ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 112 ผังหยินหยาง
บทที่ 112 ผังหยินหยาง
เหยียนอี้กลอกตาไปมา “บางครั้งก็เป็นกะหล่ำปลี บางครั้งก็เป็นแตงกวาครึ่งลูก บางครั้งก็ให้เงินรายเดือนกับเงินปันผลสิ้นปี”
“ทั้งกะหล่ำปลี ทั้งแตงกวาอยู่ในท้องของครอบครัวข้า ตอนนี้ถูกใช้เป็นปุ๋ยในนาข้าว เก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงตอนสิ้นปี สุดท้ายข้าเองก็นับว่าเป็นหุ้นส่วนภัตตาคารกุ้ยซานคนหนึ่ง”
จี้ชิงเฟิงฟังเรื่องไร้สาระของนาง เขาทั้งหงุดหงิดทั้งขบขัน ความแรงในมือเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน “จริงจังหน่อย! เขาเคยให้ตำราหรือภาพอะไรหรือไม่”
“อ๋อ ท่านกำลังมองหาตำราภาพวาดอยู่นี่เอง” เหยียนอี้พึมพำ
“ของทั้งหมดอยู่ที่ไหน” จี้ชิงเฟิงถาม
เหยียนอี้แสร้งทำเป็นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ถึงแม้ว่าข้าจะรู้อักษรไม่กี่ตัว แต่ก็เคยอ่านตำราหลุนอวี่[1] มาก่อน ข้าไม่เคยได้เข้าเรียน ซานกู่จื่อให้ข้าส่งอาหาร ให้ส่งตั๋วเงิน ส่งกระดาษยันต์ทำนายดวงให้ข้า ไม่เคยส่งภาพวาดอักษรอะไรมาก่อน”
ก่อนที่เขาจะมาหาเหยียนอี้ จี้ชิงเฟิงไปค้นห้องพักของนางที่ตำหนักฉืออัน แต่เค้าไม่พบภาพวาดอักษรอะไร แม้แต่กระดาษแผ่นเล็ก ๆ ก็ไม่เจอแต่อย่างใด
“ท่านไม่รู้ว่าซานกู่จื่อเป็นคนเช่นไร เป็นคนที่ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่แน่บางที สิ่งนั้นที่ท่านต้องการหาอาจจะถูกเขากำจัดทิ้งในห้องส้วมไปแล้ว” เหยียนอี้พูดไปเรื่อย แม้จี้ชิงเฟิงจะไม่ตลกก็ถือว่าทำให้ตนเองหัวเราะก็แล้วกัน
“หากเขาใช้สิ่งของล้ำค่านั้นแทนกระดาษชำระ ข้า จี้ชิงเฟิง ขอนับถือเขาในฐานะบุรุษคนหนึ่ง” จี้ชิงเฟิงตรัสอย่างเย็นชา
เหยียนอี้ครุ่นคิด “ข้าเคยเห็นในห้องตำราของเขา เห็นภาพวาดอักษรมาไม่น้อย บางทีอาจมีสิ่งของล้ำค่าชื่อเสียงโด่งดัง ได้ยินเขาบอกว่ามีหลายภาพ หากขายในตลาดมืด สามารถซื้อผ่านภัตตาคารกุ้ยซานได้ถึงสองตึกเชียว ท่านก็ต้องการหาภาพวาดอักษรเช่นนี้ใช่ไหม”
จี้ชิงเฟิงยิ้ม “ของที่ข้าต้องการหา ไม่มีมูลค่าในตลาด”
“โอ้” เหยียนอี้ถาม “รุ่ยชินหวังถึงกับมาตามหาของด้วยตัวเอง จะมีมูลค่าสักเท่าใดกัน?”
จี้ชิงเฟิงตรัส “เจ้าไม่จำเป็นต้องพยายามถามข้า ถึงแม้ข้าไม่จำเป็นต้องปิดบังเจ้า แต่รู้มากไปก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี”
เหยียนอี้ถาม “ในเมื่อท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องโกหกข้า ทำไมไม่บอกข้าตั้งแต่ตอนแรก แท้จริงแล้วภาพวาดอักษรคืออะไร เป็นของที่เข้าตาท่านหรือ หากราคาไม่เท่าครึ่งหนึ่งของอาณาจักรเหยียน ท่านคงไม่มาตามหาด้วยตัวเองกระมัง”
จี้ชิงเฟิงเหลือบมองนางพลางถอนหายใจ “เจ้าฉลาดมาก”
เหยียนอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “คนโบราณกล่าวว่าหยกเหอซือปี้นั้นประเมินค่ามิได้ อ๋องจ้าวเซียงแห่งราชวงศ์ฉินแลกสิบห้าเมืองเพื่อหยกเหอซือปี้ ความปรารถนาไม่ได้อยู่ที่หยก แต่อยู่ที่แผ่นดินแคว้นจ้าว ต่อมาหยกเหอซือปี้ถูกจิ๋นซีฮ่องเต้นำหยกมาเป็นตราลัญจกรของประเทศ ตั้งแต่นั้นมากลายเป็นสัญลักษณ์ประจำแคว้น”
“หลังจากนั้น ผู้คนใต้หล้าก็เล่าขานคำเล่าลือกันอย่างเซ็งแซ่ ล้วนบอกว่าผู้ครอบครองตราหยกลัญจกรจะครองใต้หล้า น่าเสียดายที่ห้าราชวงศ์ตกอยู่โกลาหล ตราหยกสัญจกรไม่รู้หายไปไหน เป็นไปได้หรือไม่ว่าภาพวาดอักษรที่รุ่ยชินหวังตามหาอยู่จะเป็นเหมือนหยกเหอซือปี้ที่สามารถช่วยครองใต้หล้า”
จี้ชิงเฟิงเห็นสีหน้าของเหยียนอี้แสดงออกว่าไม่รู้อะไรคือภาพวาดอักษร กระนั้นก็กล่าวความจริงที่สัมพันธ์กับข่าวลือออกไป “หากครอบครองผังหยินหยางก็สามารถครองใต้หล้า”
แสงในดวงตาจี้ชิงเฟิงสว่างวาบ เขาคว้าคอของเหยียนอี้อีกครั้งแล้วถามอย่างกดดัน “เจ้ารู้จักผังหยินหยางใช่หรือไม่”
เหยียนอี้ที่เอาแต่พูดพล่ามไร้สาระ ในที่สุดก็ทำให้จี้ชิงเฟิงพูดคำว่า ‘ผังหยินหยาง’ ที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อนออกมาได้
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่า นางพูดเกี่ยวกับหยกเหอซือปี้ เจาะลงตรงกลางใจของจี้ชิงเฟิง หากเขาหาผังหยินหยาง ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกับกษัตริย์ราชวงศ์ในอดีตที่พลิกแผ่นดินเสาะหาตราหยกลัญจกรหรอกหรือ?
จี้ชิงเฟิงเข้าใจว่าเหยียนอี้ต้องรู้ข้อมูลเกี่ยวกับผังหยินหยาง
“ท่านมั่นใจได้อย่างไรว่าผังหยินหยางอะไรนั่นอยู่ในวังหลวง? หากของชิ้นนั้นล้ำค่าอย่างที่ท่านบอก ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้อาณาจักรอวี๋ของข้านำแผนที่ไปศึกษานานแล้วหรอกหรือ?”
จี้ชิงเฟิงหัวเราะเยาะเสียงเบา “ข้าเกรงว่าฮ่องเต้อาณาจักรอวี๋ของเจ้าจะยังไม่ทราบว่าผังหยินหยางคืออะไรเสียด้วยซ้ำ เจ้าจะไปรู้อะไร”
“เช่นนั้นท่านแน่ใจได้อย่างไรว่าของชิ้นนั้นถูกซานกู่จื่อนำมาไว้ในวังหลวง?” คอของเหยียนอี้ถูกมือของเขาบีบแรงขึ้นจนหายใจไม่ออก นางข่วนหลังมือของจี้ชิงเฟิงแรง ๆ หลายครั้ง เจ้าตัวเลือดไหลออกมาทันที
จี้ชิงเฟิงรีบคลายมือ แต่ยังคงกดไปที่กระดูกไหปลาร้าของนาง ไม่ปล่อยให้นางหนีไป
“สิ่งนั้นสำคัญมาก เขาไม่สามารถวางไว้ที่อื่นได้ แหล่งข้อมูลที่เชื่อได้บอกข้าว่าผังหยินหยางถูกเขาใช้ม้าเร็วส่งมาที่วังหลวงอาณาจักรอวี๋!” จี้ชิงเฟิงกล่าว
เหยียนอี้กระแอมเสียงดัง “คำพูดของท่านน่าสนใจนัก เมื่อข้าจากเมืองอวิ๋นเจี้ยน ข้าก็มาที่วังหลวงพร้อมกับรถม้าของฮ่องเต้ ไม่ใช่เดินทางมาพร้อมกับม้าเร็วแต่อย่างใด ท่านเอาอะไรมาแน่ใจว่าข้ารู้เกี่ยวกับผังหยินหยาง”
จี้ชิงเฟิงผงะ
เหยียนอี้กล่าว “ข้าไม่ทราบว่าแหล่งข่าวของท่านได้ยินข่าวพวกนี้มาจากไหน แต่ข้าขอเตือนท่านว่า ในเมื่อสิ่งของนั้นเป็นสิ่งของล้ำค่า เช่นนั้นเหตุใดซานกู่จื่อจึงมอบมันให้ผู้อื่นเล่า เขาควรจะเก็บมันไว้กับตัวเอง”
“เพราะสิ่งนั้นอยู่ในมือของเขา มันไม่มีประโยชน์ อาณาจักรเหยียนและอาณาจักรอวี๋กำลังตามตัวเขาอยู่ เขาคงไม่เก็บแผ่นที่นั้นไว้กับตัวเองเพื่อให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายหรอก”
เหยียนอี้พูดไม่ออกเพราะตรรกะความคิดของเขา “เจ้าก็เลยคิดว่าเขาจะย้ายอันตรายมาให้ข้า?”
“รุ่ยชินหวัง ท่านมองข้ามากความสามารถเกินไปแล้ว ข้าเหยียนอี้ เป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งที่ไม่มีแม้แต่แรงจะเชือดไก่ ไม่รู้วรยุทธ์ กับพวกท่านราชวงศ์ยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้อง ซานกู่จื่อจะมอบของสำคัญอะไรให้ข้าปกป้องเล่า”
“หากคนไม่น่าไว้ใจอย่างข้าประมาทเล็กน้อยก็สามารถถูกคนตัวใหญ่อย่างท่านบีบคอได้ เหตุใดถึงได้เป็นคนเก็บของล้ำค่า?”
จี้ชิงเฟิงฟังนางพูดอย่างมีเหตุผลจึงยอมคลายมือ
แต่ทันทีที่เขาคลายมือ เหยียนอี้ที่อยากจะหนีกลับถูกเขาผลักไปที่กำแพงอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าของสิ่งนั้นไม่อยู่ในมือเจ้า แต่ซานกู่จื่อกับเจ้ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนม คิดแล้วเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เรื่องผังหยินหยาง เจ้ารู้มากน้อยแค่ไหน บอกข้ามาให้หมด!”
เหยียนอี้ตะโกนในใจ นางมีชีวิตอยู่มาสิบเก้าปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางเคยได้ยินเรื่อง ‘ผังหยินหยาง’ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรสักนิด แล้วจะให้นางพูดอย่างไร
ฟังจากชื่อแผนที่แล้ว ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับหยิงหยางปากั้ว ซานกู่จื่อชื่นชอบศึกษาเรื่องไสยศาสตร์ยันต์แปดทิศเป็นที่สุด เป็นได้หรือไม่ที่เขาจะเขียนคำลวงโลกอย่างพวกคำพยากรณ์อะไรสักอย่างแล้วถูกมองเป็นสิ่งล้ำค่าราวตำราเหอถูลั่ว[2]
แต่เหยียนอี้คาดเดาอะไรไม่ออก ในเมื่อไม่รู้ก็ยิ่งพูดจาไม่มีประโยชน์
นางทำได้เพียงบอกว่า “ผังหยินหยางอะไรนั่น ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ไม่เช่นนั้นท่านลองบอกรายละเอียดให้ข้าฟังหน่อย แผนที่เป็นกระดาษอะไร ยาวเท่าไหร่ มีลักษณะอย่างไร ใช้ทำอะไรได้บ้าง หากอธิบายให้ข้าฟัง บางทีข้าอาจจะนึกออก”
จี้ชิงเฟิงบอกอย่างเย็นชา “หากข้ารู้มากกว่าเจ้า เหตุใดจึงต้องถามเจ้า?”
เขาเห็นเหยียนอี้ถามเพราะไม่รู้จริง ๆ ก็รู้สึกท้อใจเล็กน้อย จึงปล่อยนางไป ไม่ซักถามนางอีก
เมื่อครู่นี้เหยียนอี้หวังว่าตัวนางจะเป็นอิสระโดยเร็ว เวลานี้เป็นอิสระแล้ว นางกลับเริ่มกังวลใจ จึงถามกลับว่า
“ในเมื่อท่านไม่รู้ว่าแผนที่อยู่ที่ไหน ทำไมจึงมั่นใจว่ามันอยู่ในวังหลวงแห่งนี้เล่า หากว่ามันไม่ได้อยู่ในวังหลวง หรือซานกู่จื่อมอบมันให้ผู้อื่นล่ะ?”
จี้ชิงเฟิงตรัส “เพื่อให้ได้ข่าวนี้มา ข้าจึงจ่ายเพื่อถามข่าวจากเด็กรับใช้ที่ถูกซานกู่จื่อไล่ออก ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นข่าวเท็จ”
เหยียนอี้ตะลึง “ข้ากับซานกู่จื่ออยู่ภัตตาคารมานานกว่าสองปี แต่กลับไม่เคยรู้ว่าเขาเคยมีเด็กรับใช้มาก่อน จี้ชิงเฟิง ไม่ใช่ว่าท่านถูกหลอกแล้วหรือ”
เขาเหลือบมองเหยียนอี้ “มีหลายสิ่งมากมายที่เจ้ายังไม่รู้”
“ใช่แล้ว เรื่องที่ข้าเข้าวัง หากเจ้ากล้าปากมาก ก็จงไปบอกฮ่องเต้ฮองเฮาได้เลย ถึงอย่างไรข้าคนเดียวก็สามารถคว่ำพระราชวังแห่งนี้ได้อยู่แล้ว ความจริงก็ไม่ง่ายนัก จะไปบอกนายเหนือหัวของเจ้าก็ได้ ทำให้พวกเขาช่วยข้าตามหาก็ยิ่งเป็นเรื่องดี”
พูดจบเขาก็จากไปทันที
วิชาตัวเบาของเขาสูงส่ง เพียงกระโดดครั้งเดียวก็ข้ามกำแพงสูงไปได้ เขาจึงหายตัวไปจากสายตาของเหยียนอี้อย่างรวดเร็ว
เหยียนอี้ตะโกนไล่หลัง “ท่านอย่าคิดว่าตัวเองเก่งมากนัก วังแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่ท่านคิดจะไปก็ไปคิดจะมาก็มา ไม่ใช่สถานที่เพลิดเพลินตามใจท่าน!”
ไม่ไกลนัก มีเสียงฝีเท้าของขันทีกำลังเดินออกมา เวลานี้ดึกมากแล้ว เหยียนอี้ง่วงเล็กน้อย เป็นเพราะคืนนี้นางพบผู้คนมากมายเกินไป ได้ฟังเรื่องราวมากมายเกินไปจึงปวดหัวขึ้นมา
นางไตร่ตรอง ตัดสินใจที่จะบอกหลี่หลงอวี่เรื่องที่จี้ชิงเฟิงแอบเข้าวังมาค้นหาของ
แม้ว่าตอนนี้เรื่องนี้ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเหยียนอี้ แต่จี้ชิงเฟิงเป็นคนประเภทใดกัน? สิ่งที่เขากำลังมองหาไม่ใช่สมบัติธรรมดา อาจเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั้งสองอาณาจักร เหยียนอี้ไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง
นางตัดสินใจรีบไปที่ตำหนักบูรพาทันที
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว นางก็หยุด
ตอนจี้ชิงเฟิงเพิ่งจากไป เขาบอกกับเหยียนอี้ว่าสามารถบอกเรื่องนี้กับคนอื่นได้ ความคิดของเขาก็คือทำให้นางกลายเป็นหอก นำสาส์นไปบอกฮ่องเต้หรือองค์รัชทายาท ทำให้พวกเขาไปหาภาพวาดอักษร และจากนั้นเขาก็จะจ้องฉวยโอกาสอย่างเงียบ ๆ เพื่อขโมยภาพไป!
ช่างมีความคิดที่ดีอะไรเช่นนี้! เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะปวดหัว
แต่หากไม่บอกองค์ชายรัชทายาทก็ไม่มีวิธีแล้ว หากจี้ชิงเฟิงหาภาพวาดอักษรเจอด้วยตัวเองแล้วล่ะ?
ไม่ ต้องบอกองค์รัชทายาทก่อน เขาย่อมมีแผนการคิดหาทางออกได้แน่
เวลานี้ดึกมากแล้ว ผู้คนในวังส่วนใหญ่เข้านอนไปแล้ว มีเพียงองครักษ์จินอู๋ที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่ประตูทางเข้า
เหยียนอี้ไม่มีป้ายคาดเอวให้เดินกลางดึก ยิ่งไม่ใช่คนจากตำหนักบูรพาแล้วมักจะถูกขัดขวาง ไม่แน่อาจจะถูกกักขังในห้องมืดเล็ก ๆ หรืออาจถูกจับข้อหาบุกตำหนักกลางดึก
เดิมทีนางอยากกลับไปพักผ่อน รอถึงพรุ่งนี้เช้าค่อยรายงานองค์ชายรัชทายาท ทว่านางรอไม่ไหวแล้ว เกรงว่าจี้ชิงเฟิงจะวางกลอุบายจนสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุนี้นางจึงสับสนอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าตนจะเดินตรงมายังทางเข้าประตูตำหนักบูรพาเช่นนี้
นางเห็นองค์รักษ์จินอู๋เฝ้าทางเข้าของตำหนักบูรพา มองดูแสงไฟในห้องบรรทมจากระยะไกล เห็นได้ชัดว่าองค์ชายได้บรรทมแล้ว
หากนางรีบวิ่งไปที่ประตู แล้วบอกว่านางเป็นคนตำหนักฉืออัน มีเรื่องจำเป็นที่สำคัญมาก ตอนนี้ขอพบองค์รัชทายาท เกรงว่าพวกเขาจะไม่กล้าให้เข้าไป
ยิ่งไปกว่านั้น นางไม่มีป้ายคาดเอวของฮองเฮา และประการที่สอง นางไม่มีหนังสือคำสั่งของฮองเฮา นางอาจถูกตั้งข้อหาว่าเดินในวังโดยพลการตอนค่ำคืนก็เป็นได้ แล้วนางจะทำอย่างไรดี
[1] ตำราหลุนอวี่ เป็นตำราพื้นฐานของสำนักปรัชญาขงจื่อ เป็นตำรารวมบทสนทนาที่เหล่าศิษย์สำนักขงจื่อได้รวบรวมขึ้นหลังมรณกรรมของขงจื่อ หลุน-อวี่
[2] ตำราเหอถูลั่ว เป็นลางมงคลที่พระเจ้าประทานในตำนานจีนโบราณ ในตำนานเล่าว่าหากราชาผู้รอบรู้มีคุณธรรมปกครองแผ่นดิน พระเจ้าจะทรงมอบตำราเหอถูลั่ว เป็นสัญลักษณ์ว่าบุตรแห่งสวรรค์เป็นของโชคชะตาและมีอำนาจในการปกครองโลกอย่างชอบธรรม