ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 113 ยามเช้าตำหนักบูรพา
บทที่ 113 ยามเช้าตำหนักบูรพา
เหยียนอี้ยังคงลังเลอยู่ตรงทางเข้าประตู ทันใดนั้นองครักษ์จินอู๋ผู้หนึ่งก็เห็นเข้า อีกทั้งเขายังเป็นยอดฝีมือในวังหลวง องค์รักษ์ผู้นั้นรีบตะโกนถามขึ้นทันที “นั่นใคร?”
เหยียนอี้ที่ซ่อนตัวอยู่หลังรูปปั้นสิงโตไม่กล้าส่งเสียงใด
โชคดีที่พวกเขาเข้ากะตลอดทั้งคืน จึงเต็มไปด้วยความง่วงงุนและความเหนื่อยล้า เมื่อไม่เห็นใครก็ไม่ได้ให้ความสนใจนัก จากนั้นจึงยืนเฝ้าประตูต่อ
เหยียนอี้เงยหน้ามองท้องฟ้า ราว ๆ หนึ่งถึงสองชั่วยามท้องฟ้าก็จะสว่างแล้ว ตอนนี้นางอ่อนเพลียอย่างยิ่ง เปลือกตาคล้ายจะปิดลงตลอดเวลา ทว่ายังไม่กล้ากลับไปนอน คิดแล้วอดรู้สึกขบขันตัวเองอย่างเสียไม่ได้ กลางดึกเช่นนี้ยังวิ่งมาถึงที่นี่ เข้าไปข้างในก็ไม่ได้ ได้แต่ตากลมอยู่ตรงนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ถึงอย่างไรก็มาที่นี่แล้ว พรุ่งนี้เช้าองค์ชายรัชทายาทก็จะออกราชการช่วงเช้า นางจำเป็นต้องมาตั้งแต่เช้าตรู่ รอเขาออกมาจากตำหนักก็ไม่เสียหาย จากนั้นก็ค่อยบอกเรื่องนี้กับเขา
ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้ฝ่ายเราเสียเปรียบ ไม่มีใครรู้แผนการชั่วร้ายของจี้ชิงเฟิง หากเขาค้นหาผังหยินหยางจนเจอ มันคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร
เหยียนอี้นั่งหลบอยู่หลังรูปปั้นสิงโต ลมอันหนาวเหน็บเดือนแรกของปีพัดผ่าน นางเย็นไปถึงกระดูก แม้สวมเสื้อคลุมหนาหลายชั้นก็ยังคงรู้สึกหนาว อยากกลับไปนอนเป็นอันดับแรก แต่เกรงว่าองครักษ์ลาดตระเวนตอนกลางคืนจะเห็นเข้า สู้ซ่อนในสถานที่ปลอดภัยเสียก่อนจะดีกว่า
หลังจากใช้เวลาทั้งคืน นางจึงเหนื่อยล้าอย่างมาก นางเอนตัวพิงกับเสาหินและผล็อยหลับไปอย่างช้า ๆ
ลมหนาวเย็นพัดผ่าน เหยียนอี้ที่ผล็อยหลับได้ไม่นาน ผ่านไปสักพักท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
นางฝัน
ในความฝันของนางปรากฏภาพวังหลวง นางกำลังยืนอยู่ในตำหนักอันว่างเปล่า กลางตำหนักมีบัลลังก์มังกรที่แกะสลักมังกรทองคำเหินนภาสว่างระยิบระยับ
เหยียนอี้รู้สึกว่าบัลลังก์แห่งนี้ช่างว่างเปล่าและแสนเหน็บหนาว นอกตำหนักมีเสียงสายลมเหนือพัดผ่าน พัดพาลมหนาวเข้าสู่ห้องโถง ทำเอาหนาวสั่นไปทั้งกาย
นางอยากจะก้าวออกไป แต่ทันทีที่ก้าวขาออกไป ประตูตำหนักก็ปิดลง คนที่ปิดประตูเป็นจี้ชิงเฟิง เขาเดินเข้ามาหาเหยียนอี้ด้วยรอยยิ้ม
เหยียนอี้หวาดกลัวมาก นางจึงวิ่งไปแอบที่บัลลังก์มังกร จี้ชิงเฟิงไล่ตามนาง นางจึงวิ่งวนไปรอบ ๆ บัลลังก์มังกรแข่งกับเขา
ไม่รู้ว่าวิ่งวนไปกี่รอบ สุดท้ายจี้ชิงเฟิงก็ยังไม่สามารถจับนางได้ ราวกับเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะจับนาง แต่กำลังหยอกล้อคล้ายเห็นของเล่น
นางวิ่งจนเหนื่อยแล้ว ก่อนจะคว้าบังลังก์มังกร หอบหายใจอย่างแรง แต่ทันใดนั้น บนบัลลังก์มังกรก็ปรากฏคนผู้หนึ่งดึงนางเข้าไปในอ้อมแขน คนผู้นั้นคือหลี่หรงอวี่
ตำหนักแห่งนี้เหน็บหนาวอย่างมาก บัลลังก์มังกรก็หนาวเย็นราวกับน้ำแข็ง มีเพียงในอ้อมแขนของเขาเท่านั้นที่อบอุ่น
เหยียนอี้รู้สึกหนาวมาก จึงหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา
แต่ว่า…ทำไมในอ้อมกอดเขาจึงอบอุ่นล่ะ?
เหยียนอี้ก้มหน้ามอง ทว่าตั้งแต่อกจรดขาของเขาเต็มไปด้วยเลือด เลือดสีแดงฉานไหลรินออกมาจากร่างพร้อมกับความร้อนผ่าว
เหยียนอี้เงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก มองเห็นเฉินฟู่เซิน มือของเขาถือดาบ บนใบหน้าเปรอะเลือดของหลี่หรงอวี่ที่กระเซ็นติดอยู่…
“อา…อ่า!” เหยียนอี้ร้องอย่างตื่นตระหนก กอดหลี่หรงอวี่ไม่รู้ตัว รัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ…
“ตื่น! เหยียนอี้” หลี่หรงอวี่ถูกนางกอดรัดแน่นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ จึงกอดนางกลับพลางตบหลังนางเบา ๆ
เหยียนอี้ลืมตาขึ้นทันใด เพิ่งรู้สึกตัวว่าแท้จริงแล้วคือความฝัน
เบื้องหน้าของนางคือใครบางคน นั่นคือหลี่หรงอวี่
นางเห็นเขาประดับกวานสีม่วง[1] บนศีรษะ ทั้งยังสวมชุดขุนนางว่าราชการ ชายหนุ่มกำลังมองนางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เหยียนอี้มองไปรอบ ๆ พบว่าตนเองนั่งถัดไปจากรูปปั้นสิงโตข้างประตูตำหนักบูรพา สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกทมิฬ คล้ายจะเป็นของหลี่หรงอวี่
แท้จริงแล้วหลี่หรงอวี่รู้ว่าช่วงเช้าวันนี้ ฮ่องเต้จะประกาศงานอภิเษกสมรสของหลี่หรงเฉิงและอากุ้ยลี่ ด้วยเกรงว่าหลี่หรงเฉิงจะไม่ยินยอม เขาจึงตั้งใจจะคัดค้านเสด็จพ่อต่อหน้าเหล่าขุนนางโดยการขัดราชโองการ ด้วยเหตุนี้จึงจงใจตื่นเช้าเป็นพิเศษเพื่อไปจะหารือกับหลี่หรงเฉิง ส่วนน้องชายก็ให้ลาป่วย ไม่ต้องออกราชการช่วงเช้า
ถึงแม้วิธีการที่โง่เขลานี้ไม่อาจขัดสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ แต่ยังดีกว่าหลี่หรงเฉิงขัดราชโองการในท้องพระโรง
หลี่หรงอวี่รู้ดี น้องแปดของเขาเป็นเด็กฉลาด ทว่าเวลาจะทำเรื่องใดล้วนหุนหันพลันแล่น ยิ่งใช้โทสะดันทุรังเช่นนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่ เมื่อคืนวานนี้พวกเขาสองพี่น้องคิดหาวิธี คิดอย่างไรก็ไร้ทางออก หลี่หรงเฉิงถึงกับบอกว่าเขายอมตายดีกว่าแต่งให้ผู้อื่น
หลี่หรงอวี่เพิ่งเดินออกจากตำหนักบูรพาก็เห็นเหยียนอี้พิงประตูทางออกผล็อยหลับอยู่ ยิ่งวันนี้อากาศหนาวเย็น จึงเกิดความแปลกใจว่าเหตุใดนางต้องมานอนอยู่ตรงนี้ทั้งคืนกัน
เขารีบบอกให้ผู้อื่นถอยห่างทันที ก่อนจะเอาเสื้อคลุมของตัวเองคลุมให้เหยียนอี้ จากนั้นจึงปลุกนาง
ทว่าเหยียนอี้ฝันร้าย ยังไม่ทันปลุกก็โถมตัวเข้ามาในอ้อมกอดของหลี่หรงอวี่ มันทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย
เหยียนอี้ตื่นแล้วก็รู้สึกอับอายมาก นางเอาแต่ก้มหน้าซุกในเสื้อคลุมของเขาไม่ยอมออกมา
หลี่หรงอวี่ถามนางว่า “เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ กลางคืนหนาวนัก จับไข้ขึ้นมาจะทำอย่างไร”
เหยียนอี้รู้สึกว่าเสื้อคลุมตัวนี้ขององค์รัชทายาทอบอุ่นยิ่งนัก คล้ายกับเสื้อคลุมจิ้งจอกทมิฬ ไออุ่นของเขายังหลงเหลืออยู่ เมื่อซุกใบหน้าแล้วช่างสบายยิ่งนัก
“เหยียนอี้? เหยียนอี้?” หลี่หรงอวี่เห็นนางไม่ตอบจึงคิดว่านางเป็นหวัด เขาก็ถึงกับอุ้มตัวนางเข้าตำหนักบูรพาทันที
เหยียนอี้ยังไม่ทันอุทานออกมา องค์รัชทายาทก็อุ้มนางไปไกลเสียแล้ว นางจึงได้แต่ซบหน้ากับอกอุ่น ๆ ต่อไป
“ท่าน… ฝ่าบาท ท่านปล่อยหม่อมฉันลงก่อน”เหยียนอี้พูดเสียงเบา
หลี่หรงอวี่อุ้มนางเข้ามาในตำหนัก วางนางลงบนแท่นบรรทม ก่อนจะปล่อยมือออกจากนาง
“อู๋เกา ไปเอากาน้ำชามา” หลี่หรงอวี่สั่งอู๋เกา ขันทีที่ดูแลตำหนักของตน
อู๋เกาหยิบกาน้ำร้อนมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับย้ายกระถางไฟ
อากาศหนาวเย็นนัก ตำหนักฉืออันของไทเฮามักจุดกระถางไฟ ทั่วบริเวณจึงอบอุ่นไม่คล้ายฤดูหนาว
ในตำหนักบูรพา หลี่หรงอวี่รู้วรยุทธ์ อีกทั้งยังมีร่างกายแข็งแกร่ง ไฉนเลยจะกลัวหนาว ดังนั้นกระถางไฟจึงแทบจะไม่ได้ใช้ อู๋เกาย้ายกระถางไฟขนาดเล็กมาใช้ชั่วคราว จุดได้ไม่นาน ภายในตำหนักก็อุ่นขึ้นเล็กน้อย
ถึงแม้เหยียนอี้จะนอนอยู่นอกตำหนักถึงครึ่งชั่วยาม แต่นางก็ไม่ได้บอบบางเช่นนั้น ถึงจะไม่ได้กล่าวว่าจับไข้ก็ยังจับไข้อยู่ดี หลี่หรงอวี่ที่กังวลเกินไปก็อุ้มนางเข้ามาในตำหนัก ให้อู๋เกาไปเอากาน้ำชาพร้อมกระถางไฟมาเสร็จสรรพ
เขาเห็นสีหน้าเหยียนอี้ค่อย ๆ มีสีเลือดฝาด พวงแก้มแดงซ่านทั้งสองข้าง เขากลัวว่าเหยียนอี้จะจับไข้จึงให้อู๋เกาไปตามหมอหลวง
เหยียนอี้ที่กำลังปลาบปลื้มอยู่นั้นรู้สึกว่าฝ่ามือและเท้าของนางเย็นมาก นางผ่อนคลายอยู่ครู่หนึ่ง นึกเรื่องที่ต้องการจะพูดขึ้นได้ นางรีบหยุดอู๋เกาแล้วกล่าวว่า “อย่าเพิ่งสนใจหม่อมฉัน ฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญมากจะคุยกับท่าน”
หลี่หรงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เดิมทีเขาวางแผนที่จะพบหลี่หรงเฉิง ยังอยากไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ก่อนออกว่าราชการ แล้วค่อยเลียบ ๆ เคียงๆ เรื่องงานอภิเษกสมรส เผื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงพระทัยเสด็จพ่อได้
ดังนั้นเขาจึงตรัสกับเหยียนอี้ว่า “ข้าต้องไปท้องพระโรง เจ้าอุ่นร่างกายอยู่ที่นี่เสียก่อน กินข้าวเช้าที่นี่เสียเลย ข้าไปท้องพระโรงครู่หนึ่งแล้วจะกลับมาหาเจ้า”
เหยียนอี้รีบพูด “ฝ่าบาท เรื่องสำคัญอย่างยิ่งเพคะ หม่อมฉันขอพูดตอนนี้ได้หรือไม่”
เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของนาง หลี่หรงอวี่ก็นึกขึ้นได้ว่านางนอนอยู่นอกตำหนักบูรพาทั้งคืนเพื่อพบเขาให้เร็วที่สุด คิดแล้วน่าจะเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว
เขานึกถึงเรื่องแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างหุยหู แน่ชัดแล้วเป็นองค์ชายแปด เรื่องนี้ยังไม่มีราชโองการของฮ่องเต้ออกมา มีเพียงไม่กี่คนที่รู้เรื่องนี้ เหยียนอี้ไม่น่าจะรู้ล่วงหน้า คงไม่ใช่ขอร้องเขาเรื่องงานแต่งงานแทนน้องสาวของนาง ยังมีเรื่องใดสำคัญกว่าเรื่องนี้อีก?
หลี่หรงอวี่รีบถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เสด็จย่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
เหยียนอี้รีบตอบไปว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับไทเฮาเพคะ แต่เกี่ยวกับความปลอดภัยของอาณาจักรเรา”
หลี่หรงอวี่ตกตะลึง “ความปลอดภัยของอาณาจักรรึ?”
เหยียนอี้จึงบอกหลี่หรงอวี่เกี่ยวกับเรื่องของจี้ชิงเฟิงที่ต้องการหาผังหยินหยาง
หลี่หรงอวี่ฟังแล้วขมวดคิ้ว “ภาพวาดอักษร? ภาพวาดอักษรอะไรสำคัญถึงขนาดที่จี้ชิงเฟิงต้องแอบลอบเข้าวังมาค้นหาด้วยตัวเอง? ”
เหยียนอี้ถามกลับว่า “ฝ่าบาททรงความรู้กว้างขวาง ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องผังหยินหยางมาก่อนหรือ?”
หลี่หรงอวี่ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ว่าผังหยินหยางนั่นคืออะไร ไม่เคยได้ยินข่าวมาก่อน เหยียนอี้ เขามั่นใจว่าซานกู่จื่อมีภาพวาดนั้นอยู่ เช่นนั้นซานกู่จื่อนำภาพวาดนี้เข้ามาในวังได้อย่างไร เรื่องนี้มีหลักฐานอะไรหรือไม่”
เหยียนอี้จึงกล่าว “รุ่ยชินหวังบอกอย่างมั่นใจ ข่าวนี้ไม่มีทางเป็นของปลอม ที่เขาบอกกับหม่อมฉันเรื่องนี้ ประการแรก เพราะเขามั่นใจว่าหม่อมฉันกับซานกู่จื่อสนิทสนมกัน ย่อมรู้ที่อยู่ของภาพแน่นอน”
“ประการที่สอง เขาหวังว่าหม่อมฉันจะบอกผู้อื่น เพื่อให้ทุกคนในวังหลวงตามหาผังหยินหยางนี้ หลังจากนั้น เขาจะเป็นชาวประมงได้รับผลประโยชน์ ฉวยโอกาสขโมยไป”
หลี่หรงอวี่ตรัสว่า “ไม่เลว คิดเช่นนี้อาจเป็นไปได้ เจ้าเป็นที่โปรดปรานของเสด็จย่ากับข้า ไปมาหาสู่กันน้อยนัก หากรู้เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ตามลำพัง ควรมาหาข้าให้เร็วที่สุด เขาเป็นคนนอก เข้าออกพระราชวังโดยพลการ ทั้งยังคิดจะใช้ประโยชน์คนในวังหาแผนผังให้อีก”
เหยียนอี้ถาม “ฝ่าบาท ที่ข้ารีบร้อนมาหาท่านเช่นนี้ หม่อมฉันจะทำให้ท่านเดือดร้อนหรือไม่ พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าแผนผังนี้ใช้ทำอะไร ยิ่งไม่รู้ว่าจี้ชิงเฟิงจะใช้ภาพอักษรนี้ทำอะไรอีก…”
หลี่หรงอวี่ยิ้มอย่างอ่อนโยน “รบกวนอย่างไร หากเรื่องใหญ่เช่นนี้เจ้ายังไม่บอกข้า ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของชาวเหยียน นับประสาอะไรกับป้องกันแผนชั่วร้ายของพวกเขา”
เหยียนอี้เอียงศีรษะถาม “แต่เหตุใดซานกู่จื่อถึงส่งภาพอักษรเข้ามาในราชวังเพคะ”
ทันใดนั้นนางก็คิดบางอย่างออก นางรีบถามหลี่หรงอวี่อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท จำได้ว่าท่านเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ว่าซานกู่จื่อกับท่านก็เป็นเพื่อนเก่า เขาเคยมอบตำราให้ท่านด้วยนี่เพคะ?”
หลี่หรงอวี่จึงจำได้ในทันที “ใช่ เป็น ‘คำบอกเล่าภูเขาหยิน’ เขาส่งมาเป็นของขวัญที่ตำหนักบูรพา หรือว่าจะเป็นตำราเล่มนั้น หรือมันมีความลับสวรรค์อะไรซ่อนอยู่?”
เขาเข้าไปในห้องตำราทันที จากนั้นตรงไปยังชั้นหนังสือเพื่อค้นหาหนังสือ
ตำราเล่มนี้ไม่หนา กระดาษบาง ตำราเข้าเล่มง่าย ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นตำราธรรมดา
ตำราเล่มนี้เขียนเรื่องทั่วไป หาซื้อง่ายในตลาด แต่ซานกู่จื่อบอกว่าเป็นตำราเกี่ยวกับวิธีการปกครองที่ดี อยากให้หลี่หรงอวี่ศึกษาเรื่องนี้ดู
เขาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ศึกษาจากตำราเล่มนี้ไม่น้อย ถึงแม้ปกของตำราเล่มนี้ค่อนข้างเก่าแล้ว แต่เขาไม่เคยพบผังหยิงหยางในตำราเล่มนี้เลย
เหยียนอี้หยิบตำราขึ้นมา บรรทัดอัดแน่นไปด้วยตัวอักษร หน้ากระดาษบางมาก ไม่คล้ายกับประกบติดกันสองชั้น ทุกหน้ากระดาษมีรูปลูกสุนัขที่เหยียนอี้เป็นคนวาด แต่ไม่สามารถเรียกมันว่าภาพวาดได้เลย นับประสาอะไรกับผังหยินหยาง?
เหยียนอี้เขย่าหนังสือหลายครั้ง แต่ไม่มีอะไรออกมา นางวางตำราบนใบหน้าใช้จมูกดมอย่างระมัดระวัง
หลี่หรงอวี่ถามนางว่า “เจ้าดมตำรานี้ทำไมหรือ”
[1] กวาน คือสิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ ใช้สำหรับชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว