ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 116 เป็นไปไม่ได้
บทที่ 116 เป็นไปไม่ได้
มือขวาของหลี่หรงอวี่ค้างในอากาศอยู่ครู่ใหญ่
“เหยียนอี้ เจ้าชัดเจนมากเกินไป ข้า… ข้าคิดอยู่ตลอด เพราะท่าทีเช่นนี้ของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกกลัว เพราะยิ่งชัดเจนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนข้าห่างไกลเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”
หลี่หรงอวี่กำลังจะพูดอย่างอื่น แต่ลั่วอิ๋งเคาะประตูเบา ๆ ขึ้นเสียก่อน เขาจึงไม่ได้พูดต่อ ชายหนุ่มเดินออกจากประตู เตรียมตัวไปออกราชการพร้อมกันกับหลี่หรงเฉิง
ลั่วอิ๋งมาส่งเหยียนอี้ที่ตำหนักฉืออัน ประจวบเหมาะกับไทเฮาที่กำลังเดินเล่นช่วงเช้าอยู่พอดี ลั่วอิ๋งเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค แต่งเรื่องเล็กน้อยก่อนจะจากไป
ลั่วอิ๋งเป็นนางใน มีหน้ามีตาประจำตำหนักบูรพา นอกจากองค์รัชทายาทแล้วก็ไม่มีใครกล้าชี้นิ้วสั่ง คาดไม่ถึงว่านางจะมาส่งเหยียนอี้ด้วยตัวเอง ไทเฮามองไปที่เหยียนอี้ด้วยสายตาที่ฉายชัดถึงความเข้าใจผิด เพราะเมื่อคืนเหยียนอี้ไม่ได้กลับตำหนักฉืออัน
เหยียนอี้ต้องการจะอธิบาย แต่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ดังนั้นนางจึงต้องปิดปากสนิท
ไทเฮาตรัสอย่างเย็นชาว่า “เหยียนอี้ ข้าชอบเจ้า เจ้า… ดีมาก”
พูดจบนางก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
เหยียนอี้คิดจะตามไป แต่ถูกฟางกูกูหยุดไว้
ฟางกูกูที่ปกติมักมีสีหน้าอ่อนโยน ตอนนี้กลับแข็งกระด้างเล็กน้อย นางพูดกับเหยียนอี้ว่า “เหยียนอี้ วันนี้เจ้าไม่ต้องไปที่ห้องเครื่องทำน้ำแกงแล้ว”
“กูกู มีบางอย่างที่พระองค์เข้าใจผิด ความจริงแล้วข้ามีเรื่องกราบทูลเกี่ยวกับตำหนักบูรพา…” เหยียนอี้รีบกล่าว
ฟางกูกูตอบเสียงต่ำ “เหยียนซ่างซาน*[1] ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ไปพักผ่อนก่อนเถิด”
เหยียนอี้รู้ดี หากยังไม่อธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจ ต่อไปนางก็จะเสียความไว้ใจจากไทเฮา จึงไม่สนใจฟางกูกูอีก นางหยุดไทเฮาไว้ คุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “พระองค์โปรดฟังข้าน้อยสักคำเถิด!”
สีหน้าไทเฮาไม่ดีนัก นางมองไปที่ฟางกูกู ฟางกูกูก็เข้าใจ รีบไล่คนรอบบริเวณออกไปเสียก่อน
เหยียนอี้เห็นผู้คนออกไปแล้วก็พูดว่า “เมื่อคืนข้าน้อยพบองค์หญิงอากุ้ยลี่ที่ตำหนักหลินเจียง ขณะกลับห้องนอนก็ไปเจอกับพวกคนเลว นี่….”
ทว่าไทเฮาไม่อยากฟังเหยียนอี้อธิบาย จึงตรัสเสียงเบาว่า “ข้าแก่แล้ว แต่ไม่ได้หูตาบอด ความในใจขององค์ชายรัชทายาท ข้าย่อมเห็นอยู่ เจ้าเองก็เป็นเด็กฉลาด ไม่จำเป็นต้องแกล้งโง่”
เหยียนอี้ได้ยินไทเฮาตรัสเช่นนี้จึงก้มหัวต่ำลง
ไทเฮาลูบหัวของนางแล้วตรัสต่อ “ตอนแรก เป็นองค์ชายรัชทายาทมาขอร้องข้า บอกว่าเจ้าอยู่ในห้องเครื่องหลวงนั้นลำบาก ถูกคนรังแก ข้าจึงให้เจ้าอยู่ที่นี่”
“เดิมที ข้าอยากให้เจ้ารู้ฐานะตนเอง แต่ช่วงที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ เจ้าเป็นคนรู้ก้าวรู้ถอย ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมาก ข้าจึงชอบเจ้ามาก อนาคตหากองค์รัชทายาทแต่งพระชายา หากเจ้าอยากเป็นสาวใช้ข้างห้อง ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้”
เหยียนอี้รีบกล่าว “ไทเฮา หม่อมฉันไม่ต้องการ…”
ไทเฮาตัดบทนาง “แต่เจ้าต้องรู้จักฐานะตัวเอง ยิ่งเจ้าปีนกิ่งสูง ข้าก็ไม่อาจทนเจ้าได้”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ข้าน้อยไม่กล้าคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”
ไทเฮาหัวเราะ “ไม่กล้าคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ วันนี้กลับวิ่งไปตำหนักบูรพา ดูแล้วตำหนักฉืออันแห่งนี้คงจะรั้งเจ้าไว้ไม่ได้แล้ว!”
เหยียนอี้รีบโขกหัวลงกับพื้นสามครั้ง ‘ปึง ปึง ปึง’
“ข้าน้อยไม่กล้า! องค์รัชทายาทเป็นผู้ปกครองอาณาจักรคนต่อไป เป็นสุริยันอยู่บนท้องนภา ข้าน้อยจะกล้ายั่วยวนฝ่าบาทได้อย่างไร? ความจริงเมื่อคืนข้าน้อยเจอคนเลว มีเรื่องสำคัญที่ต้องการทูลองค์รัชทายาท เกรงว่าหากช้าไม่ทันกาลอาจพลาดเรื่องใหญ่ ข้าน้อยจึงใช้ความกล้านั่งอยู่ตรงประตูตำหนักบูรพาถึงเช้าตรู่…”
ไทเฮาสงสัย “นั่งรอตรงประตูตำหนักบูรพาทั้งคืน? เจ้าจะบอกว่าเจ้าไม่ได้เข้าไปในตำหนักบูรพาหรือ?”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ช่วงเช้าฝ่าบาทออกมาจากประตูเห็นข้าน้อย พระองค์จึงพาบ่าวเข้าไปในตำหนักเพคะ”
ไทเฮาได้ยินเช่นนี้ สีหน้ากรุ่นโกรธค่อย ๆ มลายหายไป “แท้จริงแล้วเป็นเช่นนั้นหรอกหรือ?”
เหยียนอี้กล่าวสาบาน “ข้าน้อยไม่กล้าหลอกลวงเพคะ”
ไทเฮาจ้องมองดูนาง ตรัสต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมาก “รีบพูดมาเถิด”
เหยียนอี้ไม่กล้าลุกขึ้น นางยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น “องค์รัชทายาททรงมีความเมตตา ข้าน้อยรู้สึกละอายใจยิ่งนัก อีกทั้งยังรู้สึกไม่สบายใจ โปรดวางใจเถิด”
ไทเฮาฟังประโยคนั้นแล้วก็ถามนางด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “เช่นนั้น เจ้าไม่มีความปรารถนาต่อฝ่าบาทหรอกหรือ?”
เหยียนอี้ชะงัก เผลอบีบนิ้วจนข้อนิ้วเปลี่ยนเป็นสีขาว นางกัดริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “ไม่มีเพคะ”
ไทเฮาพยักหน้า “แท้จริงแล้ว หากเจ้าปรารถนา ไว้ผ่านไปสักสองปี ให้องค์รัชทายาทแต่งพระชายาเสียก่อน แล้วข้าค่อยไปขอร้องให้เจ้าคลอดบุตร ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้”
“ถึงหม่อมฉันมาจากหมู่บ้านบนเขาสันโดษ มีฐานะต่ำต้อย แต่ยังรู้ความ ความจริงแล้วสำหรับอนุภรรยานั้น ไม่อาจถูกนับเป็นครอบครัว ไม่ต้องพูดถึงบุตร ยิ่งหากหม่อมฉันเป็นอนุภรรยา หม่อมฉันยิ่งไม่ยินยอม”
ไทเฮาพยักหน้าด้วยความพึงใจ “ยอมเป็นภรรยาสามัญชน ไม่เป็นอนุตระกูลสูงศักดิ์ เจ้าช่างเป็นเด็กดี มีปณิธานเด็ดเดี่ยว”
ฟางกูกูเห็นไทเฮาโล่งใจก็เดินเข้ามาจับมือเหยียนอี้พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหยียนซ่างซานเป็นคนมีรูปลักษณ์น่าประทับใจ มารยาทดีงาม เจ้าอยู่ตำหนักแห่งนี้คอยปฏิบัติรับใช้ก่อน หากเจ้าโตกว่านี้ ไทเฮาจะแนะนำงานแต่งให้เจ้า แต่งให้กับคนดี ยังมีให้เลือกอีกมากมายในอนาคต”
ไทเฮาแย้มยิ้ม “เจ้ายังอายุน้อยก็ได้เป็นกองปรุงอาหารขั้นสี่*[2] แล้ว ในอนาคตหากอยากแต่งกับองค์รักษ์จินอู๋ ข้าก็จะช่วยเจ้า”
เหยียนอี้รู้ว่าองค์รักษ์จินอู๋ในวังหลวง หากไม่ใช่ขุนนางตระกูลเก่าแก่ ก็เป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยม ได้รับความสำคัญอย่างมาก อนาคตไร้ขอบเขต เหยียนอี้เป็นนางในสามัญชนวังหลวง นับเป็นคู่ที่เหมาะสมกันยิ่งนัก
แต่…สำหรับสตรีแล้ว การแต่งงานที่ดีนับเป็นการฝากชีวิตไว้ทั้งชีวิต
เมื่อไทเฮาเห็นสีหน้านางไร้ความยินดีก็นึกว่านางขี้อาย จึงเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า เจ้าไปตำหนักบูรพาเพราะมีเรื่องสำคัญ เรื่องนั้นเป็นเรื่องใด?”
เหยียนอี้จึงเล่าเกี่ยวกับจี้ชิงเฟิง รุ่ยชินหวังแห่งอาณาจักรเหยียนที่ตนเจอเมื่อคืนให้ไทเฮาฟัง
ไทเฮาฟังเเล้วก็ครุ่นคิด นางอยู่ในวังหลังนานแล้ว ไม่ได้สนใจการเมือง ยิ่งเรื่องผังหยินหยาง นางก็ยิ่งไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ถึงอย่างไร นางก็ไม่ใช่คนขี้ลืม พอรู้ว่ารุ่ยชินหวังแห่งอาณาจักรเหยียนแอบลักลอบเข้าวังโดยพลการเพื่อหาของล้ำค่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ธรรมดา นางจึงชมเชยเหยียนอี้ “เจ้าปราดเปรื่องมาก เวลาเช่นนั้นยังหลอกล่อเขาให้พูดออกมา”
เหยียนอี้กล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าน้อยหลอกเขาให้พูดออกมา ข้าน้อยคิดว่ารุ่ยชินหวังที่มาตามหาสิ่งนั้นในวังหลวงคนเดียวต่างหาก เขาตั้งใจบอกกับข้า บอกให้ข้าเอาไปบอกองค์รัชทายาทหรือฮ่องเต้ว่าสิ่งของที่เขาต้องการอยู่ในวังแห่งนี้ เขาจงใจให้พวกเราหาของสิ่งนั้นให้เขา”
ไทเฮาตรัสอย่างเย็นชา “วังหลวงอาณาจักรอวี๋เป็นสถานที่ใด เขากล้ามาสำรวจเก็บของใส่กระเป๋าจริงหรือ”
“พวกเราไม่อาจที่จะไม่ป้องกันได้เลยเพคะ” เหยียนอี้กล่าว
ไทเฮาพยักหน้า “การที่เจ้าไปบอกองค์รัชทายาทเป็นอันดับแรกนั้นดีมาก เรื่องสำคัญเช่นนี้ควรให้เขารู้ก่อน”
“ตอนรุ่ยชินหวังเข้ามาในวังกลางดึก ข้าน้อยได้สนทนากันอยู่พักหนึ่ง เขาเป็นยอดฝีมือ ไม่อาจจับเขาได้ ข้าน้อยทำให้เขาหนีไปได้เสียก่อน”
ไทเฮาตรัส “เมื่อคืนเจ้าจับเขาได้ก็เปล่าประโยชน์ เขามีหนังสือกราบทูลเข้าวังอยู่กับตัว ยิ่งมีแต่จะทำให้เขาออกจากวังง่ายขึ้น พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้เลย แล้วองค์รัชทายาทว่าอย่างไรบ้าง?”
เหยียนอี้ตอบกลับ “องค์ชายรัชทายาทไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับแผนที่นั้นมาก่อน ข้าน้อยไม่มีเวลาปรึกษากับองค์ชายรัชทายาทเท่าไร องค์ชายแปดเข้ามาในตำหนักเสียก่อน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไปท้องพระโรงพร้อมกัน ข้าน้อยจึงกลับมาที่นี่”
ไทเฮาพยักหน้ารับรู้ “อืม…เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาเหล่าพี่น้องไปจัดการเถิด พวกเราเป็นสตรีไม่จำเป็นต้องไปยุ่งเกี่ยว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”
หลี่หรงอวี่และหลี่หรงเฉิงมาถึงประตูไท่เหอ*[3] เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ก็มาถึงเรียบร้อยแล้ว หลังจากทักทายกันฮ่องเต้จึงเสด็จเข้ามา
เหล่าขุนนางพากันถวายพระพร ทรงพระเจริญหมื่นปี หลังจากคำนับเสร็จ ขุนนางก็แบ่งออกเป็นฝ่าย ๆ แต่ละคนเตรียมรายงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย
เขตปกครองส่านกาน*[4] ช่วงต้นฤดูหนาวมีหิมะตกหลายแห่งทางตอนเหนือ หิมะถล่มสองครั้ง ทำลายเส้นทางสัญจรไปมา เมล็ดพืชเพาะปลูกตอนเหนือจึงต้องหยุดชะงัก
โชคดีที่อากาศไม่หนาวมาก อีกทั้งหิมะยังละลายในช่วงสองวันที่ผ่านมา ใช้เวลาเพียงสองสามวันคงจะได้ขุดลอกถนนอีกครั้ง ทหารในตอนเหนือจะได้ไม่อดตายช่วงหน้าหนาว
ส่วนจิงจ้าวอินรายงานปัญหาเก็บภาษีที่ดินของเขตที่นาราชสำนัก มีคนตีกันจนถึงแก่ชีวิต ทะเลาะวิวาทมาถึงจวนจิงจ้าวอิน สุดท้ายไกล่เกลี่ยไม่เป็นผล ยังมาทะเลาะต่อในศาล อีกทั้งยังทำร้ายเจ้าหน้าที่
เป็นเพราะคดีนี้เกี่ยวพันกับชีวิต เพราะเป็นคนของหวงจวง ตามกฎจวนจิงจ้าวอินไม่สามารถตัดสินใจได้คนเดียว ต้องให้ศาลต้าหลี่ช่วยกันพิจารณา ตอนนี้คดีถูกปิดไป ผู้ต้องหาถูกลงโทษปรับเงินตามทรัพย์สินของครอบครัว เนรเทศไปยังเขตฉู่*[5] แต่จำเลยไม่ยอมแพ้คดี ส่งมอบหนังสือกราบทูลขอพิจารณาคดีใหม่
กรมโยธารายงานเรื่องการบูรณะพระราชวังหน้าอีกครั้ง…
วันนี้มีสาสน์กราบทูลไม่น้อย กิจธุระค่อนข้างมาก แต่ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องเล็กน้อย ฮ่องเต้ฟังไม่กี่เรื่องก็หมดความอดทน “เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ขุนนางทั้งหลายจงส่งหนังสือร่างไปให้องค์รัชทายาทรับแก้ไขปัญหาเถิด”
หลี่หรงอวี่ศึกษางานราชการกับฮ่องเต้ตั้งแต่อายุได้สิบสี่หนาว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขามักจะช่วยงาน แบ่งงานฮ่องเต้บางส่วน ขณะที่เขากำลังจะรับคำสั่ง องค์ชายสี่หลี่หรงซือก็ลุกขึ้นโค้งคำนับ แล้วตรัสว่า
“เสด็จพ่อ แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนไม่น้อย เสด็จพ่อเคยตรัสว่าประชาชนมีค่าที่สุด ไม่อาจละเลยได้ แต่กลับมอบอำนาจให้โอรสสวรรค์ เสด็จพ่อมอบเรื่องเหล่านี้ให้ผู้อื่นได้อย่างไร”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ก็เกิดเสียงดังอื้ออึงจากเหล่าขุนนาง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฮ่องเต้มักจะเดินทางไปนอกเมืองเพื่อขอโชคลาภ หรือเสด็จไปยังชานเมืองทางตะวันตกเพื่อล่าสัตว์ ทุกครั้งที่ออกจากวังหลวง ล้วนแต่มอบงานให้องค์ชายรัชทายาท องค์ชายรัชทายาทมักเป็นฝ่ายใช้คุณธรรมปกครองจิตประชาชน
ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ แม้ว่าฮ่องเต้จะอยู่ในวัง แต่เขามักจะส่งหนังสือร่างไปที่ตำหนักบูรพา องค์รัชทายาทจะเป็นฝ่ายพิจารณาและรายงานเฉพาะเรื่องที่สำคัญที่สุดเท่านั้น ฮ่องเต้ไม่เคยถามด้วยซ้ำ
ครั้งนี้จึงเป็นเรื่องปกติที่ฮ่องเต้ปล่อยให้องค์รัชทายาทจัดการเรื่องเล็กน้อยแทนพระองค์
แม้ว่าหลี่หรงซือจะเคยทะเลาะวิวาทกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งในเรื่องการเมือง แต่เนื่องจากมารดาของเขา จางกุ้ยเฟย ได้ถูกลดขั้น ทำให้เขาค่อย ๆ เงียบเสียงไป การแย้งไม่ให้องค์ชายรัชทายาทรับเรื่อง จัดว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้
ฮ่องเต้ก็ประหลาดใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าบุตรชายหมายความว่าอย่างไร
“เสด็จพ่อ” หลี่หรงซือตรัสต่อ “เสด็จพ่อยังคงปรีชาสามารถ สร้างปีแห่งความรุ่งเรือง ทรงกล้าหาญชาญชัย ใต้หล้าน้อมศรัทธา ทุกวันออกราชการ พวกขุนนางทูลว่าไร้เรื่องใหญ่ แต่เสด็จพ่อ มันจะไม่มีเรื่องใหญ่ได้อย่างไรกัน หากบริหารบ้านเมืองอย่างเกียจคร้าน ปัญหาอำนาจการเมืองอาจตกไปอยู่ในมือผู้อื่นนะพ่ะย่ะค่ะ”
[1] ซ่างซาน หมายถึงตำแหน่งนางในรับใช้ในวังฝ่ายห้องครัว (尚食局) แบ่งออกเป็นกองปรุงอาหาร (膳) กองน้ำจัณฑ์ (醞) กองโอสถ (藥) กองเครื่องวัตถุดิบ (饎) โดยเหยียนอี้สังกัดฝ่ายห้องครัว กองปรุงอาหาร
[2] กองปรุงอาหารขั้นสี่ กองปรุงอาหารมีทั้งหมดเก้าขั้น แต่ละขั้นแต่งตั้งได้สี่คน]
[3] ประตูไท่เหอ คือประตูหลักชั้นที่สองฝั่งทิศใต้ของพระราชวังต้องห้าม เป็นประตูเชื่อมไปสู่พระที่นั่งไท่เหออันเป็นจุดศูนย์กลางของพระราชวัง ประตูไท่เหอถูกสร้างขึ้นสมัยราชวงศ์หมิง
[4] ส่านกาน คือมณฑลส่านซี-กานซู่
[5] ฉู่ คือรัฐหนึ่งในสมัยราชวงศ์โจว