ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 110 นางก็ชอบองค์ชายแปดหรือ
บทที่ 110 นางก็ชอบองค์ชายแปดหรือ?
บทที่ 110 นางก็ชอบองค์ชายแปดหรือ?
หลี่หรงอวี่รีบขัดจังหวะ “เจ้าแปด เจ้าเลอะเลือนแล้วหรือ? องค์หญิงก็ไม่ต่างจากเจ้า พวกเราไม่อาจทำตามใจตนเอง นางใช้ทางออกอันน้อยนิดคิดวิธีฆ่าตัวตายด้วยการอดเช่นนั้นออกมาได้อย่างไร? เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องแต่งงานกับนาง ถึงกับเอาชีวิตนางไปแขวนเชียวหรือ?”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นอย่างแน่นอน แต่ท่านพี่รอง ข้าร้อนใจยิ่งนัก นางยังมีวิธีอดอาหารประท้วง แต่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย” หลี่หรงเฉิงร้อนใจ
เหยียนอี้กับอากุ้ยลี่ได้ยินอย่างชัดเจน อากุ้ยลี่จึงกระซิบถามเหยียนอี้ “ฮ่องเต้ต้าอวี่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับชายผู้นี้ใช่หรือไม่”
เหยียนอี้พยักหน้าเล็กน้อย แล้วตอบกลับเสียงเบา “คิดว่าใช่เพคะ”
อากุ้ยลี่ยิ้มจาง ๆ “แต่ในใจเขามีผู้อื่น หากข้าแต่งให้เขา พระเจ้าต้องประณามข้าใช่หรือไม่”
เหยียนอี้คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบกลับ “องค์หญิง ข้ารู้ว่าท่านเองก็ไม่อยากแต่งงานกับชายแปลกหน้าที่ท่านไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ว่าท่านไม่สามารถทำร้ายตนเองด้วยการไม่แต่งงานนะเพคะ”
อากุ้ยลี่ตอบเสียงแผ่ว “ข้ารู้แล้ว องค์ชายรัชทายาทของพวกเจ้าเป็นคนบอกข้า หากข้าตายแล้ว อันวาก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่ ข้าจึงตายไม่ได้”
เหยียนอี้ไม่รู้ว่าคนที่นางพูดถึง ‘อันวา’ คือใคร จึงถามออกไป “อันวาคือใครเพคะ”
ยามอากุ้ยลี่พูดถึงชื่อนี้ ใบหน้าของนางก็เผยความอ่อนโยนออกมาเจือจาง นางเงยหน้าเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับเสียงเบา “เขาคือผู้เดียวที่ข้าจะรักในชาตินี้”
เหยียนอี้ตะลึง
อากุ้ยลี่เหม่อมองแสงจันทร์ ดวงตาของนางล่องลอยคล้ายมองไปยังที่ที่แสนห่างไกล น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา “หากไม่มีเขา ข้าคงตายไปตั้งแต่สามปีก่อน ช่วงที่เขาเพิ่งมาอยู่ข้างกายข้า ข้ารังเกียจเขาอย่างยิ่ง”
“แต่ต่อมา เกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น ข้าเพิ่งพบว่าคนเดียวในโลกหล้านี้ ผู้ที่สามารถปกป้องเขาได้ก็คือข้า และข้าก็มีแค่เขา… มีแค่เขาที่ทำให้ข้ามีความหวังที่จะมีชีวิตอยู่”
เหยียนอี้ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างระหว่างอากุ้ยลี่กับอันวา คำพูดของนางสับสนคล้ายกับจมอยู่ในโลกของตัวเอง
เหยียนอี้รู้สึกว่าการแอบซ่อนลอบฟังอยู่ตรงนี้ดูแล้วไม่ค่อยดีนัก เมื่อเห็นว่าหลี่หรงอวี่กับหลี่หรงเฉิงกลับตำหนักบูรพาไปแล้ว นางก็รีบดึงชายเสื้อของอากุ้ยลี่ ก่อนที่ทั้งสองจะพากันเดินกลับไปยังทางเดินสายหลัก
อากุ้ยลี่ตรัสกับเหยียนอี้ว่า “เมื่อครู่ข้าได้ยินองค์ชายรัชทายาทกับองค์ชายแปดคุยกัน ดูเหมือนเขาจะชอบนางในที่มีตำแหน่งไม่สูงนัก ใช่หรือไม่?”
เหยียนอี้พยักหน้า
อากุ้ยลี่กล่าว “เช่นนั้นควรทำอย่างไรดี หากข้ายังอยู่ มิใช่ว่าเป็นการทำลายวิวาห์ของทั้งคู่ แม่นางผู้นั้นจะเสียใจมากหรือไม่”
เหยียนอี้ครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “องค์หญิง ข้าไม่อยากโกหกท่าน สตรีที่องค์ชายแปดชอบพอ แท้จริงแล้วคือน้องสาวของข้า นางชื่อว่าเหยียนจื่อ”
อากุ้ยลี่ตกใจมาก นางถามกลับ “เป็นน้องสาวของเจ้ารึ ข้าเห็นองค์ชายแปดแล้ว เขาเป็นบุรุษสง่างามผู้หนึ่งเลยทีเดียว น้องสาวของเจ้าถูกองค์ชายแปดชอบพอเช่นนั้นก็ดีแล้ว นางเองก็ชอบองค์ชายแปดหรือไม่”
เหยียนอี้พยักหน้า “ชอบเพคะ”
อากุ้ยลี่มุ่ยหน้าตอบกลับ “แต่ว่าข้าไม่ชอบนี่”
เหยียนอี้ถอนหายใจ “ในโลกใบนี้ เดิมทีมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพคะ”
อากุ้ยลี่ถามเหยียนอี้ “เช่นนั้นเจ้าล่ะ เจ้ามีคนที่ชอบไหม”
เหยียนอี้ตกตะลึง ไม่รู้จะตอบเช่นไร
อากุ้ยลี่เองก็มีท่าทีเช่นเดียวกับเหยียนอี้ นางถอนหายใจออกมา “บนโลกใบนี้ สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดก็คือจิตใจตนเองใช่หรือไม่”
เหยียนอี้ยิ้มแห้งแล้วกล่าวตอบ “องค์หญิงกล่าวถูกต้อง”
อากุ้ยลี่ตรัสต่ออย่างจริงจัง “เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าองค์หญิงแล้ว ข้ามีชื่อของตัวเอง เรียกข้าว่าอากุ้ยลี่”
เหยียนอี้ผงะ ก่อนจะรีบโบกมือ “แต่ท่านคือสตรีสูงศักดิ์ของหุยหู ส่วนข้า… ข้าเป็นเพียงสาวใช้ตัวเล็ก ๆ ในวัง”
อากุ้ยลี่ลูบมือเหยียนอี้แล้วตรัสว่า “เหตุใดเล่า องค์ชายแปดผู้นั้นยังสามารถชอบสาวใช้ในวังได้เลย? เหยียนอี้ วันนี้พวกเราพบกันครั้งแรกในวังแห่งนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ใดข้าก็ไม่มีความสุข ทว่าตั้งแต่ได้รู้จักเจ้า ข้ามีความสุขจริง ๆ”
เหยียนอี้จนปัญญาจึงยอมเรียก “อากุ้ยลี่”
อากุ้ยลี่ดีใจมาก จับมือนางเขย่าไปมาหลายครั้ง
เหยียนอี้พูดกับนางว่า “อากุ้ยลี่ ข้ารู้ว่าทุกวันที่ท่านอยู่ที่วังแห่งนี้ล้วนไม่มีความสุข แต่ท่านกับข้าเป็นเพื่อนกันแล้ว ท่านสัญญากับข้าเถิด ต่อไปห้ามทำร้ายตัวเองอีก ห้ามอดอาหารด้วย ได้หรือไม่”
อากุ้ยลี่พยักหน้า “ข้าจะฟังคำของเจ้า เเล้วก็ฟังคำขององค์รัชทายาทเช่นกัน เพื่ออันวาแล้ว ข้าต้องมีชีวิตอยู่ แม้ชีวิตนี้จะไม่อาจเห็นเขาอีกแล้ว ข้าก็ต้องมีชีวิตอยู่”
เหยียนอี้ยิ้ม ลูบหัวของนาง “ดีมาก”
ทว่าอากุ้ยลี่รู้สึกเศร้าอีกครั้ง นางพึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้อันวาจะคิดถึงข้าหรือไม่ จะเป็นห่วงข้ามากหรือไม่ หากไม่ได้พบข้าอีกแล้ว เขาจะทำอย่างไร?”
ประโยคนี้ของนางเป็นภาษาหุยหู เหยียนอี้ฟังแล้วไม่เข้าใจ นางกำลังจะถามออกไป แต่อาเหมียนต้า สาวใช้ส่วนตัวของอากุ้ยลี่ก็วิ่งเข้าไปกอดอากุ้ยลี่เสียก่อน
สาวใช้ผู้นั้นรีบวิ่งอย่างร้อนใจ ผ้าคลุมผมของนางหลุดออกไปครึ่งหนึ่ง ดวงตาแดงก่ำ นางกอดองค์หญิงอากุ้ยลี่ไว้แล้วร้องไห้ออกมา “อากุ้ยลี่ของข้า ไปอยู่ที่ใดมา ข้าตามหาจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว!”
แท้จริงแล้วอากุ้ยลี่ฉวยโอกาสตอนที่อาเหมียนต้าออกไปรินน้ำให้นาง นางแอบหนีออกจากตำหนักหลินเจียง จึงไม่คุ้นเคยกับเส้นทางในวัง จิตใจสับสนยุ่งเหยิง จึงเดินเรื่อยเปื่อยอยู่นาน ไม่กลับไปเสียที
หลังจากอาเหมียนต้าตามหานางไม่พบก็กังวลราวกับมดบนกระทะร้อน มิอาจไปขอความช่วยเหลือผู้อื่นได้ จึงต้องออกมาตามหานางคนเดียว
หาอยู่หลายชั่วยาม ก็มาเห็นอากุ้ยลี่กับเหยียนอี้อยู่ด้วยกัน
เหยียนอี้รอให้อาเหมียนต้าร้องไห้เสร็จ ก่อนจะส่งอากุ้ยลี่ให้กับอาเหมียนต้า จากนั้นตนเองก็กลับตำหนักฉืออันคนเดียว
หลังจากเสียเวลาไปนาน เวลานี้ก็ดึกแล้ว ประตูส่วนบุคคลของวังจึงต้องใช้กุญแจ ตามกฎพระราชวังนั้น หลังจากใช้กุญแจแล้ว ผู้คนในวังจะไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเที่ยวเล่นโดยพลการ
เหยียนอี้กลัวจะถูกองครักษ์ลาดตระเวนกับขันทีมองเห็นนางเดินออกไปข้างนอกโดยพลการ ดังนั้นจึงใช้ทางเดินเส้นเล็กเพื่อเดินไปตำหนักฉืออันให้เร็วขึ้น
นางเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดกะทันหัน หันกลับมามองแต่ไม่เห็นผู้ใด สงสัยตนเองคิดมากไป ตอนนี้ก็ดึกดื่นค่อนคืน ไม่แน่ว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดโผล่มา
หลังจากเดินไปอีกสองสามก้าว นางได้ยินเสียงเสื้อผ้าเสียดสีอยู่ด้านหลัง ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินตาม ทว่าไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า
เหยียนอี้หันกลับมาอีกครั้งแต่ก็ยังไม่พบใครอยู่ดี มีเพียงแสงดาวน้อย ๆ และแสงจันทร์สลัวเท่านั้น
ในใจของนางหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อย คิดว่าหากเป็นองครักษ์หรือขันทีลาดตระเวนในตอนกลางคืนอาจจะมาเห็น นางจึงรีบเดินอย่างรีบร้อน
นางกระชับเสื้อผ้า เร่งความเร็วฝีเท้าอีกครั้ง และในช่วงเลี้ยวโค้ง นางจงใจหยุดชั่วขณะหนึ่ง ภายใต้แสงจันทร์นั้นเอง มีเงาคลุมเครือปรากฏขึ้นที่มุมกำแพง เห็นได้ชัดว่าอยู่ไม่ไกลจากด้านหลัง
มีคนกำลังติดตามนางอย่างแน่นอน!
เหยียนอี้ตกใจ รีบหันกลับมาทันที ทว่านางมองไม่เห็นใคร
ความคิดแรกของนางคือนางเจอผีแล้ว แต่ผีจะมีเงาได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังมีวิชาตัวเบาแข็งแกร่ง
ใครที่ตามนางมาตอนกลางดึกเช่นนี้กัน? เหยียนอี้คิดอย่างไม่แน่ใจ กระนั้นในกลางดึกและสถานที่ไร้ผู้คนเช่นนี้ ความกลัวของนางย่อมมีมากกว่าความสงสัย
นางเอนหลังพิงกำแพง มองไปรอบ ๆ หายใจเข้าลึก และตะโกนอย่างกล้าหาญว่า “ใครกัน?”
ไกลออกไป มีอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าคือค้างคาวหรือกวางแม่น้ำกระโดดอยู่ เสียงใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นดังกรอบแกรบ นางรออยู่พักหนึ่ง กระนั้นก็ยังคงไร้ผู้คนตอบกลับ
เหยียนอี้รู้สึกประหม่าจนเหงื่อออกทั่วฝ่ามือ แต่นางก็พยายามสงบสติอารมณ์ หันหลังพิงกำแพงอย่างมั่นคง ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นางรู้สึกปลอดภัยขึ้นบ้าง
“หากเจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้าจะตะโกนแล้วนะ” เหยียนอี้พยายามเปล่งเสียงให้ออกมามั่นคงที่สุดเพื่อปิดบังน้ำเสียงสั่นเครือ แต่เสียงหัวใจนางกลับไม่ได้หยุดสั่นแม้แต่น้อย
เมื่อไร้คนตอบกลับอีกครา นางหวาดก็ระแวง ไม่ใช่ว่าตัวเองตาฝาดหรอกหรือ
“หากเจ้า… เจ้ายังไม่ออกมาอีก ข้า… ข้าจะไปแล้วนะ!” เหยียนอี้รวมรวบความกล้าพูดอีกประโยคหนึ่ง จากนั้นก็เตรียมก้าวขาเพื่อหวังจะเดินจากไป
แต่เมื่อนางหันกลับมา ก็ชนเข้ากับกำแพงมนุษย์
เป็นคน
เมื่อครู่นี้ เป็นคนสินะที่แอบตามนางมาตลอด!
คนผู้นี้สูงใหญ่มาก สูงกว่าเหยียนอี้ราว ๆ ครึ่งหัว เขาเป็นบุรุษแน่นอน
เหยียนอี้ตกใจ นางไม่มีเวลาแม้แต่จะมองว่าอีกฝ่ายเป็นใคร นางกรีดร้องแล้วต่อยหน้าเขาทันที
เหยียนอี้ไม่รู้ศิลปะการต่อสู้ นานมาแล้วตอนที่นางยังอยู่ในอู่ซาน เฉินฟู่เซินได้สอนนางมาบ้างเพื่อป้องกันตัวเองจากศัตรู
แต่เหยียนอี้ไม่มีพื้นฐานแม้แต่น้อย ร่างของนางเตี้ยกว่าชายหนุ่มครึ่งหัว พละกำลังก็ไม่ดีนัก เมื่อหมัดชนแผ่นอกของบุรุษแปลกหน้า ก็ไม่ต่างกับชกฝ้ายเนื้อนุ่ม และมันไม่อาจทำร้ายเขาได้สักนิด
เหยียนอี้พยายามชกอีกครั้งด้วยมือซ้าย กระแทกแผ่นอกของเขา รู้สึกราวกับชกแผ่นเหล็ก นิ้วมือทั้งห้าชาไปหมด
ฝ่ายตรงข้ามไม่หลีกหนี พลังภายในแกร่งกล้าสามารถรับหมัดของนางได้ เคล็ดลับแรก คือทลายภูเขาหยินของไท่เก๊กเสวียนกง อีกเคล็ดลับหนึ่งคือ ทลายทะเลสวรรค์ของวิถีบังกระดิ่งเงิน
เหยียนอี้เงยหน้าเพื่อจะดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขากลับเอื้อมมือออกไปคว้าเข็มขัดของนาง หิ้วนางราวกับลูกเจี๊ยบก็มิปาน นางจึงลอยขึ้นเกือบหนึ่งก้าว
เขาใช้กำลังภายในแข็งแกร่งรับมือการโจมตีเหยียนอี้ได้อย่างง่ายดาย หมัดของเหยียนอี้ไม่สามารถทำลายเขาได้แม้แต่ครึ่งส่วน เกรงว่าแม้แต่ยุงกัดยังเจ็บกว่า แต่เขากลับกุมหน้าอกตัวเองแล้วร้องออกมา “ไอโย่ว ไอโย่ว”
เหยียนอี้เพิ่งตระหนักได้ว่าคนตรงหน้านางก็คือ จี้ชิงเฟิง
ทำไมเขาถึงอยู่ที่นี่?
เหยียนอี้ไม่ทันมีเวลาคิด ทันทีที่นางเห็นหน้าชายผู้นี้ นางรู้สึกราวกับปวดสมอง ราวกับว่าชาติที่แล้วนางเป็นหนี้อะไรเขา
แม้ว่าจะพบเขามาแล้วสองครั้ง นางก็ยังไม่คุ้นชินนัก แต่คนบางคนมีสายใยเชื่อมโยงกัน อย่างที่เหยียนอี้ชอบอากุ้ยลี่มากตั้งแต่แรกเห็น แต่พอเป็นจี้ชิงเฟิง นางก็มีอาการปวดสมองกับชายผู้นี้
นางไม่แม้แต่จะมองเขา อยากจะเดินอ้อมหนีแต่ก็ถูกจี้ชิงเฟิงขวางไว้
เหยียนอี้จะเดินหน้าก็เดินไม่ได้เพราะไม่มีทางไป นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคำนับจี้ชิงเฟิงตามมารยาทของข้ารับใช้ในวังเมื่อเจอองค์ชายจากต่างแดน