคนติดเบ็ด?”
หวังจือกล่าวเสียงเบา “ฝ่าบาทคิดว่าเป็นใคร?”
หลี่หรงอวี่วางถ้วยชาลง ตรัสต่ออีกว่า “ขอเพียงไม่ใช่หัวหน้าหวังก็เป็นอันใช้ได้”
หวังจือหัวเราะเสียงต่ำ “ถึงแม้กระหม่อมจะมีความกล้าหาญนับพัน แต่กระหม่อมไม่กล้าหรอก”
หลี่หรงอวี่เหลือบมองคนพูด “ไม่กล้าอะไรรึ?”
หวังจือชะงัก ก่อนจะกล่าวว่า “ฝ่าบาทพักในตำหนักได้สองวัน เรื่องราวในอดีตนั้น อย่าขุดคุ้ยอีกจะดีกว่า”
หลี่หรงอวี่หัวเราะเสียงต่ำ “ที่เแท้ก็เป็นเช่นนั้น ได้สิ”
หวังจือลุกขึ้นโค้งคำนับหลี่หรงอวี่ กล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ในกรณีนี้ ฝ่าบาทจะปลอดภัยหายห่วง”
หลี่หรงอวี่จึงตรัสต่อว่า “ข้ามีหนึ่งประโยค รบกวนให้หัวหน้าหวังนำส่งให้ฮ่องเต้”
หวังจือกล่าว “ฝ่าบาทโปรดตรัสมาเถิด”
“ตอนนี้ทูตอาณาจักรเหยียนยังอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้ไปไหน ทว่าพระราชวังของเราเกิดการเปลี่ยนแปลง ยากจะหลีกเลี่ยงคนฉวยโอกาสลักลอบเข้ามา ข้าประสงค์ให้เสด็จพ่อส่งทหารไปเฝ้าประตูทั้งเก้า ป้องกันคนบุกเข้ามาในวังยามวิกาล”
หวังจือฟังแล้วก็กล่าวว่า “กระหม่อมจะถ่ายทอดคำสั่ง สั่งทหารป้องกันประตูวังทั้งเก้าอย่างเข้มงวด ไม่ปล่อยให้คนชั่วแอบลอบเข้ามาได้”
หลี่หรงอวี่ย้ำ “หากในช่วงนี้เสด็จพ่อไม่มีเรื่องจำเป็นอะไร อย่าให้ชาวเหยียนเข้าวัง ถึงแม้ชาวเหยียนจะมอบหนังสือกราบทูล ให้บอกพวกเขาไปว่าพระวรกายไม่แข็งแรง อย่าปล่อยให้พวกเขาเข้าวังเด็ดขาด”
[1] เหวินหยูฉู่ คือทำแหน่งพ่อครัวของเหวินต้าชิง