ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 117 ปะทะในท้องพระโรง
บทที่ 117 ปะทะในท้องพระโรง
เดิมทีหลี่หรงเฉิงยืนอยู่ด้านหลัง เขารีบก้าวไปข้างหน้าก่อนจะตรัสว่า “คำพูดขององค์ชายสี่ไม่ถูกต้อง องค์รัชทายาทเป็นผู้สืบบัลลังก์ ทรงงานแทนและยังรายงานเสด็จพ่อทุกเรื่อง เหตุใดจึงต้องกล่าวว่าอำนาจตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น”
หลี่หรงซือยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เสด็จพ่อวางใจในองค์รัชทายาท ให้องค์รัชทายาทดูแลงานทุกอย่างนอกวังเพียงผู้เดียว ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทมักจะขี่ม้าเข้าออกวังลำพัง เข้าออกที่นาราชสำนัก ท่านทำเช่นนั้นจริงหรือ?”
หลี่หรงอวี่ไร้ความอับอาย ไม่กลัวคำถามขององค์ชายสี่แต่อย่างใด “ข้าได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยจัดการที่นาราชสำนัก จะเข้าออกกี่หนแล้วจะมีปัญหาอันใด”
หลี่หรงซือตรัสว่า “ในเมืองหลวงแห่งนี้ ไม่ว่าจะนอกหรือใน องค์รัชทายาทจะเสด็จไปที่ใด แน่นอนว่าไม่มีปัญหา”
ฮ่องเต้ฟังแล้วร้อนใจจึงถามออกมา “หรงซือ เจ้ามีเรื่องอะไรก็รีบพูด”
“ได้ยินข่าวมาว่า ปีที่แล้วองค์รัชทายาทอยู่นอกที่นาราชสำนัก เคยถูกคนพาลทำร้ายได้รับบาดเจ็บร้ายแรง จริงหรือไม่?”
หลี่หรงอวี่รู้สึกตกใจ
เขาถูกลอบสังหารจนบาดเจ็บสาหัส แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง เขาบังเอิญเจอเหยียนอี้ที่ถูกผิงหยางวางแผนลักพาออกนอกวัง จึงกลับไปที่นาราชสำนัก เดิมทีเขาปกปิดอาการบาดเจ็บจากคนในวัง ไม่เคยบอกใครแม้แต่คำเดียวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วหลี่หรงซือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ จึงถามหลี่หรงอวี่ “รัชทายาท เกิดอะไรขึ้น”
หลี่หรงอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาเล่าเรื่องที่ตนถูกลอบสังหาร ถึงจะไม่บาดเจ็บสาหัส แต่เขาออกจากวังไปจริง ๆ หลังจากองครักษ์เงาตรวจสอบเรื่องการตายของคนในสำนักเทียนจี เขาก็พบว่าบิดาตนเป็นผู้บงการสั่งฆ่าคนในสำนักเทียนจี ทั้งนี้เพราะเรื่องทุกอย่างถูกขจัดหมดแล้ว ฮ่องเต้จึงประทานความตายให้กับสำนักเทียนจี
บุตรชายตรวจสอบบิดา อีกทั้งเรื่องที่ตรวจสอบยังเป็นเรื่องที่บิดาพยายามปิดบังมากที่สุด จะให้เขาพูดต่อหน้าเหล่าขุนนางในท้องพระโรงได้อย่างไร
ในเวลานี้ หลี่หรงซือชิงตอบตัดหน้า “องค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร บาดเจ็บสาหัสไม่เบา แท้จริงแล้วต้องเป็นเรื่องใหญ่ แต่องค์รัชทายาทจงใจปิดบังผู้คนวัง แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังไม่รู้ ข้าขอถามองค์ชายรอง เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
หลี่หรงอวี่ไม่รู้ว่าหลี่หรงซือตรวจสอบมามากน้อยแค่ไหน ไม่รู้เหตุใดเขาจึงหยิบยกขึ้นมาพูดตอนนี้ แต่หากโป้ปดในเวลาเช่นนี้คงไม่ฉลาดเท่าไร
เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตอบตามความจริง “ทูลเสด็จพ่อ เมื่อปีที่แล้ว ที่กระหม่อมอยู่นอกที่นาราชสำนักนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ประการแรก บาดแผลไม่ร้ายแรง กระหม่อมเกรงฮ่องเต้กับฮองเฮาทรงไม่สบายพระทัย”
“ประการที่สอง กระหม่อมรู้ความจริงเกี่ยวกับคนร้ายแล้ว ไม่อยากรายงานเรื่องนี้ในราชสำนัก เพราะอาจก่อให้เกิดความไม่น่าเชื่อถือ จึงปิดบังไม่รายงาน ขอให้เสด็จพ่อทรงประทานอภัย”
รอยยิ้มผุดพรายบนใบหน้าหลี่หรงซือ “โฮ่ ปรากฎว่าองค์รัชทายาทรู้ตัวผู้ลอบสังหารอยู่แล้วหรือ นึกว่าไม่รู้เสียอีก”
ฮ่องเต้ถามหลี่หรงอวี่ “ใครคือคนลอบสังหาร ช่างกล้านัก!”
หลี่หรงอวี่ตอบกลับ “ทูลเสด็จพ่อ คนลอบสังหารคือกบฏอ๋องหย่งพ่ะย่ะค่ะ”
ทันทีที่คำกล่าวนี้ถูกเปิดเผย เหล่าขุนนางพากันตกตะลึง ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ออกมาเซ็งแซ่
ยี่สิบหนาวที่แล้ว อ๋องหย่งยังคงเป็นน้องชายของฮ่องเต้ อ๋องหย่งหมายจะช่วงชิงราชบัลลังก์ ก่อกบฏสังหารผู้คนในวัง ตั้งใจร่วมมือกับคนในวังเพื่อก่อกบฏ อาณาจักรอวี๋กลายเป็นสนามรบครั้งใหญ่ บิดาของหลี่หรงอวี่เอาชนะได้ทันท่วงที ทิ้งไว้ซึ่งซากศพกองเป็นภูเขา ธาราท่วมไปด้วยหยาดเลือด
หลังสงครามสงบลง เมืองอวี๋เหลือเพียงความว่างเปล่า โลหิตไหลนองธารา ขุนนางที่ยังมีชีวิตรอดอยู่ยังจำภาพทะเลโลหิตได้ ยามพูดถึงแล้วสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป
หลังจากที่อ๋องหย่งพ่ายแพ้ เขาก็หนีไปยังเส้นทางเล็ก ๆ ไม่นานก็ได้ข่าวว่าถูกสังหารในแม่น้ำเหลือง อำนาจของเขาฝังรากไว้ลึกนานเกินไป มีขุนนางชั่วสนับสนุนไม่น้อย ฮ่องเต้จึงเสด็จไปทั่วอาณาจักรเพื่อถอนรากถอนโคน
ถึงแม้กบฏอ๋องหย่งจะถูกทุบตีให้ตายหลายครั้ง แต่วันนั้นบุตรชายอ๋องหย่งอย่างหลี่หงเสวี่ยกลับไม่ได้ถูกกำจัด จึงกลายมาเป็นคลื่นใต้น้ำในภายหลัง
“อ๋องหย่ง… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า… คาดไม่ถึงกบฏอ๋องหย่งยังอยู่ในเมืองหลวง เที่ยวใช้อำนาจบาตรใหญ่ ลอบสังหารองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์!” ฮ่องเต้ทรงพิโรธ ลุกพรวดขึ้นจากบัลลังก์มังกร
เมื่อโอรสสวรรค์แสดงอำนาจบารมี ขุนนางทุกคนต่างพากันหวาดกลัว จนต้องรีบคุกเข่าลงกับพื้น เมื่อคนหนึ่งคุกเข่า ทุกคนก็พากันคุกเข่าลงไปทั้งหมด เพราะเกรงว่าจะถูกลากไประบายอารมณ์
บรรยากาศในท้องพระโรงเต็มไปด้วยความอึดอัด มีเพียงพระโอรสไม่กี่พระองค์ที่ยังคงยืนอยู่ องค์ชายห้าหลี่หรงหัวมองไปรอบด้านพลางนึกหวาดกลัว อีกทั้งยังทำท่าจะคุกเข่าลงไป
“ลุกขึ้นมา!” ฮ่องเต้ตวาดขึ้นอย่างโกรธจัด แต่องค์ชายห้าตกใจมากจนไม่กล้าที่จะคุกเข่าหรือยืนขึ้น ได้แต่ทำตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
หลี่หรงซือหลือบมองหลี่หรงอวี่ด้วยความพอใจเล็กน้อย จากนั้นก็ตรัสกับฮ่องเต้ “อ๋องหย่งปรากฏขึ้นในชานเมือง เดิมทีเป็นเรื่องใหญ่ ยังมีเรื่องที่องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บอีก แต่องค์รัชทายาทกลับไม่รายงาน เช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะสมคบคิดกับหลี่หงเสวี่ย แล้วปกปิดบางอย่างเอาไว้?”
หลี่หรงอวี่โต้กลับ “กล่าววาจาเหลวไหล ข้าได้รับบาดเจ็บ เหตุใดจึงกลายเป็นร่วมมือกับคนลอบสังหาร?”
หลี่หรงซือยิ้มเยาะ “เพื่อปกป้องชีวิตกระมัง เรื่องลอบสังหารอาจไม่เป็นความจริง ลอบสังหารจริงหรือไม่ไม่มีผู้ใดรู้ เช่นนั้นเหตุใดหลังจากกลับมาถึงแล้วไม่พูดอะไรสักคำ”
หลี่หรงอวี่พูดไม่ออก
ฮ่องเต้ถาม “รัชทายาท บอกเหตุผลมา”
ก่อนที่หลี่หรงอวี่จะตอบ หลี่หรงซือก็ตรัสขึ้น “เสด็จพ่อ กระหม่อมได้รับคำสั่งให้นำทหารองครักษ์ไปที่กำแพงพระราชวัง คาดไม่ถึงว่าวันนั้นจะพบองครักษ์ทำความผิด องครักษ์ผู้นั้น เพื่อปกป้องชีวิตตนเองแล้ว เขากล่าวบางอย่างกับกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ฟังแล้วน่าตกใจนัก ตอนนั้นกระหม่อมจึงถือโอกาสตรวจสอบเกี่ยวกับวันที่องค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร ตอนนี้องครักษ์ผู้นั้นอยู่หน้าตำหนัก เสด็จพ่อลองรับฟังก็ไม่เสียหาย”
หลี่หรงเฉิงรีบแย้ง “องค์ชายสี่หยาบคายเกินไปแล้ว ที่นี่คือท้องพระโรง ไม่ใช่ศาลตัดสินคดี ยังจะส่งพยานอะไรเข้ามาในท้องพระโรง?”
หลี่หรงซือตรัสต่อ “นี่เป็นบทลงโทษสำหรับเสมียนผู้ช่วยฉ่าย เขาคือขุนนางขั้นสูงที่รับการเลื่อนตำแหน่งจากองค์รัชทายาทเอง กระหม่อมมิกล้าพาตัวมา”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว จากนั้นจึงออกคำสั่ง “เอาเข้ามา!”
จ้าวอัน ขันทีคนสนิทรับคำสั่งทันที “เชิญพยาน!”
ชายหนุ่มสวมชุดนักโทษ ใบหน้าสกปรกมอมแมม ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ถูกขันทีสองคนนำตัวไปยังท้องพระโรง จากนั้นก็ให้คุกเข่าอยู่ตรงบันไดหน้าบัลลังก์
เขามีฐานะต่ำต้อย ครั้งแรกที่เขาเห็นฮ่องเต้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกวิตก หวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก
หลี่หรงซือจ้องไปที่นักโทษที่ยืนตัวสั่นไม่กล้าปริปากหรือขยับกาย เพราะปากถูกปิดตาย ไม่มีวิธีที่จะเอ่ยออกมาได้ หลี่หรงซือจึงตรัสแทน
“ชายคนนี้ชื่อหยูหยางเฟย เป็นองครักษ์เฝ้าประตูซีจื่อ ทั้งบิดากับพี่ชายของเขาคือคนดูแลที่นาราชสำนักหลวง เมื่อไม่กี่วันก่อนมีชาวบ้านในที่นาราชสำนักทะเลาะวิวาทกัน บิดาของเขาฆ่าคนตายเพราะโกรธจัด จิงจ้าวอินจึงตัดสินเนรเทศบิดาของหยูหยางเฟย”
“หยูหยางเฟยไร้ทางออก ดื่มสุราทั้งวันทั้งคืน คืนหนึ่งในเวลาเข้ากะ เป็นเพราะเขาดื่มสุราโดยพลการ จึงพลาดทำตะเกียงเทียนล้ม จนเกือบทำให้เกิดเพลิงไหม้”
ฮ่องเต้ได้ยินหลี่หรงซือพูดเช่นนี้ก็ชักรำคาญใจ แต่หลี่หรงซือยังคงตรัสอย่างค่อยเป็นค่อยไป “เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่ สมควรถูกประหารชีวิตตามกฎทหาร เผอิญว่ากระหม่อมอยู่ที่นั่นพอดี ดังนั้นเพื่อรักษาชีวิตตนเอง เขาจึงบอกเรื่ององค์รัชทายาทถูกลอบสังหารในที่นาราชสำนัก”
หลี่หรงอวี่ตรัสอย่างเย็นชาว่า “กระหม่อมถูกลอบสังหารในวัดหอกเหล็กนอกที่นาราชสำนัก แต่เรื่องนี้คนในที่นาราชสำนักไม่อาจรู้ อีกอย่าง กองทัพมีกฎห้ามมีสมาชิกในครอบครัวทำงานในที่นาราชสำนัก กระหม่อมไม่เข้าใจ ลั่วอิ๋งเป็นคนจัดการเรื่องต่าง ๆ ของตำหนักบูรพา แล้วเหตุใดองครักษ์ถึงรู้ได้?
หลี่หรงซือยุยงต่อ “จะเกิดอะไรขึ้นหากบิดาและพี่ชายของคนผู้นี้ตั้งใจเข้าเขตที่นาราชสำนัก ส่วนเขาก็มาที่วังในฐานะองครักษ์หลังจากการลอบสังหาร ?”
หลี่หรงเฉิงฟังแล้วตระหนักได้ว่าไม่ถูกต้อง เขาจึงรีบถาม “องค์ชายสี่ ท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลี่หรงซือไม่สนใจหลี่หรงเฉิง จึงตรัสต่อไปว่า “ทูลฮ่องเต้ หยูหยางเฟยนั้น เดิมทีเป็นสายลับของหลี่หงเสวี่ย ถูกวางกำลังไว้ในทหารองครักษ์ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กระหม่อมได้ตรวจสอบทั่วราชวัง ตรวจสอบแล้วพบทหารองครักษ์ห้านาย ขันทีสามนายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอ๋องชั่วช้าผู้นั้น”
ชายหนุ่มเอ่ยจบก็ปรบมือขึ้น ตามมาด้วยบุรุษแปดคนที่ถูกลากเข้ามาจากนอกห้องโถง ทุกคนถูกทรมานอย่างสาหัส ศีรษะโชกไปด้วยเลือด บาดแผลทั่วกายเปิดออกจนเหวอะหวะ
หลี่หรงซือหยิบกระดาษปึกหนาออกมายื่นให้ขันทีจ้าว จากนั้นขันทีจ้าวจึงยื่นให้ฮ่องเต้
“หยูหยางเฟยและแปดคนนี้ถูกกระหม่อมสอบสวนหลายรอบ พบจดหมายหลายฉบับอยู่ในที่พักของคนพวกนี้ ยืนยันแล้วว่าอ๋องหย่งและหลี่หงเสวี่ยส่งสายสอดแนมมายังวังหลวง คำสารภาพและหลักฐานทั้งหมดสรุปออกมาเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้เหลือบมองเพียงไม่กี่ครั้งก็พิโรธอย่างยิ่ง เขาโยนกระดาษกระแทกลงพื้น แผดเสียงตวาดอย่างขุ่นเคือง “ช่างกล้าหาญเหลือเกิน! คาดไม่ถึงว่าจะกล้าจัดวางกำลังคนไว้ในวังของข้า!”
หลี่หรงซือเหลือบมองหลี่หรงอวี่แล้วตรัสว่า “องค์รัชทายาทมีงานต้องครุ่นคิดมากมายในวัง คิดว่าเรื่องกบฏอ๋องหย่งปรากฏตัวแถวชานเมืองเป็นเรื่องเล็กหรือไม่”
หลี่หรงอวี่รู้อยู่เสมอว่าวังหลวงนี้ไม่ได้ขาวสะอาดนัก เขาได้ตรวจสอบอย่างละเอียดหลายครั้ง แต่เรื่องเช่นนี้ถูกปกปิดเอาไว้ ยิ่งไม่ใช่บุคคลฐานะสูง ก็ไม่ต่างกับงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้ว่าหลี่หรงซือมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไรจึงสามารถจับพวกเขาทั้งหมดในคราวเดียวได้?
แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยออกมาแล้วยอมตรัสว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่ล่วงรู้ว่าในวังถูกคนสอดแนมเช่นนี้ ขอเสด็จพ่อทรงประทานอภัย!”
“ไร้ความสามารถ?” หลี่หรงซือเยาะเย้ยขึ้นมา “องค์ชายรัชทายาททรงงานมากมายแทนเสด็จพ่อ แต่เรื่องอ๋องกบฏกลับมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เช่นนี้เรียกว่าไร้ความสามารถอย่างแท้จริง องค์รัชทายาทตัดสินใจการเมืองอย่างเด็ดขาด แต่เรื่องหลี่หงเสวี่ยกลับตรวจสอบไม่พบอะไรเลยงั้นหรือ?”
หลี่หรงเฉิงได้ยินแล้วก็ก้าวไปข้างหน้า ตั้งใจที่จะเถียงกับหลี่หรงซือ กระนั้นเขาก็ถูกพี่ชายหยุดไว้อย่างเงียบ ๆ
หลี่หรงซือตรัสต่อ “ตามที่กระหม่อมเห็น ไม่ใช่เพราะองค์รัชทายาทไม่ตรวจสอบ แต่เป็นเพราะไม่อยากตรวจสอบต่างหาก!”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ถาม
หลี่หรงซือคุกเข่าลงพร้อมกับประสานมือไว้ที่หน้าอก ตรัสกับฮ่องเต้ว่า “เสด็จพ่อ กระหม่อมได้รับความไว้ใจจากเสด็จพ่อกับเหล่าขุนนาง รับคำสั่งดูแลทหารองครักษ์ราชวัง ด้วยเหตุนี้ยิ่งไม่อยากมองตะปูในตาหนามในเนื้อ*[1] ขององค์รัชทายาท แม้ว่ามารดาของกระหม่อมจะถูกใส่ร้ายลดฐานันดรศักดิ์ไปก็ตาม”
“มารดาของท่านวางแผนลอบสังหารไทเฮา สมควรได้รับโทษ เกี่ยวอะไรกับองค์ชายรอง?” หลี่หรงเฉิงถามอย่างโกรธจัด
หลี่หรงซือไม่สนใจ ตรัสต่ออีกว่า “องค์รัชทายาทไม่มีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ ทว่าในมือของกระหม่อมถือทหารไว้กว่าหมื่นนายในวังหลวง องค์รัชทายาทย่อมหวาดกลัว”
“หลังองค์รัชทายาทถูกลอบสังหาร พระองค์ก็อ้อนวอนขอความเมตตาจากฝ่ายกบฏ ถูกฝ่ายกบฏใช้เป็นเครื่องมือยึดอำนาจทางทหาร ฟังจากที่พวกคนทรยศสารภาพ พบว่ามีการวางทหารสอดแนมไว้ในพระราชวังเรียบร้อยแล้ว ทหารสอดแนมของเขาเหล่านี้ล้วนเป็นหูเป็นตาให้พวกกบฏ!”
หลี่หรงอวี่ฟังหลี่หรงซือกล่าววาจาใส่ร้ายป้ายสี ยิ่งได้ยินก็ยิ่งรู้สึกโกรธเคือง และอดหัวเราะไม่ได้ “องค์ชายสี่ พระราชวังแห่งนี้เป็นของรัชทายาทแห่งตำหนักบูรพาแล้ว จะไปผูกมิตรกับพวกกบฏให้เข้ามาสอดแนมในพระราชวังงั้นหรือ ไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ?”
ในขณะที่หลี่หรงซือตรัสแย้งขึ้นว่า “หลี่หงเสวี่ยมีกำลังคนในมือนับหมื่น กระจายตัวไปทั่วแผ่นดิน อำนาจก็มีไม่น้อย องค์รัชทายาทกับกบฏต่างได้ประโยชน์ รัชทายาทกุมการเมือง กบฏกุมกำลังทหาร เพียงแค่อยากกำจัดกระหม่อมออกจากแผ่นดินอวี๋ทีละน้อย ไฉนเลยจะเป็นไปไม่ได้!”
[1] ตะปูในตาหนามในเนื้อ หมายถึง มีเรื่องให้รังเกียจไม่พอใจ
*ทีมงาน enjoybook ขออนุญาตแก้ไขตำแหน่งจาก ‘ฮ่องเต้ยง’ เป็น ‘อ๋องหย่ง’ ขออภัยมา ณ ที่นี้