ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 111 ลักลอบเข้าวังหลวง
บทที่ 111 ลักลอบเข้าวังหลวง
จี้ชิงเฟิงเห็นนางทำความเคารพเช่นนี้ก็ยิ้ม “เจ้าอยู่ในวังถึงดึกดื่น เห็นองค์ชายผู้นี้ก็คุกเข่า เห็นองค์ชายผู้อื่นก็คุกเข่า เจ้าไม่รู้สึกเหนื่อยเลยหรือ หากเจ้าไปกับข้า ต่อไปเห็นผู้อื่นก็ไม่ต้องคุกเข่าอีก”
“ท่านต้องการอะไร?” เหยียนอี้ถามอย่างระมัดระวัง
จี้ชิงเฟิงเกาศีรษะของเขาแล้วตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าเห็นข้าแล้วต้องทำหน้าเครียดเช่นนี้?”
เหยียนอี้ตอบกลับ “ท่านอยู่ที่นี่ ช่างขวัญกล้านัก แอบเข้ามาในวังกลางดึก”
จี้ชิงเฟิงยกพัดปิดบังริมฝีปากแล้วหัวเราะออกมา “ข้ามาพบเจ้าอย่างไรล่ะ คัมภีร์กวี[1] เคยกล่าวไว้ว่า หนึ่งวันไม่ได้เจอ ถือเป็นจากลาสามฤดูใบไม้ร่วง ข้าคิดถึงเจ้า คิดถึงมาตลอด เจ้าคิดดูสิ แก่ขึ้นสามปีแล้ว”
เขากล่าววาจาลื่นไหล ยื่นหน้าเข้ามาใกล้เหยียนอี้ ก่อนจะเผยอปาก หรี่ตาเคล้นตีนกาขึ้นมาสองรอย แท้จริงแล้วเขายังเป็นชายหนุ่มเต็มไปด้วยพละกำลัง หากไม่แสดงสีหน้าเกินจริงเช่นนี้ จะมีรอยตีนกาได้อย่างไร
เหยียนอี้มองการแสดงของจี้ชิงเฟิง แม้จะทำหน้าทะเล้น แต่ก็ไม่อัปลักษณ์เลยแม้แต่น้อย
“ท่านเริ่มติดตามข้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” เหยียนอี้ที่กำลังอารมณ์ไม่ดีถามกลับ
“ตั้งแต่แรก” เขาขยิบตาให้นางท่ามกลางความมืด นัยน์ตาเปล่งประกายท่ามกลางแสงจันทร์ดุจดวงตาหมาป่า
“ท่าน…” เหยียนอี้อยากจะถามตั้งแต่แรกว่าเมื่อไหร่? ตั้งแต่นางไปกองโอสถก็ตามมาแล้ว หรือตั้งแต่ช่วงค่ำ?
จี้ชิงเฟิงบอกนางอย่างยินดีปรีดา “ข้าตามเจ้าเป็นพิเศษ เจ้าไม่ดีใจหรือ?”
“เวลานี้ประตูในวังปิดหมดแล้ว เจ้าเข้ามาอย่างไร?” เหยียนอี้ถาม
จี้ชิงเฟิงสะบัดพัด ตรัสออกมาอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าเข้ามาช่วงกลางวัน ข้าคือองค์ชายอาณาจักรเหยียน ในฐานะทูตที่มาถึงเมืองอวี๋เป็นครั้งแรก ย่อมต้องส่งสารถึงวังก่อน จากนั้นก็เข้าเฝ้าฮ่องเต้ของพวกเจ้า”
อากาศหนาวเช่นนี้ อีกทั้งยังเข้าสู่ช่วงดึกแล้ว เขายังสะบัดผ้าไปมา ช่างเสแสร้งเสียจริง
เหยียนอี้ตระหนักได้ว่าในเมื่ออดีตเขาสามารถเปลี่ยนจากคนตกอับหนีภัยมายังเมืองอู่ซานไปเป็นผู้มีอำนาจแห่งอาณาจักรเหยียนได้ เพียงแค่ต้องการตามหานางก่อนประตูวังจะปิด ย่อมซ่อนตัวอยู่ในวังหลบสายตาขันทีได้ คิดดูแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยาก
แต่ดึกขนาดนี้ยังไม่ออกจากวัง เพียงเพราะอยากหลบซ่อนสายตาของนาง ผีเท่านั้นที่จะเชื่อ
“ท่านรีบบอกมา ที่แอบเข้าพระราชวัง แท้จริงแล้วมีจุดประสงค์อะไร” เหยียนอี้ถาม
“จุดประสงค์ของข้า? แน่นอนว่าคือการมาหาเจ้าไงเล่า” ใบหน้าของจี้ชิงเฟิงฉายรอยยิ้ม ตอบออกมาอย่างไม่จริงจัง
“เพ้ย!” เหยียนอี้ตวาดหนึ่งคำ
“ก็ได้ ๆ ข้าบอกว่ามาเจอเจ้า เจ้าก็ไม่เชื่อ งั้นหากข้าบอกว่า ข้าแอบเข้ามาในวังของพวกเจ้าเพื่อขโมยแผนผังเมือง เจ้าเชื่อหรือไม่ ”
“ท่าน..” เหยียนอี้กำลังถูกคำพูดของเขาทำให้โมโหแทบตาย
ทว่าจี้ชิงเฟิงกลับรู้สึกพอใจที่เห็นเหยียนอี้ถูกกลั่นแกล้งได้
“ใช่แล้ว ข้ามมาที่นี่เพื่อขโมยแผนผังเมือง อยากเห็นอาณาจักรอวี๋ของพวกเจ้าว่าจะจัดการระเบียบกองทัพอย่างไร อย่างไรเสีย ข้าก็ท่องเที่ยวไม่นาน ประเดี๋ยวก็กลับอาณาจักรเหยียน แล้วค่อยส่งทหารล้านนายมาประชิดชายแดนของพวกเจ้าเพื่อรวมเป็นหนึ่ง เป็นอย่างไร เจ้าเชื่อหรือไม่?”
เหยียนอี้รู้ว่าคำพูดของจี้ชิงเฟิงล้วนหลอกลวง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีแผนผังเมืองในวังหรือไม่เลย
เพียงแต่วังหลวงป้องกันอย่างเข้มงวด แผนผังเมืองย่อมมีการป้องกันรักษาการหลายชั้น จี้ชิงเฟิงคนเดียวกล้าแอบเข้าวังทำเรื่องใหญ่โตนี้ จะเป็นไปได้หรือ?
นางกล่าว “เหอะ ท่านกล้าพูดจาไร้สาระยิ่งนัก รวมอาณาจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน? แค่ข้าตะโกนไม่กี่คำ เรียกองค์รักษ์จินอู๋ออกมา ตำแหน่งรุ่ยชินหวังของท่าน คืนนี้คงต้องสิ้นสุดตรงนี้”
“โอ้ จริงหรือ?” เขาเดินเข้าไปใกล้เหยียนอี้อีกสองก้าว ดวงตาจ้องมองมาอย่างไม่เกรงกลัว
“ท่าน…ท่านจะทำอะไร” เหยียนอี้ก้าวถอยหลังจนแผ่นหลังของนางสัมผัสกับผนัง ไม่มีทางให้นางถอยแล้ว
ตอนช่วงคณะทูตอาณาจักรเหยียนเข้ามาในเมืองหลวง เหยียนอี้ได้ยินหลางกวนเอ๋อร์กับโจวเจียเอ๋อร์คุยกันหลายคำ รู้มาว่าผู้ครองตำแหน่งรุ่ยชินหวังของอาณาจักรเหยียนมือเปื้อนโลหิต เป็นเพียงลูกนางสนมอาณาจักรเหยียน กระนั้นท้องฟ้าเปลี่ยน สุริยันเปลี่ยน[2] ก้าวสู่แผ่นดินใหม่
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของอาณาจักรเหยียนยังทรงพระเยาว์ สุขภาพอ่อนแอ เจ็บป่วยง่าย อาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ผู้ที่น่าจะสืบทอดตำแหน่งต่อจากเขามากที่สุดคือรุ่ยชินหวังผู้นี้
จี้ชิงเฟิงมีอุบายและความทะเยอทะยานมากมาย ก่อนหน้านี้เขาสามารถเกลี้ยกล่อมให้อาณาจักรหนานโจวส่งมือลอบสังหารไปฆ่าฮ่องเต้แห่งอวี๋ ตอนนี้เขามาที่นี่ในนาม แต่แอบเข้ามาในวังหลวง ไม่รู้ว่าวางแผนหลอกลวงอะไรเอาไว้?
เหยียนอี้ระมัดระวังตัวเองมากขึ้น คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เวลาดึกดื่นเช่นนี้ เขากลับตามนางในของวังมา คิดจะทำอะไรกันแน่
“บอกข้า แผนที่อยู่ที่ไหน” จี้ชิงเฟิงเอนตัวเข้าไปกระซิบใกล้หู ถามนางเสียงต่ำ เต็มไปด้วยการคุกคาม
สมองของเหยียนอี้สับสนไปหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเขาพูดถึงอะไร นางสัมผัสได้ถึงอันตรายโดยสัญชาตญาณ เขามีวิชาวรยุทธ์สูงส่ง หากเขาไม่ปล่อยนาง นางก็คงออกไปไม่ได้
“แผนที่อะไร ข้าไม่รู้จะท่านกำลังพูดถึงอะไร” เหยียนอี้กล่าวอย่างตัดรอน
“ฮ่า ๆ” จี้ชิงเฟิงหัวเราะเยาะ “ข้าค้นร้านอาหารโทรม ๆ นั่น หาอย่างไรก็ไม่เจอ คิดดูแล้วชายผู้นั้นคงไม่ให้ของสำคัญเช่นนี้กับเด็กในร้านโง่เง่าเป็นแน่ เจ้าเป็นคนเดียวที่เขาไว้ใจที่สุด เขายกร้านอาหารให้เจ้าทั้งหมด เจ้าไม่รู้เลยหรือ?”
เหยียนอี้ตระหนักได้ว่า ‘ร้านอาหาร’ ที่จี้ชิงเฟิงพูดถึงคือภัตตาคารกุ้ยซานในอวิ๋นเจี้ยน
“ท่านทำอะไรกับคนในร้านอาหาร?” เหยียนอี้ถามอย่างรวดเร็ว เขาเคยไปที่ภัตตาคารกุ้ยซาน ทำให้ภัตตาคารแห่งนั้นพลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง เถ้าแก่เจิ้งจะเป็นอย่างไร? เด็กในร้านเป็นอย่างไรบ้าง? ซานกู่จื่อกลับมาหรือยัง ?
เหยียนอี้เริ่มวิตก เขาเดินทางจากอาณาจักรเหยียนพันลี้เพื่อไปเมืองอวิ๋นซาน หรือแม้แต่เมืองหลวงก็สามารถตามหานางได้ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเคยลำบากตามหามารดาของนางหรือ? มารดา…คิดแล้ว เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว
จี้ชิงเฟิงเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของนาง เขายื่นมือออกมาตบไหล่ กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าวางใจเถิด ข้าเคยบอกแล้ว ข้าไม่ได้ฆ่าคนเป็นงานอดิเรก”
เหยียนอี้เคยเห็นเขาฆ่าคนด้วยตาของนางเอง อีกทั้งเคยได้ยินกลอุบายของเขาในอาณาจักรเหยียนมานับไม่ถ้วน นางจะเชื่อได้อย่างไร?
นางคว้าคอเสื้อของจี้ชิงเฟิง กล่าวอย่างโกรธเคือง “หากท่านกล้าแม้แต่จะแตะเส้นผมเส้นเดียวของพวกเขา ข้าจะ…”
“เจ้าจะทำอะไร?” จี้ชิงเฟิงยิ้มบาง ๆ ผลักมือของเหยียนอี้ออกไป
“ข้าไม่สนใจว่าท่านกำลังหาสิ่งใด หากท่านทำร้ายผู้อื่นเพราะแผนชั่วร้ายของท่าน ข้าจะทำให้ท่านจ่ายคืนร้อยเท่าอย่างแน่นอน” เหยียนอี้กล่าวอย่างชั่วร้าย
จี้ชิงเฟิงได้ยินแล้วก็อยากจะหัวเราะ “โอ้ ข้าอยากจะรู้เสียแล้ว เจ้าจะทำให้ข้าจ่ายคืนได้อย่างไร?”
เหยียนอี้มองดูท่าทีไม่แยแสของเขา ราวกับชีวิตมีค่าของผู้อื่นถูกเขามองเป็นเพียงฝุ่นผง
จี้ชิงเฟิงห็นความขุ่นเคืองอันไร้กำลังของเหยียนอี้ เพียงเห็นใบหน้าซีดขาวนั่นแล้ว เขาก็หยุดล้อเล่นทันที
“เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าไม่ได้ฆ่าใครทั้งสิ้น เดิมทีข้าหาของสำคัญไม่เจอจึงหงุดหงิดไม่น้อย อยากจะจุดไฟเผาภัตตาคาร แต่ที่นั่นเคยเป็นสถานที่ที่เจ้าทำงาน เป็นสถานที่ที่เจ้าทุ่มเท”
จี้ชิงเฟิงเป็นคนโป้ปด เขาไม่ได้เผาภัตตาคารเพียงเพราะหาของสำคัญไม่เจอ ทว่าความจริงแล้ว เขาเกรงว่าแผนที่จะอยู่ในห้องลับในร้านต่างหาก กระนั้นเขาก็พูดต่อหน้าเหยียนอี้ว่าเป็นเพราะนึกถึงนาง ไม่ละอายเลยแม้แต่น้อย
เหยียนอี้โล่งใจเมื่อได้ยินว่าเขาไม่ได้ฆ่าใคร
แต่ว่าคนผู้นี้กำลังหาอะไร? เขาคือองค์ชายผู้สง่างามของอาณาจักรเหยียน เหยียนอี้จะมีของอะไรให้เขาค้นหากัน?
ไม่ถูกสิ เขากำลังจะไปที่ภัตตาคารกุ้ยซานเพื่อหาของบางอย่าง ภัตตาคารกุ้ยซานเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซานกู่จื่อกับเหยียนอี้ที่ถือหุ้นเพียงไม่กี่ส่วน
ซานกู่จื่อเป็นคนแปลก ๆ ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยความลึกลับ เขามีพรสวรรค์ในด้านวรรณกรรมกับวรยุทธ์ เขามักจะชอบกล่าวว่า ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะคน แล้วก็เอาแต่พยักหน้าน้อย ๆ
เขาเปิดภัตตาคารอาหารบังหน้า แต่เมื่อกิจการรุ่งเรืองเขาก็กลับถอยไปเบื้องหลัง จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หรือว่าเขาซ่อนความลับบางอย่าง? ไม่ใช่ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาอยู่อย่างสันโดษเพื่อซ่อนตัวจากศัตรูหรอกหรือ?
แต่ดูจากรูปลักษณ์ของจี้ชิงเฟิงแล้วดูไม่เหมือนศัตรูของซานกู่จื่อเลย
หากเป็นเช่นนั้น ซานกู่จื่อจะต้องมีความลับใหญ่ซ่อนอยู่ หรือเขาครอบครองของล้ำค่าอะไรอยู่ ของที่จนทำให้องค์ชายอาณาจักรเหยียนผู้นี้อยากจะได้ แต่มันคืออะไรกันล่ะ?
เหยียนอี้ครุ่นคิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด นางต้องถามให้ชัดเจน
จี้ชิงเฟิงตรัสกับเหยียนอี้ “ก่อนที่ข้าจะมาที่วัง ข้าตรวจสอบอย่างมั่นใจแล้วว่าสิ่งนั้นอยู่ในวัง ช่างเป็นเรื่องบัญเอิญเหลือเกินที่เจ้าก็อยู่ในวังเช่นกัน โอ้… ดูเหมือนซานกู่จื่อจะวางแผนทุกอย่างไว้หมดแล้ว เขาคิดว่าวังเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุดในการซ่อนความลับหรือ?”
การคาดเดาของเหยียนอี้ดูเหมือนจะเป็นความจริง จี้ชิงเฟิงมาที่นี่เพื่อเอาของบางอย่างจากซานกู่จื่อเป็นแน่
จี้ชิงเฟิงพบว่าเหยียนอี้กับซานกู่จื่อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ด้วยเหตุนี้จึงทึกทักคิดว่าเหยียนอี้รู้อะไรบางอย่าง เขาจึงแอบเข้ามาในวังตอนกลางดึก จากนั้นก็สกัดนางไม่ให้เดินหนี
“ท่านตามหาอะไร” เหยียนอี้ถาม
นางตัดสินใจว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างแรกควรค้นหาสิ่งที่ศัตรูต้องการเพื่อที่จะได้เตรียมการอย่างเท่าทัน อย่าว่าแต่เหยียนอี้ไม่รู้ว่าซานกู่จื่อมีของล้ำค่าอะไร ถึงแม้ว่าจะรู้แล้วก็ไม่สามารถบอกชาวเหยียนได้
จี้ชิงเฟิงหัวเราะออกมา “เจ้าคิดว่าข้าจะโง่บอกเจ้าหรือ? บอกเพื่อให้เจ้านำมันไปซ่อนงั้นสิ?”
เหยียนอี้หมดคำพูด แต่นางมีความคิดเช่นนี้จริง ๆ
นางกระแอมไอสองครั้ง “ท่านช่างเป็นคนแปลกประหลาดเสียจริง ถามข้าว่าของอยู่ที่ไหน แต่กลับไม่บอกว่าท่านต้องการหาอะไร เช่นนี้ข้าจะบอกท่านได้อย่างไร”
คำพูดนี้ของเหยียนอี้สมเหตุสมผลยิ่งนัก แต่จี้ชิงเฟิงไม่สนใจมัน เขาเพียงถามนาง “ซานกู่จื่อเคยมอบของอะไรให้เจ้ารึ? ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็เอามาให้ข้าทั้งหมด”
เหยียนอี้ตวาด “เหตุผลท่านมีถึงเพียงนี้เชียวหรือ เขาเคยให้ของอะไรข้า ข้าต้องให้ท่านทั้งหมด? ท่านมีสิทธิ์อะไร?”
“สิทธิ์ชีวิตน้อย ๆ ของเจ้าที่ตอนนี้มันอยู่ในกำมือของข้าแล้ว” เขาเอื้อมมือขวาออกไป กำคอของเหยียนอี้ไว้ แต่ไม่ได้ออกแรงใด ๆ เพียงแสดงท่าทางขู่เข็ญเท่านั้น
เหยียนอี้ตกตะลึง ไม่ได้หลีกหนี นางกล่าวเสียงห้วนว่า “ก่อนหน้านี้เขาให้ของข้ามาไม่น้อย เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการชิ้นไหน”
“มีอะไรบ้าง ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ที่ไหน” จี้ชิงเฟิงถามอย่างเร่งเร้า
[1] คัมภีร์กวี ปรากฏขึ้นบนบรรณพิภพโดยรวบรวม บทกวีตั้งแต่ในช่วงต้นสมัยราชวงศ์ โจวตะวันตก (西周) จนกระทั่งถึงสมัยกลางของ ยุคชุนชิว (春秋) กินเวลาประมาณ 500 ปี โดยรวมบทกวีเอาไว้ทั้งสิ้น 305 บทด้วยกัน สำหรับบทนกจีจิวขันคู นี้ถือเป็นบทแรกจาก 305 บท โดยความสำคัญของ “ซือจิง” ก็คือการสะท้อนให้เห็น ค่านิยม วิถีชีวิต วัฒนธรรม สภาพสังคมและการต่อสู้ทางชนชั้นในสมัยราชวงศ์โจว และถือเป็นวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งของชาวจีนและชาวโลก
[2] ท้องฟ้าเปลี่ยนสุริยันเปลี่ยน หมายถึงเปลี่ยนแปลงอำนาจ