ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 118 ปิดล้อมตำหนักบูรพา
บทที่ 118 ปิดล้อมตำหนักบูรพา
“เจ้าคิดว่าคำอธิบายนี้สมเหตุสมผลแล้วหรือ?” หลี่หรงอวี่หัวเราะหลังได้ยินคำพูดของหลี่หรงซือ
“คราแรกก็คิดว่ามันไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน แต่หลักฐานกองอยู่มากมายดุจภูเขา ข้าก็อดที่จะเชื่อไม่ได้!” หลี่หรงซือตรัสด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ในเวลานั้นเอง ขันทีหนึ่งในสามคนที่ถูกพาตัวมาก็ฟูมฟายออกมาเร็วรี่ “องค์รัชทายาท บัดนี้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยแล้ว ข้าน้อยยอมตายเพื่อท่านอ๋องกับองค์ชายรัชทายาท หากตายก็ไม่เสียใจ! เพียงท่านขอร้องท่านอ๋องให้ไว้ชีวิตบิดามารดาของข้าน้อยได้หรือไม่”
หลี่หรงอวี่ถึงกับขมวดคิ้วเพราะคำพูดนั้น “ลู่หัว?”
คนผู้นี้คือลู่หัว ขันทีในตำหนักที่คอยเปลี่ยนชุดให้เขา ลู่หัวโค้งศีรษะเปื้อนเลือดโขกลงกับพื้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนรู้จัก
“คนผู้นี้คือขันทีข้างกายองค์รัชทายาท เขาพูดมาขนาดนี้แล้ว องค์ชายรัชทายาทยังปฏิเสธว่าไม่รู้จักเขาอีกหรือ?”
หลี่หรงซือยิ้มเยาะ คว้ามือของลู่หัว ฉีกเสื้อบนไหล่ทิ้ง เผยตราประทับเมฆามงคลบนร่างกายของเขา รอยประทับนั้นดูเหมือนจะอยู่มานานแล้ว ไม่ได้เพิ่งมีมาแต่อย่างใด
“เพื่อความมั่นใจในความจงรักภักดี อ๋องหย่งประทับตราเมฆามงคลบนไหล่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ขันทีผู้นี้อยู่ในวังมาแปดปีแล้ว ตราประทับบนร่างก็อยู่มาราว ๆ เจ็ดแปดปีเช่นกัน เขาซ่อนตัวอยู่ในตำหนักบูรพาหลายปี มีหรือที่องค์รัชทายาทจะไม่รู้?” หลี่หรงซือตรัส
“ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น” หลี่หรงอวี่ตอบ
“เดิมทีหากองค์รัชทายาทไม่รู้ กระหม่อมก็คงเชื่อ แต่เนื่องจากองค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร ประจวบเหมาะกับขันทีผู้นี้ที่อยู่ในตำหนักบูรพา ย่อมต้องตรวจสอบร่างกายข้ารับใช้ทุกคนไม่ใช่หรือ?” หลี่หรงซือถาม
“แน่นอน” หลี่หรงอวี่ตอบอีกครั้ง
“แต่เขามีร่องรอยเด่นชัดบนร่างเช่นนี้ องค์รัชทายาทกลับไม่ได้ตรวจสอบ หรือต่อให้ตรวจสอบแล้ว ก็คิดว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเขายังต้องใช้คนผู้นี้ติดต่อกับหลี่หงเสวี่ย!” หลี่หรงซือเย้ยหยัน
หลี่หรงอวี่หัวเราะกลับด้วยความโกรธเคือง ตราประทับบนร่างงั้นหรือ หมายความว่าอย่างไร?
หลังจากที่เขาถูกลอบสังหารในวันนั้น เขาได้ตรวจสอบมือสังหารอย่างถี่ถ้วน ไม่พบตราประทับอะไรเช่นนั้น อย่างที่หลี่หรงซือกล่าว กบฏทุกคนล้วนมีตราประทับ และขันทีผู้นี้ก็มีตราประทับไร้ความหมายพิเศษบนร่าง แต่กลับถูกใช้เป็นหอกเสียได้
“ลู่หัว ข้าถามเจ้า แท้จริงแล้วเจ้าทำงานให้กับหลี่หงเสวี่ยใช่หรือไม่” หลี่หรงอวี่ถาม
ลู่หัวมองไปที่หลี่หรงอวี่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา ก่อนจะพยักหน้าออกมา
หลี่หรงอวี่จึงถามอีกครั้ง “องค์ชายสี่บอกว่า เจ้าส่งสารระหว่างข้ากับหลี่หงเสวี่ยใช่หรือไม่”
และลู่หัวก็พยักหน้าอีกครั้ง
หลี่หรงอวี่ถามต่อ “แล้วปกติเจ้าส่งสารอย่างไร?”
ลู่หัวเหลือบมองหลี่หรงซือก่อนจะตอบว่า “ฝ่าบาทเขียนข้อความสั้น ๆ ใส่กระดาษส่งให้ข้าน้อย จากนั้นข้าน้อยก็มอบให้องค์รักษ์หยูหยางเฟย ทั้งนี้เพราะเป็นองครักษ์เฝ้าประตูจึงออกจากวังได้ทุกวัน หลังจากนั้น หยูหยางเฟยก็ส่งต่อไปยังที่นาราชสำนัก ที่นั่นจะมีคนของอ๋องหย่งมารับมันไป”
หลี่หรงอวี่ฟังแล้วได้แต่ตรัสอย่างเย็นชา “โฮ่ วิธีดีจริงเชียว ต้องผ่านมือใครหลายคนกว่าจะได้ส่งไป ไม่รู้ว่าส่งเรื่องอะไรบ้าง?”
ลู่หัวตอบกลับ “ข้าน้อยเป็นเพียงผู้ส่งสาร ไฉนเลยจะรู้ว่าความลับในสารได้?”
หลี่หรงอวี่หัวเราะ “คำตอบละเอียดเสียจริง ไม่เห็นข้อบกพร่องใด ๆ เลย” เขาหันไปเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ โค้งคำนับก่อนจะถามออกไปว่า “เสด็จพ่อ ท่านเชื่อหรือไม่”
แววตาของฮ่องเต้เผยความลังเลอยู่จาง ๆ
หลี่หรงซือเห็นดังนั้นก็รีบตรัสขึ้นว่า “เสด็จพ่อ องค์รัชทายาทสมคบคิดกับกบฏ ใช้อำนาจหาประโยชน์ส่วนตัว ทว่าเสด็จพ่อกลับไม่รู้ อนุญาตให้องค์รัชทายาททรงงานแทน วางตนเป็นโอรสสวรรค์ อยากให้เป็นอย่างถังไท่จง*[1]หรือ?”
จักรพรรดิถังไท่จงเป็นจักรพรรดิฉลาดปราดเปรื่องแห่งยุค ชำระล้างราชสำนัก ขยายอาณาเขตกว้างขว้าง เรียกว่าเป็นยุครุ่งเรืองที่สุดก็ว่าได้ แต่ในชีวิตของพระองค์มีจุดด่างพร้อยใหญ่มากอยู่เรื่องหนึ่ง
นั่นคือการเปลี่ยงแปลงของประตูเสวียนอู่ บีบบังคับบิดา สังหารพี่น้องให้ตายคามือ สังหารองค์รัชทายาทหลี่เจี้ยนเฉิง สั่งหลี่เยวียนให้สละราชสมบัติ เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ขึ้นครองบัลลังก์
การที่หลี่หรงซือพูดประโยคนี้ออกมา จึงนับเป็นถ้อยคำที่รุนแรงมาก
ในทุกราชวงศ์ ฮ่องเต้ทุกรัชสมัยกุมอำนาจทั้งหมดไว้ในมือของตัวเอง เพียงเพื่อป้องกันไม่ให้ใครเลียนแบบเหตุการณ์จักรพรรดิถังไท่จง
หลี่หรงอวี่ได้ยินประโยคร้ายแรงเช่นนี้ก็อดตะลึงไม่ได้
เขารีบตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “คำพูดขององค์ชายสี่ผิดแล้ว ข้าคือองค์ชายรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา เหตุใดต้องเลียนแบบถังไท่จง เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีคนอยากให้ข้ากลายเป็นอย่างหลี่เจี้ยนเฉิง?”
วันนี้หลี่หรงซือแสดงการคุกคามในท้องพระโรงอย่างชัดเจน และนั่นทำให้ผู้คนสงสัยในเจตนาที่แท้จริง
ฮ่องเต้เองก็ประหลาดใจเช่นกัน
เขารักลูกชายคนที่สี่เสมอมา เพราะรู้สึกว่าอีกฝ่ายคล้ายตนเองมากที่สุด หากถามว่ามีความคิดเรื่องเปลี่ยนตำแหน่งหรือไม่ เขาคงตอบได้ว่าย่อมมี
แต่ประการแรก หลี่หรงอวี่คือลูกชายสายตรงคนเดียวของเขา ในบรรดาองค์ชายทุกพระองค์ รัชทายาทผู้นี้เป็นความคาดหวังของเขามากที่สุด ทั้งเฉลียวฉลาด ทั้งมั่นคง ทั้งมีความเข้าใจที่ดีเยี่ยม ตำแหน่งองค์รัชทายาทจะเปลี่ยนได้อย่างไร?
ดังนั้นเขาจึงปลูกฝังองค์รัชทายาทให้เป็นกษัตริย์ปราดเปรื่อง แต่องค์ชายสี่ เขาหวังให้เป็นอ๋องผู้มีคุณธรรม เพียงคาดหวังให้พี่น้องสองคนเป็นมิตรที่ดีต่อกัน
มีเพียงองค์ชายสี่ที่เขารักและเอ็นดู เมื่อก่อนมารดาของอีกฝ่ายเป็นที่โปรดปรานอันดับหนึ่งในวังหลัง ดังนั้นจึงหยิ่งผยอง ตอนยังเด็กก็เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นสิ้นพระชนม์อย่างไม่ทันตั้งตัว สองพี่น้องต่างกลายเป็นเบื้องหน้าอีกอย่างแต่ใจอีกอย่าง กระทั่งนานวันเข้า องค์รัชทายาทกับองค์ชายแปดจึงสนิทสนมกันแทน
องค์รัชทายาทโตแล้ว อีกทั้งยังมากความสามารถ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ต้องการถ่วงดุลอำนาจ กังวลว่าองค์ชายรัชทายาทจะมีชื่อเสียงมากเกินไปแล้วตนจะโดดเดี่ยวตามลำพังจนทำตำแหน่งสั่นคลอน และอาจทำราชสำนักวุ่นวาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงจงใจเลื่อนตำแหน่งให้หลี่หรงซือ ดั่งนกกระยางสู้กับหอยกาบ*[2] บัลลังก์มังกรของเขายิ่งมั่นคง
ครั้นคราวนี้ที่หลี่หรงซือกล่าวถึงถังไท่จื่อ และองค์รัชทายาทพูดว่าตนเองคือหลี่เจี้ยนเฉิง ก็ทำให้เขาอดคิดไม่ได้
ในเวลานี้ เขาไม่ได้สนใจสายสอดแนมที่กำลังคุกเข่า หรือผู้ที่ส่งมือลอบสังหารมาอีกแล้ว กลับกลายเป็นว่าเขาเริ่มกังวลใจ หากหลี่หรงซือล้มองค์ชายรัชทายาทขึ้นมาจริง ๆ เขาจะกลายเป็นหลี่เยวียนคนต่อไปหรือไม่?
แต่หากว่าองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์กับอ๋องหย่งจริง ๆ เขาจะต้องตายด้วยน้ำมือของหลี่หงเสวี่ยงั้นหรือ?
ฮ่องเต้ครุ่นคิดอย่างรำคาญใจ โบกมือครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นจึงตรัสว่า
“เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยมากมาย เช่นนั้น… ศาลต้าหลี่ กรมพลเรือน กองกำลังเทียนจี สามกรมนี้จงเป็นผู้จัดการเรื่องทั้งหมด ส่วนองค์รัชทายาท เจ้ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ข้าขอสั่งให้คุมตัวไว้ในตำหนักบูรพา ออกราชโองการไม่ให้ออกจากตำหนักโดยพลการ องค์ชายสี่หลี่หรงซือ เนื่องจากเป็นผู้รายงาน หากไม่มีเรื่องอะไรไม่จำเป็นต้องออกจากวัง”
เขามองดูกลุ่มนักโทษที่หลี่หรงซือนำเข้ามาอีกครั้ง จากนั้นตรัสว่า “หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว ทั้งหมดจะถูกลงโทษอาญา ใช้รถม้าห้าคันแยกร่างจนสิ้นชีวิต!”
อัครเสนาบดีกวนจวินกับขุนพลอูเว่ยและคนอื่น ๆ อยากเข้ามาช่วยพูดแทนองค์ชายรัชทายาท แต่หลี่หรงอวี่หันศีรษะโบกมือให้พวกเขาหยุด ทุกคนจึงได้แต่ลังเล
เนื่องจากถูกหลี่หรงซือสร้างความวุ่นวายในท้องพระโรงป็นเวลานาน ฮ่องเต้ที่เดิมทีตั้งใจจะประกาศการอภิเษกเชื่อมไมตรีระหว่างหุยหูกับอาณาจักรอวี๋จึงถูกความวุ่นวายกลบไปเสียหมด เขาจึงไม่เอ่ยถึงมันอีก
ในใจของหลี่หรงเฉิงรู้สึกไม่ดีอย่างมาก “องค์ชายรองเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่หรงอวี่ยังคงนับได้ว่าสงบเยือกเย็น เขาเดินออกมาจากไท่เหอเตี้ยน*[3] พร้อมกับหลี่หรงเฉิงได้ด้วยกิริยาสงบ
เขาคือองค์ชายรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา ได้รับความเคารพนับถือจากผู้คนมาตลอด ถึงแม้จะมีพระราชโองการออกมาคุมขัง แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าจับเขา
เหล่าขุนนางที่เพิ่งออกจากท้องพระโรงอยากจะเข้ามาพูดคุย แต่ก็ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร
มีเพียงบิดาของฮองเฮาซึ่งเป็นขุนนางขั้นหนึ่ง เฉียนต้าโหย่ว ผู้มีอุปนิสัยตรงไปตรงมา อีกทั้งยังเป็นขุนนางอาวุโส เขาถามหลี่หรงอวี่ว่า “องค์รัชทายาท ท่านกับกบฏอ๋องหย่งรู้จักกันหรือ?”
“ท่านตาล้อเล่นแล้วกระมัง คำเท็จของคนพวกนั้น ท่านก็เชื่อหรือ?” หลี่หรงเฉิงกล่าว
หลี่หรงอวี่ตอบอย่างเคร่งขรึม “ทั้งหมดเป็นเพียงละครใส่ร้ายป้ายสีเท่านั้น ท่านตาโปรดวางใจ”
เฉียนต้าโหย่วพอใจ ระเบิดหัวเราะเสียงดังออกมา “ดี!”
หลังองค์ชายรัชทายาทกลับไปถึงตำหนักบูรพา เขาก็เข้าห้องตำรา แม้แต่หลี่หรงเฉิงก็ไม่อนุญาตให้เข้าไป
เวลาผ่านไปไม่นาน ทหารองค์รักษ์ก็เข้ามาปิดล้อมตำหนักบูรพา ข้ารับใช้ในตำหนักบูรพาทุกคนถูกนำตัวออกมาสอบสวนอย่างเข้มงวดเพราะความวุ่นวายในท้องพระโรง ทว่าก็ไม่พบสิ่งใดอีก
ตำหนักบูรพาวุ่นวายเละเทะไปหมด เมื่อองค์หญิงผิงหยางทราบข่าว นางจึงรีบไปหาองค์รัชทายาท แต่ถูกองครักษ์รักษาการณ์ของราชวังหยุดไว้
นางเอะอะโวยวายด่าองค์รักษ์เหล่านั้นอย่างหยาบคาย แต่พวกเขาได้รับราชโองการจากฮ่องเต้ ต่อให้ถูกองค์หญิงผิงหยางทุบตีทั้งจนเลือดไหลหมดตัวก็ไม่อาจปล่อยเข้าไป
องค์หญิงผิงหยางไม่มีวิธีอื่น นางจึงไปห้องตำราเพื่อขอร้องฮ่องเต้ ฮ่องเต้ที่กำลังทรงกลัดกลุ้มพระทัยจะไปสนใจผิงหยางได้อย่างไร
นางกลับตำหนักจาวหยาง ปิดประตูไม่รับแขก กลัดกลุ้มไม่พอใจด้วยเช่นกัน ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง นางได้แต่กล่าวว่า หากองค์รัชทายาทที่ถูกกักบริเวณในตำหนักบูรพาออกมาเมื่อไหร่ นางก็จะออกจากประตูเมื่อนั้น
ฮองเฮาก้มฟังสาวใช้กราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นขณะที่กำลังคุยกับเฉินฟู่เซิน ได้ยินแล้วก็อดเดือดดาดขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ นางบอกชุ่ยกัวสาวใช้ของผิงหยางว่า “หากนางไม่อยากออกมา ก็ปล่อยนางไป!”
ชุ่ยกัวผงะกับคำสั่งของฮองเฮา ปกติฮองเฮารักและเอ็นดูบุตรสาวมาตลอด ทว่าบัดนี้กลับไม่ยอมสนใจองค์หญิงผิงหยาง ชุ่ยกัวจึงถอยออกไปด้วยความไม่พอใจนัก
ทันทีที่ประตูปิดลง ฮองเฮาก็ถูขมับแล้วตรัสกับเฉินฟู่เซินว่า “บุตรสาวของข้าคนนี้ บัดนี้โตแล้ว แต่ก็ยังเป็นเด็กโง่อยู่”
เฉินฟู่เซินกล่าว “ปกติแล้วองค์หญิงไร้เดียงสา ในเมื่อพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว เดี๋ยวปัญหาวุ่นวายก็จะผ่านไป”
“พี่น้องรักใคร่?” ฮองเฮายิ้มเหน็บแนม “เฉินฟู่เซิน ประโยคที่เจ้าเพิ่งกล่าวออกมาจากปาก เหตุใดข้าจึงรู้สึกแปลก ๆ กัน?”
เฉินฟู่เซินตอบเสียงเบา “เป็นเพราะกระหม่อมลำบากตั้งแต่เด็ก ไม่มีแม้แต่พี่น้องคนใด”
“เจ้ายืมมือองค์ชายสี่เพื่อตัดกำลังองค์รัชทายาท อีกทั้งยังล้างสายของหลี่หงเสวี่ยในวังหลวง ไม่มีวิธีใดแล้วนอกจากต้องพึ่งพาเจ้า เฉินฟู่เซิน เจ้าหวังทำการใหญ่ แผนการช่างลึกล้ำยิ่งนัก!” ฮองเฮาตรัส
เฉินฟู่เซินยิ้มอย่างถ่อมตัว “ฮองเฮาตรัสชมผิดแล้ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อท่านไม่ใช่หรือ?”
“เพื่อข้า? เพื่อข้าอะไร? ข้าไม่มีได้มีส่วนได้ส่วนเสียในเรื่องนี้เลย ไม่ว่าองค์ชายสี่จะอวดความลำพองใจ หรือองค์รัชทายาทจะมีหน้ามีตา ล้วนไม่เกี่ยวกับข้าทั้งสิ้น” ฮองเฮาทัดผมพลางตรัสราวกับไม่ได้สนใจ
“ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นองค์ชายสี่หรือองค์รัชทายาท ล้วนแต่ไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับท่าน ในวังหลวงแห่งนี้ ผู้ที่อยู่ฝ่ายเดียวกับท่านมีเพียงกระหม่อมไม่ใช่หรือ?”เฉินฟู่เซินตอบกลับ
ในขณะที่ฮองเฮาค่อย ๆ เหลือบมองเขา ดวงตาฉายแววถากถางเย็นชา
“หืม ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเจ้าเองก็เป็นองค์ชายองค์หนึ่ง”
[1] ถังไท่จง คือจักรพรรดิถังไท่ จักรพรรดิรัชกาลที่สองแห่งราชวงศ์ถังของประเทศจีน (ราว 1,600 ปี) ได้ยึดถือหลักคำสอนของขงจื๊อในการปกครองประเทศ และทำให้ประเทศจีนในยุคที่พระองค์ปกครองรุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในยุคสมัยของพระองค์ราชวงศ์ถังนั้นยิ่งใหญ่มากมายนั้นเลยก็ว่าได้
[2] กระยางสู้กับหอยกาบ หมายถึงสองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่กลับให้ฝ่ายที่สามกอบโกยผลประโยชน์ไป
[3] ไท่เหอเตี้ยน คือหอสมานฉันท์ในตำหนักไท่เหอ